PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔


เถรี
07-02-2011, 11:37
ถาม : เวลาปล่อยวัว จะอธิษฐานว่าอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : อธิษฐานว่า กรรมอะไรที่เราเคยล่วงเกินต่อเจ้ากรรมนายเวรมา ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ขอชดใช้ด้วยชีวิตของวัวตัวนี้ ขอให้เขาโมทนาและอโหสิกรรมให้กับเราด้วย

เถรี
07-02-2011, 11:40
ถาม : ตอนที่พิจารณาตัดร่างกาย ว่าร่างกายนี้เป็นธาตุสี่ เราพอเข้าใจ ทีนี้ก็จะเหลือตัวอทิสมานกาย ต้องตัดว่าไม่เป็นของเรา ?
ตอบ : ให้ดูว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่อทิสมานกายนี้ไม่ใช่ของเรา เมื่อเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราแล้ว ถ้าจิตปล่อยวางได้จริง ๆ ความยึดถือว่าจิต (อทิสมานกาย) นี้ไม่ใช่ของเราก็จะพลอยหมดไปด้วย

เถรี
07-02-2011, 12:18
ถาม : อาโลกกสิณดีอย่างไร ?
ตอบ : สร้างทิพจักขุญาณให้เกิด

ถาม : การมองพระที่เป็นแก้ว เป็นอาโลกกสิณหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นโดยตรงเลยจ้ะ

เขาอ่านว่า อา-โล-กะ-กสิณ อาโลกะ คือ แสงสว่าง , กสิณ คือ การเพ่ง , อาโลกกสิณ คือ เพ่งกำหนดแสงสว่าง แต่เวลาพวกเราอ่าน ก.ไก่หายไปหนึ่งตัว

ถาม : ระหว่างมาทำอาโลกกสิณแบบนับหนึ่งใหม่ กับใช้อภิญญารวม อย่างไหนดีกว่า ?
ตอบ : อยู่ที่ความขยันของเรา ถ้าขี้เกียจก็ใช้คาถาอภิญญารวม ถ้าขยันก็เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

เถรี
07-02-2011, 12:48
ถาม : ในตำราเขาบอกว่านรกมี ๔๕๖ ขุม แต่ทำไมบางท่านที่ไปมา อย่างพระโพธิสัตว์ตี่จั๊งอ้วง ท่องนรกแปดหมื่นกว่าขุม ?
ตอบ : คุณอย่าสับสน..! พระโพธิสัตว์ตี่จั๊งอ้วงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ของมหายาน ส่วนนรก ๔๕๖ ขุม เป็นของเถรวาท

ถาม : นรกมีต่างกันด้วยหรือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความหยาบละเอียดของคน ขณะเดียวกันบางอย่างก็ขึ้นอยู่กับอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ความเชื่อเก่า ๆ ของตนเองด้วย อย่างเช่น จีนมีพระยายม ๑๐ ท่าน แต่ของไทยเรามีพระยายมท่านเดียว

ถาม : ขึ้นอยู่กับการยึดหรือครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อถือ และสิ่งที่รู้เห็นมา ความหยาบละเอียดของจิตทำให้รู้เห็นได้ชัดเจนไม่เท่ากัน

แม้แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงก็เคยบอกว่า สมัยท่านขึ้นไปสวรรค์ครั้งแรก ท่านเห็นพระจุฬามณีเป็นเจดีย์ปูนเก่า ๆ เพราะขาดการพิจารณาตัดร่างกายก่อน พอท่านพิจารณาตัดร่างกายได้ดี ขึ้นไปใหม่ คราวนี้เห็นเจดีย์เป็นแก้วสว่างไสวแพรวพราว

เพราะฉะนั้น..เราต้องรู้ด้วยว่า ท่านเห็นอะไรมาท่านก็ว่าไปตามนั้น และได้โปรดอย่าเอามหายานมาปนกับเถรวาท ปัจจุบันนี้ปนกันมั่วไปหมด แม้แต่หลวงตามหาบัวก็กลายเป็นมหายานไปเรียบร้อยแล้ว กลายเป็นมหายานตอนไหน ?

เพราะเขายึดถือตัวบุคคลเป็นลักษณะเทพเจ้า ไม่ได้ยึดถือคำสอนของหลวงตาเป็นหลัก ถ้ายึดถือคำสอนของหลวงตาเป็นหลัก ถึงเวลาหลวงตาจะสิ้นก็สิ้นไป แต่คำสอนของท่านยังอยู่ ความดีของท่านยังอยู่ ความเป็นพระสงฆ์อันเป็นสังฆคุณที่แท้จริงของท่านยังอยู่ในใจของเรา

ในเมื่อเรายังทำไปยังไม่ถึงตรงนั้น กลายเป็นว่าเราไปยึดตัวบุคคล เหมือนกับลักษณะของมหายานหรือฮินดู ก็คือไปยึดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยึดเป็นเทพเจ้าของเรา ขึ้นอยู่กับว่าเราวางกำลังใจถูกหรือผิด ? ถ้าวางกำลังใจถูกก็ดีไป ถ้าวางกำลังใจผิดก็ตัวใครตัวมัน..!

เถรี
07-02-2011, 13:11
ส่วนใหญ่พวกเรามักจะยึดติดในตัวบุคคลเสียมาก ต้องระมัดระวังตรงจุดนี้ให้หนัก ๆ ไว้ อย่าลืมว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังปรินิพพาน พระสาวกของพระองค์ท่านก็มรณภาพ หรือไปนิพพานกันนับไม่ถ้วนแล้ว ปัจจุบันตัวตนบุคคลที่เรายึดถืออยู่ อย่าได้ยึดในลักษณะที่เกาะท่าน แต่ให้ยึดในลักษณะที่เอาท่านเป็นอนุสติ

ให้ยึดในความดีของพระสงฆ์ สุปฏิปันโน..ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีอย่างไร อุชุปฏิปันโน..ท่านปฏิบัติตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร ญายะปฏิปันโน..ปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนมาว่าอย่างไร สามีจิปฏิปันโน..ปฏิบัติแล้วโดยชอบอย่างไร

ท่านเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ เราก็เกาะความดีตรงนั้น ไม่ใช่ไปเกาะองค์ท่าน ถ้าเกาะองค์ท่านแล้ว ท่านมรณภาพไปเราก็จะเคว้งไปเลย อาตมาเคยเห็นภาพตลกที่หัวเราะไม่ออก

ตอนนั้นปี ๒๕๓๐ มีการเผาศพจำลองของหลวงพ่อวัดท่าซุง พวกเราแห่โลงศพของท่าน ซึ่งตั้งอยู่ที่ตึกอำนวยการทางด้านฝั่งจุฬามณีนำไปไว้ที่ศาลาสี่ไร่ ในระหว่างที่เดินแห่จากจุฬามณีมาที่ศาลาสี่ไร่ มีคนนั่งเรียงแถวข้างทางเต็มไปหมด บางคนร้องไห้โฮว่า "ไม่ได้มาวัดเดือนเดียว หลวงพ่อตายตอนไหนก็ไม่รู้ ?!" ไม่ได้ดูเลยว่าหลวงพ่อนั่งรถเข็นตามโลงมา นั่นแหละ..คือการยึดตัวบุคคลจนเกินไป

เถรี
07-02-2011, 13:17
พอทำการสวดอภิธรรมเสร็จ ต้องเคลื่อนโลงศพของหลวงพ่อท่านไปเผาที่ศาลา ๑๒ ไร่ แค่ข้ามฝั่งถนนเท่านั้น มีคนร้องไห้นับไม่ถ้วน

เราจะเห็นว่า ถ้าเป็นนักปฏิบัติที่แท้จริง จะมีเพียงธรรมสังเวช คือ เกิดสลดใจว่า แม้บุคคลที่ทรงความดีขนาดพระพุทธเจ้าก็ดี หรือหลวงพ่อก็ดี ไปนิพพานกันหมดแล้ว เราเองก็ต้องตายอย่างนั้นด้วยเช่นกัน จะเกิดความไม่ประมาท ตั้งใจปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อความหลุดพ้นของเรา

แต่นี่เราไปยึดในตัวบุคคล ในเมื่อยึดในตัวบุคคล แทนที่จะยึดในความดีของหลวงพ่อ พอเห็นโลงศพ ไม่ได้สนใจว่าโลงจริงหรือโลงปลอม หลวงพ่อถือสายสิญจน์นำโลงมาแท้ ๆ เขาก็ร้องไห้ไว้ก่อนแล้ว แสดงว่าไม่ได้ลืมตามาดูเลย ว่าใครเดินมาข้างหน้า

งานนั้นคนแน่นไปหมด จนอาตมาเดินไม่ได้ อาตมาที่เดินจูงสายสิญจน์อยู่ก็ต้องหยุด เพื่อรอคนเปิดทางให้ อยู่ ๆ ก็มีคนเตะก้น "ป้าบ..!" ก็หันไปดูว่าใครเตะกูวะ ? หันไปเจอหลวงพ่อ ท่านพยักหน้าบอกว่า "เดินสิโว้ย..หยุดทำไม ?" อ๋อ..หลวงพ่อเตะนี่เอง ก็คือถ้าอาตมาไม่เดินต่อ โยมเขาก็ไม่เปิดทางให้ อาตมาก็มัวแต่หยุดรอให้เขาเปิดทาง เลยไม่ต้องไปกันเสียที

เถรี
07-02-2011, 17:16
ถาม : มีคณะจากเมืองจีน สาว ๆ แสดงเป็นเจ้าแม่กวนอิมพันมือ มีการร่ายรำกัน บางท่าของการรำเหมือนกับเต้นระบำ
ตอบ : ถ้าคุณได้ยินพระจีนสวดมนต์ คุณจะคิดว่าเขาร้องเพลงด้วย ฉะนั้น..แค่เต้นระบำ ถือว่าเรื่องเล็ก

มหายานเขาถือหลักธรรมเป็นใหญ่ ไม่ได้ถือพระวินัยเป็นใหญ่ อย่างที่ภาษากำลังภายในเขาว่า "สุราผ่านลำไส้ พระพุทธองค์ประดับอยู่ที่ใจ" คนจะกินเสียอย่าง ก็หาข้ออ้างไปเรื่อย

ในเมื่อไม่มีพระวินัยที่เป็นรากแก้วของพระศาสนา จะเอาแต่แก่นธรรมอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะเมื่อต้นไม้แห่งธรรมไม่มีราก ก็ตายก่อนเสียแล้ว ดังนั้น..ในส่วนของมหายานที่มีการปรับเปลี่ยน ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ปฏิบัติไปจนถึงจุดที่เข้าใจว่าธรรมะแท้จริงเป็นอย่างไร ก็จะหลงผิดทางไปเลย

แต่ท่านที่ปฏิบัติถึงระดับหนึ่ง จนเข้าใจว่าธรรมะแท้จริงเป็นอย่างไร ก็มีอยู่จำนวนน้อย แต่มีจำนวนน้อยไม่พอ ลูกศิษย์ดันไปยึดว่าท่านเป็นผู้วิเศษอีก ก็เจริญไปกันใหญ่..! ปัจจุบันนี้พวกเราเอาทั้งฮินดู ทั้งพุทธมหายาน ปนกันในเถรวาทให้มั่วไปหมด จนแยกกันไม่ออกแล้ว

เรายกหลวงปู่ หลวงพ่อ เป็นครูบาอาจารย์ เราให้ความเคารพท่านตามปกติ โดยที่เราเองไม่รู้หรอกว่า กลายเป็นการยึดตัวบุคคลไปแล้ว

เป็นนักปฏิบัติที่ดี ต้องระมัดระวัง อย่าเผลอ..! "ยึดผิดที่ เกาะผิดที่ แปลว่าหลุดพ้นไม่ได้ เพราะยังยึดยังเกาะอยู่"

เถรี
07-02-2011, 17:47
ถาม : กรณีที่เขาสร้างภาพยนตร์ แล้วล้อเลียนพระ เพื่อทำให้ตลก เป็นการปรามาสพระไหมคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสภาพจิต ถ้าจิตหยาบก็จะไม่รู้ว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย แต่จะรู้หรือไม่รู้ โทษก็เกิดขึ้นแล้ว ถ้าคนที่จิตละเอียดก็จะรู้ว่าสมควรที่จะทำหรือไม่ นี่ยังดี..สมัยก่อนภาพยนตร์ประเภทปอบหยิบ พระในเรื่องวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงก็มีมาแล้ว

เถรี
07-02-2011, 18:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จเปิดงานตรุษจีนที่เยาวราช น่าชื่นชมสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักสถาบันหนึ่งของประเทศไทยเรา ที่ยังมีองค์ในหลวง มีพระราชินี มีเชื้อพระวงศ์ต่าง ๆ ที่ทุ่มเทให้กับประชาชน อย่างชนิดที่ว่า ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากของพระองค์เอง

ถ้าใครได้เห็นพระองค์ท่านใกล้ ๆ มองแล้วอยากจะบรรลุ พระพักตร์ดูเหนื่อยมาก เหนื่อยประเภทให้นอนเดี๋ยวนั้นก็หลับเดี๋ยวนั้นเลย แต่ก็หลับไม่ได้ เพราะต้องทรงงาน

ลองดูข่าวในพระราชสำนัก แล้วนับดูซิว่า แต่ละวันพระองค์ท่านต้องออกงานกี่ครั้ง"

เถรี
07-02-2011, 18:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราจะตั้งครรภ์ได้ก็ต่อเมื่อ ๑. บิดามารดาอยู่ร่วมกัน ๒. มารดามีระดู (อยู่ในวัยเจริญพันธุ์) ๓. สัตว์ที่จะเกิดนั้นมีอยู่

สำคัญตรงข้อแรก..บิดามารดาอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่ว่าต้องมีเพศสัมพันธ์ถึงจะท้องได้นะ..ขอยืนยัน เพราะว่าพ่อแม่ของสุวรรณสามเป็นฤๅษี ถือศีลแปดทั้งคู่ ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กัน แต่ก็คลอดสุวรรณสามออกมา"

เถรี
08-02-2011, 09:06
ถาม : จะเปิดร้านใหม่ ?
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเอาไว้ เปิดร้านใหม่อย่าใช้ฤกษ์วันศุกร์เป็นอันขาด ฤกษ์ดีแค่ไหนก็เจ๊ง จำให้แม่น ๆ ไม่ใช่เห็นว่าวันศุกร์เป็นฤกษ์ดีแล้วไปเปิดร้าน วันศุกร์ทำได้ทุกเรื่อง ยกเว้นการเปิดร้านใหม่หรือเปิดบริษัทใหม่ ให้ไปเปิดวันอื่นแทน

เถรี
08-02-2011, 09:09
ถาม : ถ้ามีแมวหรือหมามาคลอดลูกในบ้าน ดีหรือไม่คะ ?
ตอบ : ดีแน่ ๆ จ้ะ โบราณบอกว่า แมวมาหา หมามาสู่ ถือเป็นมงคลใหญ่ ถ้าไม่ใช่สถานที่ซึ่งร่มเย็นพอ เขาจะไม่อยู่นะจ๊ะ พวกสัตว์เขามีสัญชาตญาณดีกว่าเราเยอะเลย เขารู้ว่าจะต้องเป็นที่ซึ่งเขาอยู่แล้วปลอดภัย เขาถึงมา

หมาที่ตึกของหลวงพ่อวัดท่าซุง ตอนแรก ๆ ก็มีพ่อนิลกับแม่นาก ๒ ตัวเท่านั้น หลังจากนั้นผ่านไป ๗-๘ ปี มีสองร้อยกว่าตัว เกิดจากพ่อแม่คู่เดียวนั่นแหละ พอโตก็มีลูกกันต่อ ๆ ไป พอเราหิ้วของสังฆทานจากบ้านสายลมเพื่อที่จะเอาเข้าไปเก็บ หมาเขาจะมาล้อมกรอบเราเลย ต้องบอกกับเขาว่า "หิ้วมาเก็บจ้ะ ไม่ได้หิ้วออกไปหรอก" เขาถึงจะเปิดทางให้

เถรี
08-02-2011, 09:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "สัตว์เขาจะทำร้ายเราด้วยสองสาเหตุ สาเหตุแรก คือ เรากลัวเขา ถ้าเรากลัวเขา เขาจะไล่เราให้พ้นจากเขตหากินของเขา เพราะว่าถ้าเราอยู่ในเขตนั้น เราอาจจะไปแย่งอาหารเขา ทำให้เขาไม่มีกิน แล้วเขาอาจจะอดตาย

อย่างที่สอง คือ เขากลัวเรา เขาจะกัดหรือทำร้ายเราเพื่อป้องกันตัวเอง ถ้าเราเข้าไปหาโดยที่ไม่คิดกลัวเขา และไม่คิดที่จะทำอันตรายเขา เขาจะทำอะไรไม่ถูกเลย

อย่างงูจงอาง ตอนแรกเขาชูหัวขึ้นมาสูงเท่าหน้าเลย พอเขาเห็นเราไม่ถอย เขาก็ลดหัวลง เลื้อยหนีไปเอง พอเขาลดหัวลงเลื้อย เราก็จับกลางตัวเขาหิ้วไปได้เลย"

ถาม : งูไม่ตกใจแว้งมากัดหรือคะ ?
ตอบ : ยังไม่เคยโดน..ถ้าโดนเมื่อไรแล้วจะมาบอก..!

เถรี
08-02-2011, 10:09
ถาม : ฤกษ์ออกรถ ก็คือ ออกวันพฤหัส ใช้วันอาทิตย์หรือคะ ?
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่า การออกรถหรือออกเรือใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นรถหรือเรือที่ใช้ทำมาหากิน ให้ออกวันพฤหัสบดี แล้วเอาไปประเดิมวันอาทิตย์ หรือจะออกวันอาทิตย์แล้วเอาไปประเดิมใช้วันพฤหัสบดีก็ได้

แต่ส่วนใหญ่ที่อาตมาแนะนำให้ออกวันพฤหัสบดีแล้วเอาไปประเดิมใช้วันอาทิตย์ เพราะเว้นแค่สองวัน คือ เว้นวันศุกร์กับวันเสาร์เท่านั้น ถ้าออกวันอาทิตย์ไปใช้วันพฤหัสบดี เว้นตั้ง ๔-๕ วัน นานไปหน่อย

เถรี
08-02-2011, 10:12
ถาม : ทำกรรมอะไรจึงทำให้สายตาสั้น ?
ตอบ : อาตมาก็สายตาสั้น กำลังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร ความจริงก็คือ สายตาพอใช้ไปนาน ๆ ก็ชำรุด

โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ เกิดจากกรรมนอนเปิดไฟ สายตาจึงสั้น เพราะประสาทตาของเรารับแสงสว่างเร็วมาก เมื่อเรานอนเปิดไฟ ม่านตาของเราจะเปิด ขยายตัวอยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าทำงานตลอด ๒๔ ชั่วโมงไม่มีเวลาพัก เพราะฉะนั้น..ลูกคนไหนที่พ่อแม่เปิดไฟให้นอน ก็ถือว่าเป็นความซวยของตัวเองไปก็แล้วกัน

ถาม : เกี่ยวกับโกหกไว้เยอะไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน ถ้าโกหกเขา เราก็จะโดนโกหกบ้าง

ถาม : แล้วคนโบราณมีไหมครับที่สายตาสั้น ?
ตอบ : น้อยคน..เพราะสมัยโบราณไม่ค่อยมีไฟใช้ มีแต่แก่แล้วสายตายาวมากกว่า

เถรี
08-02-2011, 10:19
ถาม : ทุกวันนี้มีปัญหาถกเถียงกันว่า นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา?
ตอบ : ไปห่าง ๆ เขาซะ..จะได้ไม่ต้องไปเถียงกับเขา

ถาม : ถ้าเขาไม่ได้มโนมยิทธิ เขาก็จะไม่รู้ ?
ตอบ : ต่อให้ได้แล้ว เขายังคิดว่าเป็นอัตตาเลย ก็เพราะว่าเขาไปเจอได้ด้วยตัวเอง

ถาม : เถียงไปก็ไม่ได้อะไร ?
ตอบ : นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว ยังจะเกิดโทษกับตัวเสียด้วยซ้ำ คุณไปอ่านเก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ในเว็บวัดท่าขนุนของเดือนที่แล้ว มีพูดเรื่องนี้ไว้ชัดเจนแล้ว

เถรี
08-02-2011, 10:27
ถาม : ตอนถวายสังฆทาน ท่านให้พรเป็นภาษาบาลี แปลว่าอะไรครับ ?
ตอบ : บอกมาว่าบทไหน จะแปลให้ฟัง อาตมาสวดตั้งหลายบท

ถาม : ยกตัวอย่างให้ฟังก็ได้ครับ
ตอบ : ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง ขอให้ประสบความสำเร็จ มีชัยชนะ มีลาภผลเงินทอง โสตถิ ภาคยัง พึงมีส่วนของความสุขสวัสดี สุขัง พะลัง ประกอบไปด้วยความสุขและกำลัง สิริ อายุ จะ วัณโณ จะ โภคัง ประกอบไปด้วยมิ่งขวัญ อายุ ชาติตระกูลและโภคสมบัติทั้งปวง วุฑฒี จะ ยะสะวา ขอให้เป็นผู้เจริญด้วยยศศักดิ์ สะตะวัสสา จะ อายู และมีอายุยืนนานประมาณหนึ่งร้อยปี จะ ชีวะสิทธี ภะวันตุ เต ฯ และขอให้ความสำเร็จเหล่านี้จงมีแก่ชีวิตนี้ของเธอ..รับไปเถอะ..คุณอยากรู้ อาตมาก็แปลให้ฟัง ฟังแล้วก็ไม่เอาอีก

ถาม : เอาครับ..แต่ร้อยปีไม่เอานะครับ..นานไป
ตอบ : บอกแล้ว..แปลให้ฟัง..คุณก็ไม่เอา..!

เถรี
08-02-2011, 10:44
ถาม : ตั้งแต่หลวงตามหาบัวมรณภาพ ท่านได้ไปกราบหลวงตาหรือยังครับ ?
ตอบ : ยังเลย..เคยแต่ร่วมถวายทองช่วยชาติกับท่านไป พอท่านมรณภาพแล้วยังไม่ได้มีโอกาสไปถึงวัด ได้แต่ส่งใจไปอย่างเดียวจริง ๆ

อาตมารู้จักหลวงตาตั้งแต่สมัยที่ท่านยังไม่โด่งดัง ที่น่าขำที่สุด ก็คือ ขอหวยแล้วท่านให้ ปกติสมัยนี้ใครไปถามท่านก็คงหัวแตกแทน..!

สมัยนั้นอาตมาเป็นเด็กวัยรุ่นและซน อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับอภิญญาสมาบัติ อยากรู้ว่าพระที่ปฏิบัติมาสายวิสุทธิมรรคตรง ๆ แล้ว จะมีความรู้เรื่องพวกนี้หรือไม่ ? ท่านก็บอกเลขให้ตรง ๆ เลย เพราะท่านรู้ว่าเราไม่ซื้อ และเลขนั้นก็ออกมาตรง ๆ เสียด้วย

สมัยนั้นมีโอกาสวิ่งรับใช้หลวงปู่หลวงพ่อสายหลวงปู่มั่นมากต่อมากด้วยกัน จนกระทั่งคนเขาเอารูปเก่า ๆ มา อาตมาบอกได้เลยว่า องค์ไหนเป็นองค์ไหน ตอนไปที่วัดห้วยน้ำขาว เขาติดรูปพระสายหลวงปู่มั่นไว้เต็ม บอกเขาเลยว่า องค์นี้คือใคร ไล่ไปเรื่อย ท่านมหาจรูญโรจน์บอกว่า "นี่หลวงพ่อรู้จักทุกองค์เลยหรือ ?" อาตมาจึงบอกว่า ส่วนใหญ่เคยวิ่งรับใช้ท่านมาก่อน

ตอนนั้นยังเด็ก อายุสิบกว่า ๆ โยมแม่ไปเป็นกรรมการวัดธรรมมงคล ช่วยหลวงพ่อวิริยังค์สร้างพระเจดีย์ ต้องไปบวชปีละ ๑๐ วัน จริง ๆ แล้วอาตมาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่นั่นแหละ พอหลวงปู่หลวงตาท่านเห็นเด็ก ๆ วิ่งคล่อง ท่านก็เรียกใช้ตลอด

คนอื่นเขาไปใส่บาตรท่าน ส่วนอาตมากลับไปขอข้าวท่านกิน ถือจานไปใบหนึ่ง "หลวงปู่ครับขอหน่อยครับ หลวงพ่อครับขอหน่อยครับ" โดยเฉพาะท่านพระอาจารย์วัน อุตฺตโม วัดถ้ำภูผาเหล็ก ช้อนท่านเกือบเท่าทัพพี..! จ้วงข้าวให้แต่ละทีเกือบค่อนจาน สรุปแล้วคนอื่นเขาไปใส่บาตรพระกรรมฐาน ส่วนอาตมาไปขอข้าวท่านกิน..!

เถรี
08-02-2011, 15:00
ถาม : ฆราวาสอย่างเรา ถ้าจิตก่อนตายเกาะพระนิพพานได้ จะได้ไปนิพพานไหมครับ ?
ตอบ : เกาะพระนิพพานได้ก็ไม่ไปที่อื่นแล้ว

ถาม : แล้วคนที่ไปนิพพานได้ บารมีต้องพอไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่พอจะไปได้อย่างไร ? จำไว้ว่า เกาะดีหรือเกาะชั่วก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น วาระสุดท้ายจริง ๆ แล้วจะไม่เกาะอะไรเลย แต่พระนิพพานเต็มอยู่ในใจของตัวเอง เคยบอกว่า เป็นนกอยู่บนฟ้าแล้วอธิบายให้ปลาในน้ำฟัง ว่านกบินข้างบนเป็นอย่างไร ปลาก็คงไม่รู้เรื่องหรอก..!

ให้รู้ไว้ว่า อันดับแรกให้เกาะความดีก่อน เพราะว่าความดีจะเป็นกำลังส่งให้เราหลุดพ้นไปพระนิพพานได้ แต่พอทำไป ๆ ท้ายสุดแม้แต่ดีก็ไม่เกาะ

ถามว่าในเมื่อไม่เกาะแล้วจะไปนิพพานได้อย่างไร ? ก็เพราะว่าเวลานั้น วาระนั้น คำว่าพระนิพพานจะเต็มอยู่ในใจของเราเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงจุดไหนก็รู้ว่านี่คือพระนิพพาน ก้าวไปถึงตรงไหนก็รู้ว่าพระนิพพานอยู่ตรงนั้น

ถาม : คนประเภทนี้ผมเจอเยอะ คนที่ได้มโนมยิทธิ...
ตอบ : อาตมาก็เจอมาเยอะ ๙๙ เปอร์เซ็นต์เพี้ยนหมด..!

ถาม : ผมเลยไปถามหลวงปู่ท่อนว่า มโนมยิทธิเป็นอย่างไรครับ ? หลวงปู่ท่อนบอกว่า ให้จิตอยู่กับตัวเรา อย่าไปสนใจใคร เดี๋ยวจะเป็นนิมิตหลอกเสียเปล่า ๆ
ตอบ : ส่วนใหญ่จะโดนหลอกไปสัก ๙๙ เปอร์เซ็นต์..!

ถาม : จุดประสงค์จริง ๆ ก็คือให้เกาะพระนิพพานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ทำอะไรก็ได้ให้กิเลสกินใจเราไม่ได้ ในเมื่ออยู่กับความปราศจากกิเลสของพระนิพพานไปนาน ๆ ท้ายสุดสภาพจิตที่ชินกับการหมดกิเลส ก็จะรับอารมณ์ชินนั้นมาเป็นของตนเอง

เถรี
08-02-2011, 15:05
ถาม : ถ้าเราเกิดไปปรามาสพระอรหันต์ที่ล่วงลับไปแล้ว จะบาปไหมครับ ?
ตอบ : ปรามาสพระรัตนตรัย ไม่ว่าจะล่วงลับหรือไม่ล่วงลับก็บาปสาหัสพอกัน

ถาม : แต่ถ้าปรามาสพระที่ปาราชิกไปแล้ว ยังใส่ผ้าเหลืองอยู่ และมรณภาพไปแล้ว ก็ถือว่าบาปน้อยกว่าปรามาสพระที่เป็นอรหันต์ไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญตรงที่ว่า ตอนนั้นสภาพจิตของเราประกอบไปด้วยกิเลสมากน้อยแค่ไหนด้วย ถ้าเราใส่อารมณ์โกรธไปเต็ม ๆ กับการที่เราทำไปด้วยความไม่รู้ โทษก็ต่างกัน

แต่ส่วนใหญ่แล้ว ระหว่างการปรามาสผู้ที่บริสุทธิ์จริง ๆ กับผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ ปรามาสผู้ที่บริสุทธิ์โทษจะหนักกว่า มีเรื่องของโยมคนหนึ่งที่ไปด่าพระ พระรูปนั้นท่านทำผิดจริง ๆ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของฆราวาสที่จะไปด่าพระ โยมก็เลยไปเกิดเป็นเปรต เสวยทุกข์โทษจนนับเวลาไม่ถ้วน

โยมท่านนั้น (ที่เป็นเปรตอยู่) สรุปว่า กรรมของคนอื่นแท้ ๆ แต่ไปรับมาเป็นของตนเอง เขาทำผิดก็เรื่องของเขา เราไปด่าเขา จิตของเราประกอบไปด้วยโทสะ จิตมีแต่ความเศร้าหมอง ตายไปก็เลยซวยไปด้วย

ถาม : แต่ถ้าเกิดพระรูปนั้นมรณภาพไปแล้ว หรือว่าพระรูปนั้นอยู่ที่นรก ?
ตอบ : ตามไปขอขมาท่านในนั้นก็แล้วกัน..!

เถรี
08-02-2011, 15:19
ถาม : จิตมีความเบามาก เบาจนหนูตกใจมาก แทบจะเบาโหวงเหวง จับต้องไม่ได้เลย หนูพูดไม่ถูก..?
ตอบ : เบา บาง และนิวรณ์กินไม่ได้

ถาม : ใช่ค่ะ..เหมือนกับว่าไม่มี
ตอบ : อย่าเพิ่งไปเชื่อว่าดี เชื่อเมื่อไรเดี๋ยวโดนกิเลสบีบคอตายอีก ตามดูไปสักระยะหนึ่ง กติกาอะไรที่เราทำแล้วเกิดสิ่งนี้ได้ เราต้องซักซ้อมทำไปทุกวัน โดยเฉพาะในส่วนของกาย วาจา ใจอะไรก็ตาม ที่จะกระทบกับผู้อื่น พยายามระมัดระวังให้สุดขีด เพราะว่าถ้ามาถึงระดับนี้จริง ๆ ก็จะเป็นโทษแก่เขามาก กลายเป็นว่าเราต้องปรับตัวขนานใหญ่

ถาม : อีกอย่างหนึ่งคือ เราก็ทรงสมาธิของเราในระดับปกติ แต่กลายเป็นว่าจิตเชื่อมโยงกับสิ่งต่าง ๆ
ตอบ : จิตจะทำงานอัตโนมัติเองอยู่แล้ว

ถาม : เป็นอัตโนมัติใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเราทำถึงตรงนั้นเมื่อไร ก็จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ จำไว้นะ..อย่าเชื่อเป็นอันขาด เชื่อว่าดีเมื่อไร ตายเมื่อนั้น เราไม่ใช่ไกรทอง ที่บอกว่าเราไม่ใช่ไกรทอง ก็คือ ไกรทองเขามั่นใจในครูบาอาจารย์ เขาเลยไม่กลัวชาละวัน กลอนเขาว่า

ไกรทองเข้าชิดติดชนัก...........จมน้ำสำลักไม่ยักหนี
ทิ้งชนักควักมีดกรีดกุมภีล์....... เชื่อดีต่อสู้ไม่รู้รา


เชื่อดีก็คือ เชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ เชื่อในความสามารถของตัวเอง แต่ของเราอย่าไปเชื่อว่าดีอย่างนั้น เชื่อว่าดีเดี๋ยวจะแย่

ถาม : บางทีก็มีความเผลอ ปรุงแต่งไปว่าเราดี พอเผลอตัวสมาธิก็เข้ามาหยุดไว้ทันที กลายเป็นว่า ปรุงไปได้สักประมาณ ๑-๒ วินาที ทีนี้เราก็ใช้ปัญญามองเห็นว่า แม้กระทั่งการที่เรามองเห็นว่าเราดีหรือเราชั่ว ก็ยังเป็นอารมณ์ที่หนักอยู่ ถ้าอย่างนั้นเราไม่ดีเราไม่ชั่วก็แล้วกัน หนูว่าตรงนี้จะใช่มากกว่า
ตอบ : เราต้องไม่เกาะทั้งสองฝ่าย ถ้ามีความคล่องตัวจริง ๆ กรรมฐานพวกนี้เขาจะขึ้นมาทำหน้าที่ของเขาโดยอัตโนมัติเอง อย่างที่เล่าให้ฟังเมื่อเดือนก่อนว่า อยู่ ๆ ก็โดนอสุภกรรมฐานเข้ามาเล่นจนเกือบหงายท้อง ทำต่อไป..เรียนจบเมื่อไรค่อยเข้าวัด เป้าหมายสูงมากเลย เรียนจบแล้วเข้าวัด..!

ถาม : วันนั้นคุยกับเพื่อน เผลอพูดออกไปว่า แม้กระทั่งจิตก็ไม่ใช่เรา เพื่อนเขารู้สึกค้านในใจ เขาบอกว่าหลวงพ่อฤๅษีบอกไม่ใช่หรือ ว่าร่างกายกับจิตเป็นคนละส่วนกัน ร่างกายไม่ใช่เรา ส่วนเราคือจิตที่แยกออกมา หนูก็บอกเพื่อนไปว่า ลองคิดดูสิ..ถ้าทำไปจนถึงระดับหนึ่ง จนท้ายสุดเห็นว่าทุกสิ่งไม่ใช่เรา แม้กระทั่งจิตซึ่งเป็นส่วนที่ละเอียดที่สุด จะเห็นว่าเป็นเราได้อย่างไร ? คือ มีสภาวะของความเป็นจิตอยู่ แต่เราไม่ไปยึดมั่นถือมั่นว่าจิตนั่นคือเรา
ตอบ : สาธุ...อธิบายได้ชัดแล้ว แต่เพื่อนจะเข้าใจหรือเปล่า ?

เถรี
08-02-2011, 15:22
ถาม : การที่เรารู้สึกว่า เรากินเหล้าได้ เป็นอารมณ์ที่กินก็ได้ ไม่กินก็ได้ เพียงแต่ว่าเราไม่กินเพราะรู้ว่าไม่ดี เป็นอารมณ์วางหรือเป็นมิจฉาทิฐิคะ ?
ตอบ : เป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่ว่ายังมีปัญญาประกอบอยู่ จึงไม่ล่วงละเมิด ดังนั้น..เขาเรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส ยังเป็นกิเลสที่กรุ่นอยู่ข้างในใจ ยังไม่ล่วงละเมิดออกมา ถ้าล่วงละเมิดออกมาก็จะเป็นวีติกกมกิเลส ถ้าขาดปัญญานิดเดียวก็ไปเลย

เถรี
08-02-2011, 22:05
ถาม : ลูกชายเหมือนเป็นออทิสติก เป็นกฎของกรรม โยมเป็นแม่ จะช่วยเขาอย่างไรคะ ?
ตอบ : ดูแลเขาให้ดีที่สุดจ้ะ บางทีคนออทิสติกก็มีอัจฉริยภาพบางอย่างเหนือกว่าคนทั่วไป เราดูว่าเขาถนัดทางด้านไหน แล้วให้เขาศึกษาทางด้านนั้น เขาจะทำได้ดีมากเลย ลองให้หมอลองทดสอบดูก่อนว่าเขาถนัดทางด้านไหน

ออทิสติกจะมีแค่การรับรู้หรือการอยู่ร่วมกับคนอื่นที่ลำบากเท่านั้น แต่การเรียนของเขาบางด้านจะเป็นอัจฉริยะเลย

ถาม : ตัวนี้จะติดไปตลอดชีวิตหรือว่าจะเบาบางลง ?
ตอบ : จะมีพัฒนาการของเขาอยู่ ถ้าพัฒนาถูกทางก็จะเบาบางลงได้

ถาม : กรรมตัวนี้ เขาต้องรับไว้ทั้งชีวิตเลยหรือคะ ?
ตอบ : อาจจะหลายชาติด้วยซ้ำไป ถ้ามีโอกาสก็ให้เขาทำบุญ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรบ่อย ๆ ขอให้อโหสิกรรมให้เขาด้วย

ถาม : แล้วเขาจะมีโอกาสที่เขาจะนิพพานในชาตินี้บ้างไหมคะ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเขาจะมีความเข้าใจและตัดสินใจในการปฏิบัติได้หรือไม่ ? ถ้าหากสามารถที่จะเข้าใจธรรมะ ตัดสินใจได้ ก็มีโอกาสจ้ะ

ถาม : สอนลูกอย่างไรให้ได้สติทีละน้อย ?
ตอบ : ทำตัวเองให้เป็นตัวอย่าง อยากให้เขาทำสมาธิ เราก็ต้องนั่งสมาธิให้เขาดู อยากให้เขาทำบุญ เราก็ต้องพาไป สำคัญตรงพ่อแม่ต้องทำเป็นตัวอย่าง

ลองให้หมอเขาทดสอบก่อนว่าเด็กเขาชำนาญทางด้านไหน แล้วให้เขาศึกษา ให้เขาทำในสิ่งที่เขาชอบ เขาก็จะมีความสุข

ถาม : โรงเรียนที่ลูกเรียนอยู่ บางทีเขาก็ไม่อยากเอา
ตอบ : เดี๋ยวนี้กฎหมายเขาบังคับแล้วจ้ะ บังคับว่าแต่ละโรงเรียนจะต้องรับเด็กด้อยโอกาสหรือเด็กพิการกี่คน

เถรี
08-02-2011, 23:38
พระอาจารย์เล่าเรื่องการเลี้ยงลูกให้ฟังว่า "การเลี้ยงลูกต้องมีทั้งขนมทั้งไม้เรียว เราจะไปรักไปเมตตาเขาอย่างเดียวไม่ได้หรอก ถ้าเมตตาอย่างเดียว เดี๋ยวจะเหมือนในข่าว ที่ลูกไม่พอใจก็เลยขับรถเบนซ์ไล่ชนคนตายไปสามสี่ศพ..!

เด็กจะมีจิตสำนึกได้ ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของพ่อแม่ เพราะพ่อแม่จะเป็นคนที่อบรมสั่งสอนก่อน หลังจากนั้นจึงเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ สำคัญตรงพ่อแม่ ส่วนใหญ่จะตัดใจไม่ได้ ไม่กล้าตีลูก

บางทีอาตมาตีเด็กวัด พ่อแม่เขาก็ดูไปร้องไห้ไป เขาบอกว่าดีแล้วที่หลวงพ่อตี ถ้าผมตีก็ไม่กล้าตีขนาดนั้น แต่ก็แปลก..เราตีเท่าไรเขาก็อยู่กับเรา เพราะเขารู้ว่าที่เขาทำนั้นผิดจริง ๆ

เราจะมีข้อตกลงกันก่อน ตกลงกันว่า ทำผิดครั้งแรกโดนตี ๑ ที ครั้งที่สองโดนตี ๒ ที ครั้งที่สามโดนตี ๓ ที เพิ่มไปเรื่อย ๆ บางคนโดนเป็นโหล แต่เขาจะไม่ผิดเรื่องเดิม เขาจะไปผิดเรื่องใหม่

ถ้าเด็กเขารู้ว่าเราหวังดี เขาก็จะรับได้ โดยเฉพาะถ้าได้ตกลงกันไว้ก่อนว่า ทำผิดแล้วจะโดนลงโทษ เขาจะรู้ตัวเร็ว อย่างเราบอกเขาว่า จะทำผิดแค่ไหนก็ไม่ว่า ยกเว้น หนึ่ง...ถ้าเราเห็นเอง สอง...มีคนฟ้องแล้วยอมเป็นพยานให้ อย่างนี้จะโดน

เด็กพวกนี้เขารักกันมากเลย บางทีก็ไปตัดพ้อต่อว่ากัน "ทำไมมึงต้องไปฟ้องหลวงพ่อด้วย" เพราะถ้าอาตมาไม่เห็นเอง และไม่มีคนฟ้องเป็นพยาน ก็จะปล่อย ถือว่าไม่รู้ไม่ชี้ จะทำอะไรเรื่องของเอ็ง แต่ถ้าเห็นเอง หรือมีคนฟ้องเป็นพยานให้ โดนแน่นอน"

เถรี
08-02-2011, 23:48
"บางทีญาติโยมเขาเห็นเด็กขาแตกเป็นแผล ลายไปหมด เขาก็ใส่บาตรไปน้ำตาไหลไป "นี่หลวงพ่อตีมันขนาดนั้นเลยหรือ ?" อาตมาก็บอกว่า "ให้มันเจ็บตัวแล้วจำ ดีกว่าให้มันไปเป็นโจร..!"

เวลาเราตี เราไม่ได้ตีเขาด้วยความโกรธ บางคนกว่าจะตีครบ ๑๒ ที ก็กินเวลาไปครึ่งชั่วโมง พอตีแล้ว เขาก็ลงไปม้วนกองกับพื้น เราก็สอนไปเรื่อย ๆ หายเจ็บก็ให้ลุกขึ้นมาตีใหม่ ตั้งแต่ต้นจนจบ เสียงไม่มีเปลี่ยน อารมณ์ทรงตัวดีมาก เขาก็จะรู้ว่า ที่แท้ตีเขาเพราะเขาผิดจริง ๆ

มีอยู่ช่วงหนึ่งอาตมาไม่อยู่วัด พอกลับไปเด็กวัดหายเกลี้ยง ไปถามดูจึงรู้ว่าอาจารย์สมพงษ์ตีเด็ก ท่านตีแค่ ๖ ที แต่ตีในลักษณะระบายอารมณ์ ตอนแรกเขาก็ปล่อยเด็ก ไม่ทำโทษ แต่พอนาน ๆ เข้า เด็กทำผิดบ่อยจนตัวเองอดรนทนไม่ไหว ทีนี้ก็เลยตีระบายอารมณ์ ตีไปด่าไป เด็กเขารับไม่ได้จึงหนีกลับบ้านหมด อาจารย์สมพงษ์ก็แปลกใจ "ผมตีแค่ ๖ ทีเอง มันหนีกันหมดเลย หลวงพ่อตีเป็นโหล มันก็ยังอยู่""

ถาม : ก่อนตีควรมีคำตักเตือนเขาไหมคะ ?
ตอบ : ต้องมีจ้ะ บอกเขาว่าทำอย่างนี้ทำไม่ถูกนะ ถ้าคราวหน้าทำอีกก็จะโดนตี บอกเขาไปเลย ถ้าทำอีกจะโดนตีกี่ที พอคราวหน้าเขาทำอีก ให้บอกก่อนว่า "แม่บอกแล้วใช่ไหมว่า ถ้าทำอย่างนี้จะโดนตี เพราะฉะนั้น..มาให้ตีเสียดี ๆ"

เด็กสมัยนี้เขาฉลาด เขารู้ว่าจะจัดการพ่อแม่อย่างไร ถึงจะอยู่มือเขา แล้วเด็ก ๆ จะเรียนรู้เร็วมากเลย มีอย่างเดียวก็คือ ต้องวางใจเป็นอุเบกขาแล้วลงโทษเขาให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วต่อไปจะไม่มีใครเอาอยู่

เถรี
09-02-2011, 00:00
ถาม : โยมเรียนปริญญาเอก จะทำงานวิจัยร่วมกับทางต่างประเทศ อยากจะถามว่า ถ้าจะฝึกเด็กให้มีจิตสัมผัสที่ละเอียดขึ้น ภายในสองวัน หัวใจของการฝึกควรจะเริ่มต้นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ควรจะเอาสมาธิเป็นหลัก ระหว่างที่ฝึกสมาธิอยู่ ก็ต้องให้ศีลเขาทรงตัวด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ ตอนที่เขาทำสมาธิ เขาไม่ได้ละเมิดศีลอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าให้มั่นใจว่าศีลของเราช่วงนั้นบริสุทธิ์

คราวนี้การที่จะฝึกให้ได้ผลจริง ๆ นั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก ถ้าเราดูในมหากัมมวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า โยคีบุคคลผู้ตั้งใจปฏิบัติในอานาปานสตินับแสนคน จะทรงฌานได้สักคนก็แสนยาก บุคคลผู้ทรงฌานสักแสนคน จะได้ทิพจักขุญาณสักหนึ่งคนก็แสนยาก

คราวนี้สัมผัสต่าง ๆ ที่เราต้องการให้รับรู้ในสิ่งที่ละเอียด ที่นอกเหนือจากอายตนะสัมผัสทั้ง ๕ จะต้องเป็นส่วนของทิพจักขุญาณ กลายเป็นว่าระยะเวลาสองวันที่เราว่ามา ถ้าคนไม่มีพื้นฐาน สองชาติยังไม่ได้ไปไหนเลย..! สิ่งที่เราทำ ถ้าจะมีผลขึ้นมาได้ก็เกิดจากบุคคลที่มีของเก่ามาแล้วเท่านั้น

ถาม : แล้ววิธีการตรวจสอบว่า เด็ก ๆ ที่มีของเก่ามาแล้ว ควรตรวจสอบอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่สามารถที่จะตรวจสอบได้โดยวิธีการปกติ เพราะว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องเป็นบุคคลที่มีทิพจักขุญาณด้วยกัน เขาจึงสามารถบอกได้ แต่ขณะเดียวกัน โอกาสที่จะผิดพลาดก็ยังมีอยู่ มีโอกาสผิดพลาดอยู่ที่ ๒๐ เปอร์เซ็นต์

เอาเป็นว่า ถ้าเด็กคนนั้นมีความปรารถนาหรือความชอบที่จะทำในเรื่องอย่างนี้ ให้คาดไว้ก่อนว่าเขามีของเก่ามาก่อน ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ชอบเรื่องอย่างนี้ ถ้าทำเป็นรูปธรรมได้ ถือว่าสุดยอดมาก

เถรี
09-02-2011, 00:09
ถาม : ตรงนี้โยมได้ทำวิจัย และได้ผลออกมาขั้นหนึ่งแล้ว เนื่องจากว่าการเข้าสู่สมาธิ จริง ๆ เมื่อมองทางด้านสรีระร่างกาย เป็นเรื่องของการปรับคลื่นสมอง เพราะว่าพอปรับคลื่นสมองมาระดับหนึ่ง จากปกติที่ไม่มีสมาธิ จิตฟุ้งซ่านอยู่ พอเข้าสมาธิเป็นการรวมจิตเข้ามา คลื่นสมองเขาจะค่อย ๆ ลดลงมา ต่ำลง
ตอบ : นั่นเป็นขั้นแรก..จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สามารถใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์วัดได้

ถาม : ขั้นของสมาธิลงมาแต่ละขั้น เราก็มีเครื่องมือที่วัดได้ว่า เขาอยู่ในระดับไหนแล้ว จนกระทั่งตอนนี้เรามีเทคโนโลยีที่สามารถเข้าไปตรวจสอบเรื่องฌาน

ฌานก็จะมีอยู่สองแบบ คือ แบบอลมณู ที่พิจารณาแบบสมถะ กับลักขณู ก็คือ พิจารณาแบบไตรลักษณ์ แบบสมถะจะเป็นแบบฌานนิ่ง แต่ถ้าเป็นลักขณู จะเป็นฌานระดับที่พิจารณา ซึ่งมีวิปัสสนาเข้ามาอยู่ ตรงนี้เทคโนโลยีเขาก็พัฒนาไปจนถึงขีดที่จะรู้ตรงนี้ได้

ตอบ : น่าจะยังไม่ทันนะ..เพราะว่าบุคคลที่มีความคล่องตัวมาก ๆ เขาสามารถทำไปจนถึงระดับฌานใช้งาน ฌานใช้งานอาการจะออกมาลักษณะเดียวกับวิปัสสนาที่เราใช้พิจารณาไตรลักษณ์

ถ้าถึงระดับนี้แม้ว่าจะทรงสมาธิอยู่ระดับไหนก็ตาม ก็สามารถที่จะเคลื่อนไหวทำสิ่งต่าง ๆ ได้ ลักษณะเดียวกับบุคคลที่ไม่ได้ทรงสมาธิ

ถาม : แต่ภายในของเขาจะยังนิ่งอยู่ ?
ตอบ : จ้ะ..ถ้าเปรียบไปก็เหมือนกับน้ำก้นบ่อลึก ๆ น้ำปากบ่ออาจจะกระเพื่อมตามแรงลมบ้าง แต่ก้นบ่อจะนิ่งอยู่ตลอด ตรงนี้ถ้าเราวัดด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เป็นไปตามหลักวิชาการ จะได้นำไปใช้อ้างอิงได้ โอกาสที่ผลออกมาผิดพลาดก็ยังมีอยู่

ถาม : เพราะว่าสิ่งที่เขาสัมผัสจะจริงหรือไม่จริง ก็ต้องแยกออกมาอีกส่วนหนึ่ง ในจุดที่โยมจะแปลง ก็คือ จะสอนเด็กโดยประยุกต์ลักษณะนี้ให้ออกมาเป็นแนวสากล เพราะว่าเด็กยุคสมัยนี้ ถ้าบอกให้มาทำสมาธิ
ตอบ : ขาดใจตายแน่..!

เถรี
09-02-2011, 00:17
ถาม : ใช่ค่ะ..จากการที่โยมศึกษาข้อมูลของทางต่างประเทศด้วยก็พบว่า จุดหนึ่ง ต้องสร้างให้เด็กมีความสนุก ทางพุทธศาสนาเรียกว่าปีติ
ปีติก็คือ ฮอร์โมนตัวหนึ่งที่ต่อมไพเนียลจะทำงาน พอทำงานก็จะมาเชื่อมกับต่อมพิทูอิทารี ซึ่งตรงนี้ ถ้าสองต่อมเชื่อมกันก็จะเรียกว่าเป็นลักษณะการสว่างวาบ จะสามารถหยั่งรู้บางสิ่งบางอย่างที่เหนือธรรมชาติขึ้นมา
ตอบ : จัดเป็นวิชาการมากเลย

ถาม : ก็คือ เอาวิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนามาผสม โยมอยากจะทำในลักษณะที่เป็นสากล ที่เด็กทั่วไปจะเข้ามา เพราะจะเป็นจุดหนึ่งที่เผยแพร่พระพุทธศาสนาอีกแง่มุมหนึ่งของเด็กสมัยใหม่
ตอบ : ได้ลองไปดูของแนวสัตยาไสของอาจารย์อาจองมาบ้างหรือยังจ๊ะ ? เขาจะออกมาแนวนี้เหมือนกัน แต่ด้านพุทธศาสนาก็ยังเอามาใช้น้อยอยู่

ถาม : ในเรื่องของสมาธิ ผู้ที่มีญาณหยั่งรู้จะรู้ได้ แต่ถ้าเรามีตัววัด พอจะได้บ้างไหม ? คือ ค่าความคลาดเคลื่อนของตัววัดนั้นมีอยู่แน่นอน
ตอบ : ตามที่ว่ามานั้นใช่เลย เพราะในแต่ละระดับร่างกายของเรา จะมีปฏิกิริยาทางเคมีของฮอร์โมนหรืออวัยวะภายใน ที่แสดงออกอย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าเครื่องมือเหล่านี้ที่วัดได้ เป็นที่ยอมรับกันก็จริง แต่ถ้าไปถึงระดับหนึ่งจริง ๆ ในระดับที่เขาทรงสมาธิกันได้ เครื่องมือจะวัดไม่ได้นะสิ.. เพราะร่างกายเราจะเหมือนกับคนตายไปเลย

เขาทดสอบกันมาแล้วจ้ะ พอถึงเวลาแล้วเครื่องมือวัดไม่ได้ เพราะสภาพจะละเอียดเกินกว่าเครื่องมือวัดได้ ทั้ง ๆ ที่เรานั่งคุยกัน แต่สภาพข้างในร่างกายเหมือนกับคนตาย ไม่มีอวัยวะส่วนไหนระบุว่ากำลังทำงานอยู่..! เอาเป็นว่า ส่วนที่เราทำยังอย่าเพิ่งให้ถึงตรงนี้ เพราะเครื่องมือยังไม่สามารถที่จะวัดได้

เถรี
09-02-2011, 08:39
ถาม : ขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ โยมจะค่อย ๆ สอนเด็ก อยากให้ท่านช่วยแนะนำค่ะ ตอนนี้โยมประยุกต์พุทธกับวิทย์ มาบูรณาการร่วมกันให้ทันสมัยขึ้น
ตอบ : ทางที่จะทำให้เด็กสนใจก็คือ ให้เขาสนุกก่อน การที่จะให้เขาสนุก อย่างเช่นใช้ดนตรี หรือไม่ก็อาจจะมีการออกกำลังควบกับสมาธิ อย่างคนจีนเขามีพวกไท้เก๊ก ชี่กง เรื่องพวกนี้อาจจะทำให้เด็กสนุกและเริ่มสร้างสมาธิขึ้นมาได้

ถาม : ถ้าเด็กเขามีจิตสัมผัสที่ละเอียดขึ้น อย่างขั้นที่ ๑ โยมไม่ค่อยเป็นห่วงในการสร้างให้เด็กมีสัมผัสที่ละเอียดขึ้น อันนี้โยมมีผลงานวิจัยรับรองผลแล้ว แต่พอมาถึงสภาวะหนึ่ง เด็กเขาจะเกิดการรับรู้ อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ภาพที่เขาได้เห็นหรือได้ยินเข้ามา จะมีอยู่สองประเภท คือ เขาโดนหลอกกับเป็นของจริง ตรงนี้จะทำให้เขาแยกได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ผู้ใหญ่ยังแยกไม่ออกเลย..! คือ คนหลอกเขาเป็นสุดยอดฝีมือเลย เขาวางหมากกี่ชั้น เขาสามารถจะกินเราได้ทุกชั้นเลย ต้องยอมรับว่าแม้แต่ตัวอาตมาเองยังโดนหลอกอยู่ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น...เราจะทำให้เด็กเขาเข้าใจอย่างไรนั้น อย่าเพิ่งเอาผลตรงนั้นดีกว่า เราเอาผลตรงที่ว่า เมื่อเด็กมีจิตที่สงบลง ความเปลี่ยนแปลงอันดับแรก สมาธิดีขึ้น อาจจะมีผลการเรียนดีขึ้น และความประพฤติเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้นด้วย

เราเลือกมาวัดทางด้านนี้จะดีกว่า ถ้าจะไปเอาตรงจุดนั้น แม้แต่อาตมาก็ยังโดนหลอกมาตลอดเลยจ้ะ

เถรี
09-02-2011, 08:46
ถาม : ขั้นที่ ๑ ของโยม เด็กมีสมาธิ มีจิตที่ละเอียดขึ้น พฤติกรรมเปลี่ยน อันนี้ผลได้แล้ว แต่พอหลังจากนั้น การที่เด็กเขามีการฝึกอย่างต่อเนื่องไปอีก เพราะโยมก็ให้การบ้านไปฝึก จิตเขาจะมีการพัฒนาไปเรื่อย ๆ พอพัฒนามาจนถึงจุดหนึ่ง เขาจะเจอสภาวะนี้ค่ะ แม้กระทั่งลูกของโยมตอนนี้ก็เจอ
ตอบ : บอกเขาว่า สิ่งที่เรารู้เห็น เรารู้เห็นจริง แต่เรื่องที่เราเห็นไม่แน่ว่าจะจริง อาตมาเคยยกตัวอย่างอยู่เสมอว่า เห็นคนเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราอาจจะไปแจ้งตำรวจหรือลากมีดลากปืนไปช่วยเขา แต่จะโดนเขาเหยียบตายเพราะเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่..!

สิ่งที่เราเห็น คือ เขาไล่ฆ่ากันมาจริง ๆ แต่เรื่องที่เห็นไม่ใช่เรื่องจริง เพราะฉะนั้น..พวกนี้เขาสามารถที่จะปรุงแต่งหลอกเราได้ตลอดเวลา ก็เหลืออยู่คาถาเดียว ที่จะบอกเด็กก็คือ อย่าเพิ่งเชื่อในเรื่องที่เห็น จนกว่าจะพิสูจน์ได้

การพิสูจน์ก็ให้พิสูจน์ในสิ่งที่เห็นได้ในระยะสั้น ๆ อย่างเช่นว่า เราไปโรงเรียนพรุ่งนี้ คุณลองใช้จิตสัมผัสดูว่า คุณจะเจอเพื่อนคนไหนก่อน ? หรือไม่ก็ถ้ามีการแข่งกีฬาอยู่ ผลของฟุตบอลคู่นี้ออกมา ใครแพ้ ใครชนะหรือเสมอกัน ? ลองกำหนดใจดูซิ ก็จะสามารถพิสูจน์ในระยะเวลาสั้น ๆ ได้

ถ้าหากเขาทายผิด บอกเขาว่าไม่ต้องไปจำอารมณ์นั้นไว้ แต่ถ้าหากทายถูก เขาวางอารมณ์ได้ถูกอย่างไร ให้เขาจำอารมณ์นั้นไว้ ให้เขาฝึกซ้อมอย่างนี้บ่อย ๆ โอกาสที่จะโดนหลอกก็จะมีน้อย เพราะจะจำได้ว่าอารมณ์ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน เวลาที่ผิดพลาดโดนหลอก เราวางอารมณ์ผิดอย่างไร

แต่คราวนี้ไม่มั่นใจว่าเด็กที่เราเอาเป็นกลุ่มตัวอย่าง ช่วงอายุเท่าไร ?

ถาม : มีสองกลุ่ม ช่วงอายุ ๕-๑๐ ขวบ และ ๑๑-๑๔ ขวบ
ตอบ : กลุ่มที่สองยังพออธิบายให้เขาฟังได้จ้ะ ว่าความต่างของอารมณ์ใจที่ถูกกับผิดเป็นอย่างไร แต่กลุ่มแรกนี่ไม่มั่นใจแล้ว เพราะฉะนั้น..ให้เขาพยายามจำในส่วนที่ถูก ถ้าส่วนไหนผิด ไม่ต้องจำ ถ้าเขาจำในส่วนที่ถูกต้องได้ เรากำหนดอารมณ์นั้นได้เมื่อไร ความรู้สึกนั้นจะใช่ทุกครั้ง แต่ถ้ากำหนดผิดเมื่อไร ก็จะพลาดทันที

โดยเฉพาะในส่วนของก่อนการที่จะทำตรงนั้น ต้องพิจารณาในส่วนของไตรลักษณ์อย่างที่โยมว่า จนกระทั่งเห็นชัดเจนว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา จิตจะไม่เกาะร่างกายนี้ ความผ่องใสจะมีมากเป็นพิเศษ การรู้เห็นจะชัดเจนถูกต้องมากกว่า นี่เป็นคำแนะนำ แต่ไม่สามารถที่จะออกเป็นแบบสอบถามเพื่อการวิจัยได้

เถรี
09-02-2011, 09:04
ถาม : ในส่วนของนิวรณ์ จะสอนเด็กอย่างไรให้เข้าใจได้ง่าย ?
ตอบ : ถ้าสมาธิทรงตัว นิวรณ์จะไม่มี เพราะฉะนั้น..บอกให้เขาอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าลมหายใจผ่านจมูก...ผ่านอก..ไปสุดที่ท้อง ลมหายใจออกจากท้อง..ผ่านอก..ไปสุดที่จมูก ถ้าความรู้สึกอยู่แค่นี้นิวรณ์จะไม่มี

ทุกคนที่ความรู้สึกรู้ลมเข้าออกสามฐานนี้ได้ตลอดครบถ้วน คือ บุคคลที่ทรงปฐมฌานทั้งนั้น ขอยืนยัน แต่จะทรงได้นานเท่าไรแค่นั้นเอง อาตมากล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ เพราะอาตมาตามดูเฉพาะเรื่องนี้อยู่สามปี เพราะฉะนั้น..ถ้าเขาอยู่แค่นี้ได้ นิวรณ์ก็กินไม่ได้

ถาม : อย่างเวลาให้เขาทายอะไร ถ้ามีเครื่องล่อมาเป็นรางวัล..
ตอบ : โอกาสพลาดจะมาทันที เพราะจะเกิดรัก โลภ โกรธ หลง มาแทน จิตจะไม่สะอาด มีอยู่อย่างเดียวก็คือว่า ให้เขาทำในสิ่งที่เขาสนใจ ต้องการรู้อย่างไร กลับไปวันนี้จะเจอใครที่บ้านก่อน พรุ่งนี้จะเจอเพื่อนคนไหนก่อน เขาจะได้ตรวจสอบได้

ถาม : จากคำแนะนำ โยมประมวลได้ว่า สัมผัสแรกที่เข้ามากระทบ ไม่ว่าจะเสียง ภาพ กลิ่น หรืออะไรก็ตามขึ้นมาก่อน อย่าเพิ่งตัดสินว่าจริงหรือไม่จริง
ตอบ : จ้ะ..จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องหรือไม่

ถาม : จนกว่าอาจจะมีสิ่งหนึ่ง ที่อาจจะเป็นภาพหรือเสียงอื่นเข้ามารับประกัน เข้ามากระทบอีก เพื่อประมวลภาพเสียง กลิ่น รส นั้นออกมาเป็นองค์รวม ว่าสอดคล้องกันไหม ? ขึ้นอยู่กับความมั่นคงของจิต..?
ตอบ : ถ้าไม่มีความมั่นคง เอะใจสงสัยแม้แต่นิดเดียว ก็จะผิดเลย

ถาม : นี่คือวิจิกิจฉา ?
ตอบ : ใช่..ความสงสัยเกิดขึ้นนิดเดียว จะผิดเลย แต่อาตมาไม่มั่นใจในวุฒิภาวะของเด็ก ก็คือว่า แรก ๆ ของเขาเองอาจจะวางอารมณ์ใจได้ถูก แต่พอรู้มากขึ้น ๆ จะมีการเพริด ก็คือ อยากรู้อะไรมากกว่านั้นไป คราวนี้จะทำให้พลาดได้

พอตัวความอยากเข้ามา เท่ากับว่าเอากิเลสเข้ามาบวกแล้ว โอกาสที่เขาจะแทรกเข้ามาหลอกลวงก็มีมากขึ้น

ถาม : บางทีถูกหลาย ๆ ครั้ง ก็เริ่มมีมานะ
ตอบ : นั่นก็จะยิ่งไปกันใหญ่เลย

เถรี
09-02-2011, 10:19
ถาม : ตอนนี้โยมเจอพวกนักข่าวโทรทัศน์เขาโจมตีว่า...?
ตอบ : ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิบากกรรม ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าคุณมาเราพร้อมจะอธิบายให้ฟัง แต่ถ้าคุณเอาแต่โจมตีโดยไม่คิดหาความจริง ก็ถือว่าคุณกำลังขว้างลูกเทนนิสใส่ข้างฝา เดี๋ยวกรรมก็พาให้เด้งกลับใส่หน้าตัวเอง

ถาม : ตอนแรกโยมใช้คำว่าอภิญญา เลยโดนคุณส.พูดชื่อนามสกุลออกโทรทัศน์
ตอบ : รู้ไหมว่าคนอื่นต้องจ้างเขานาทีละเป็นแสนกว่าจะได้ลงโฆษณา เราไม่ต้องจ้างเขาก็ช่วยพูดให้ ถือว่าพลิกวิกฤตเป็นโอกาส

ถาม : แต่เขาพูดในทางลบค่ะ
ตอบ : ต้องถือว่าเขาช่วย สมัยก่อนหลวงพ่อฤๅษีอยู่ที่ซอยสายลม ท่านบอกว่า รับสังฆทานเดือนไหนได้ถึงสามหมื่นดีใจจนนอนไม่หลับเลย อยู่ ๆ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐไปโจมตีท่าน บอกว่ามีพระ แต่ไม่ยอมใช้ชื่อเป็นพระ ใช้ชื่อเป็นสัตว์เดรัจฉาน เที่ยวมาสอนคน ไม่รู้ว่าอวดอุตริมนุสธรรมหรือเปล่า

ปรากฏว่าคนอยากรู้อยากเห็น แห่ไปทำสังฆทานกันแน่นบ้านสายลมเลย เพราะฉะนั้น..บางอย่างวิกฤตก็เป็นโอกาสไปในตัวเหมือนกัน อย่างไรก็ขอเอาใจช่วยให้สำเร็จจ้ะ

เถรี
09-02-2011, 10:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของปฏิสัมภิทาญาณ ท่านรอบรู้ในธรรม ในเมื่อท่านรอบรู้ธรรม สิ่งที่ท่านรู้ทุกอย่างก็ลงที่เดียวกัน ก็คือ รู้ในเรื่องของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของร่างกายและทุกสรรพสิ่ง เท่ากับว่าท่านทรงพระไตรปิฎกไปเลย เพราะว่าพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็กล่าวถึงแต่เรื่องพวกนี้ทั้งนั้น

บุคคลที่จะสามารถอ่านพระไตรปิฎกได้ครบ ๔๕ เล่ม มีจำนวนน้อยมาก น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย อาตมาเองโดนหลวงพ่อบังคับจึงยอมอ่าน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พอไปฝังอยู่ในจิต จะไม่ได้ฝังอยู่แค่ชาติเดียว แต่ว่าจะพาติดตัวข้ามชาติข้ามภพไปเรื่อย ๆ พอกระทบเข้าเมื่อไร ก็จะเกิดการตื่นรู้ขึ้นมาทันที ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าเรารู้เพราะอะไร เพราะไม่ทราบว่าโดนเพาะฝังไว้ตั้งแต่แรกแล้ว"

เถรี
09-02-2011, 10:26
ถาม : พระที่ไม่เดินบิณฑบาต แต่มาประจำอยู่ร้านค้าตอนเช้า ๆ อย่างนี้ผิดวินัยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านให้ไปโปรดสัตว์ อยู่กับที่จะไปโปรดใคร ? ถามว่าผิดพระธรรมวินัยหรือไม่ ? ยังไม่นับว่าผิด แต่ถ้าหากว่าเป็นธุดงควัตรจะทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะธุดงควัตรท่านบอกไว้ชัดว่าต้องบิณฑบาตไปตามลำดับ

การที่พระไปยืนประจำอยู่ที่ร้านค้าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ผิดพระวินัยแต่ไม่เหมาะสม สมัยนี้พระวินยาธิการเขาเข้มงวดมาก มีกฎของเจ้าคณะกรุงเทพมหานครห้ามเวียนเทียนบิณฑบาต ถ้าทำแล้วมีคนแจ้งไป มีสิทธิ์โดนจับสึก..!

เถรี
09-02-2011, 13:47
พระอาจารย์บอกว่า "มีอย่างหนึ่งที่อาตมาเคยบอกอยู่เสมอว่า มารใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว ในการขวางเราไม่ให้ทำความดี เพราะฉะนั้น..ถ้าเกิดอะไรที่ไม่ดีขึ้น ทำให้เราเสียกำลังใจในการปฏิบัติความดี ให้รู้ว่านั่นเป็นการพยายามขัดขวางของเขา

แต่ให้ดีใจว่า ถ้าเขาพยายามขวางเรา แสดงว่าเรามีคุณค่าพอที่เขาจะลงมือ ถ้าเรายังห่างเป้าหมาย เขาไม่เสียเวลามาขวางเราหรอก ถ้าเราไม่มีราคาพอ เขาไม่เสียเวลาลงมือหรอก ฉะนั้น..ยิ่งโดนหนัก ๆ ก็ยิ่งน่าปลื้มใจว่า เขาเห็นว่าเราสมควรที่จะลงมือได้

ต้องบอกว่าเขาเป็นสุดยอดแชมป์โลก เขาอาศัยยึดครองจิตใจของมนุษย์มาจนกระทั่งนับกัปไม่ถ้วน เราที่ปฏิบัติตามแบบของพระพุทธเจ้า เหมือนกับบุคคลผู้ท้าชิง ต้องขึ้นเวทีไปเอาชนะเขา เพื่อที่จะก้าวผ่านให้ได้

ถ้าหากเราไม่มีทางที่จะชนะเขาได้ เขาไม่มายุ่งกับเราหรอก จะว่าไปแล้ว มารไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นครูที่ดีมาก ๆ เพียงแต่ว่าครูคนนี้ขยันทดสอบมาก ข้อสอบจะมาทุกเวลาที่เราเผลอ"

เถรี
09-02-2011, 13:50
ถาม : ผมปรารถนาพุทธภูมิครับ ขอคำแนะนำ
ตอบ : ไม่ต้องขอ ลุยไปเลย ทุกอย่างที่ทำเพื่อประโยชน์สุขของบุคคลส่วนรวม ไม่ต้องกลัวความเหนื่อยยาก

เถรี
09-02-2011, 13:51
ถาม : โหลดเพลงในอินเตอร์เน็ต ถือว่าผิดศีลข้อขโมยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาให้โหลดได้ แสดงว่าไม่มีลิขสิทธิ์ ไม่เข้าข่ายขโมยหรอก ของที่มีลิขสิทธิ์เขาไม่ให้โหลดง่าย ๆ หรอก ต้องให้เราสมัครสมาชิก ต้องจ่ายเงินก่อนสารพัด

เถรี
09-02-2011, 13:57
ถาม : เร็ว ๆ นี้มีใครจะเข้าสมาบัติบ้างไหมคะ ?
ตอบ : ยังไม่มีจ้ะ อาตมาเองเคยเข้าแค่สามวัน พอไปคุยกับครูบาเหนือชัย อารมณ์ทุกอย่างที่ทำเหมือนกันหมดเลย มิน่าเล่า..คนที่ทำเหมือนกัน เดินทางเดียวกัน จะรู้เหมือน ๆ กัน พออาตมาเล่ามาครึ่งหนึ่ง ท่านก็ต่ออีกครึ่งหนึ่ง พอท่านพูดครึ่งหนึ่ง อาตมาก็พูดต่ออีกครึ่งหนึ่ง ต่างคนต่างรู้กัน

แสดงว่า ถ้าเราปฏิบัติไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่พบเห็นก็เหมือน ๆ กันหมด

ถาม : ครูบาท่านเข้ากี่วัน ?
ตอบ : ๗ วัน บรรดาท่านทั้งหลายเหล่านี้ พอจะออกจากกรรมฐาน จะหาพระที่มั่นใจว่าดูแลรักษาท่านได้ ให้ไปรับท่านออกมา

ช่วงที่ท่านอดอาหาร ๗ วัน ร่างกายจะเพลียมาก ในเมื่อสภาพร่างกายแย่ สติสมาธิก็จะลดหย่อนไปด้วย อันตรายจะแทรกเข้ามาตอนนั้น ฉะนั้น..ท่านก็ต้องหาบุคคลที่มั่นใจว่าป้องกันรักษาได้ไปรับท่านออกมา ระยะหลังอาตมาต้องไปรับท่านหลายราย ถึงเวลาท่านจะระบุตัวเจาะจงมาเลย ปัจจุบันนี้ที่เป็นหลัก ๆ เลยก็ครูบาวิฑูรย์และครูบาเหนือชัย อย่างครูบาอริยชาติอาตมายังไม่มีโอกาสได้ไป เพราะท่านนิมนต์มาตอนติดสอนกรรมฐานต้นเดือนพอดี

เถรี
09-02-2011, 14:19
ถาม : ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าว่า สมาบัติ ๘ ต้องมีกสิณเป็นพื้นฐาน ?
ตอบ : จำเป็นต้องได้กสิณกองใดกองหนึ่ง แล้วเพิกภาพกสิณนั้นมาจับอรูปฌานแทน แต่ต้องทำให้ครบอรูปฌาน ๔ นะ ถ้ายังไม่ครบก็ยังไม่เป็นสมาบัติ ๘ แปลว่า หลังจากฌาน ๔ ในกสิณแล้ว ก็ต้องมาเป็นอรูปฌาน ๑ , ๒ , ๓ , ๔ หลังจากนั้นก็ต้องเก็บรอไว้ก่อน เขาเรียกว่า ยังเป็นข้าวดิบ กินไม่ได้

จนกว่าความเป็นพระอนาคามีเข้าถึงเมื่อไร คุณจะเป็นปฏิสัมภิทาญาณทันที ถ้ายังไม่ถึงความเป็นพระอนาคามี ตรงนี้จะเข้าถึงไม่ได้ เพราะอานุภาพที่สูงมาก ถ้ายังรัก โลภ โกรธ หลง แบบคนปกติอยู่ โลกนี้บรรลัยแน่

ถาม : อย่างนั้นวิธีการที่จะทำให้คาถาเงินล้านถึงสมาบัติแปด ทำได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำได้ เวลาคุณว่าคาถาเงินล้าน ให้คุณจับภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งเป็นหลัก จนกระทั่งภาพพระนั้นชัดเจนแจ่มใสเป็นประกายพรึกเต็มที่ แล้วคุณค่อยเพิกภาพนั้นมาจับอรูปฌานแทน

เถรี
09-02-2011, 15:55
ถาม : พระนามจริงท่านปู่ คือ สักกเทวราช แล้วท่านย่าละครับ?
ตอบ : ตกลงนี่คุณไม่รู้จริง ๆ หรือ? คำว่า สักกะเทวราช แปลว่า ราชาของเทวดาแห่งสรวงสวรรค์ เป็นตำแหน่ง ไม่ใช่ชื่อ

แล้วเรื่องของผู้ใหญ่ ถ้าไม่จำเป็น เรียกปู่เรียกย่าได้ก็จะปลอดภัยที่สุด คนที่จะเรียกโดยออกชื่อได้ จะต้องอาวุโสมากกว่า

ปัจจุบันอาตมาได้ยินหลายคนเรียก "สมเด็จเกี่ยว" ได้ยินแล้วใจหายทุกที ตัวเขาเองยิ่งใหญ่ขนาดเรียกจิกหัวท่านได้เลยหรือ ? เพราะฉะนั้น..ถ้าใครรู้ตัวว่ายังเรียกลักษณะนั้นอยู่ ให้เลิกได้แล้ว อาตมาเองเรียกแบบเป็นที่เข้าใจว่า "หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ" นึกถึงคุณเต้ย (สุรจิตร) ของเรา เต้ยเขาโพสต์ในกระทู้ว่า "สมเด็จเกี่ยว" พอบอกให้เขาแก้ไข เขาก็แก้เป็น "หลวงตาเกี่ยว" อดสงสัยไม่ได้ว่า ตกลงเขาโง่หรือบ้ากันแน่

อะไรที่หนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใช้ อย่าพยายามไปใช้ตาม เพราะบางทีสื่อมวลชนก็ไม่ได้ให้ความเคารพในพระรัตนตรัย ได้แต่เสนอข่าวเอามันอย่างเดียว"

เถรี
09-02-2011, 16:04
ถาม : อ่านหนังสือจีนกำลังภายใน จะมีพวกงำประกาย ซ่อนฝีมือตัวเองไว้มิดชิดมาก พวกนี้เขาตั้งใจไหมคะ ?
ตอบ : ตั้งใจสิจ๊ะ

ถาม : ทำไมเขาต้องซุกฝีมือไว้ด้วย ?
ตอบ : เอาอย่างนี้ ถ้าเป็นการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาของเรา บุคคลพอเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็คือคนธรรมดาที่ยิ่งกว่าธรรมดา

ถ้าคุณแสดงความสามารถให้เขาเห็น ก็มีอยู่สองอย่าง คนที่เขาหาว่าบ้าก็เท่ากับปรามาสพระรัตนตรัย ส่วนคนที่ไม่เห็นว่าบ้า แต่เขาเชื่อแล้วมาหาแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น ถ้าเป็นเราจะรับไหวไหมเล่า ? นั่นแหละที่ทำให้เขาจำเป็นต้องงำประกาย

แค่ว่าสมมติว่าเราเป็นคนเก่ง คนเขาอยากรู้จักเรา เพื่อที่จะเอาไปอ้างกับคนอื่นว่ารู้จักเรา แค่พวกนี้พวกเดียวมาก็แย่แล้ว ยังไม่ต้องคิดถึงพวกที่มาเพื่อขอความช่วยเหลือนะ

ถาม : จะต้องเป็นอย่างนี้เสมอเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : พอไปถึงตรงนั้นแล้ว เราจะมีความสำนึกตัวดีว่าจะต้องทำอย่างไร ไม่อย่างนั้นคุณแย่แน่

ถาม : แล้วใช่อารมณ์เดียวกับอารมณ์ที่เป็นอุเบกขาในการเข้าถึงอะไรสักอย่างไหมคะ ?
ตอบ : จะมีบางประเภทที่ปล่อยวางได้อย่างนั้น ประเภทนี้จะไม่สนใจชื่อเสียงเกียรติยศอะไรในวงยุทธจักรเลยก็มี ส่วนน้อยจะเป็นอย่างนั้น

ส่วนมากจะเป็นพวกเบื่อ รำคาญเรื่องราวต่าง ๆ ประเภทขี้หมูราขี้หมาแห้งที่จะมาถึงตัวเอง จึงจำเป็นต้องปิด

ถาม : แต่ถ้ากรณีอย่างนี้ พอถึงคราวจะเปิด ก็ต้องอยากจะเปิด แบบว่าได้จังหวะก็แสดงเลย
ตอบ : ใช่..ต้องรองานประเภทงานชุมนุมเจ้ายุทธจักรอะไรอย่างนั้น พอแสดงให้คนเขาเห็นเสร็จแล้วก็หายหัวไปเลย

เถรี
09-02-2011, 16:11
ถาม : ถ้าถึงสุดยอดแล้วเป็นอุเบกขา ก็คือมีโอกาสจะแสดงแต่ไม่แสดง ?
ตอบ : ส่วนมากจะไม่แสดงออก ต้องดูในเรื่องฤทธิ์มีดสั้น ผู้เฒ่าลิขิตฟ้าเป็นคุณปู่หรือคุณตาของนางเอก เป็นผู้ที่ได้รับการจัดให้เป็นสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งในคัมภีร์ศาสตราวุธ แต่ไม่เคยแสดงฝีมือเลยตั้งแต่ต้นยันปลาย มีอยู่อย่างเดียวก็คือ คอยไปเตือนสติ หรือไม่ก็ไปนั่งให้คนเห็น เขาจะได้ไม่กล้าทำอะไร แค่นั้นเอง

แต่ท่านไม่มีโอกาสแสดงฝีมืออะไร ในสายตาคนอื่นเห็นเขายืนมองกัน แต่ความจริงก็คือ เขาหยั่งเชิงกันว่า ถ้าลงมือไปแล้วจะคุ้มค่าไหม ? ลักษณะแบบเดียวกับพวกเสือ เสือจะรักษาตัวมากที่สุด จะไม่ยอมให้บาดเจ็บด้วยเหตุใด ๆ เด็ดขาด เพราะเขารู้ว่า ถ้าบาดเจ็บขึ้นมา อันดับแรก..อาจจะถึงแก่ชีวิต อันดับที่สอง..ถ้าพิการแล้วจะหากินไม่สะดวก ทำให้อดตายได้

เพราะฉะนั้น..สัตว์จำพวกเสือ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะไม่ปะทะกับอะไรอย่างเด็ดขาด ต่อให้ล่าเพื่อเป็นอาหาร ก็จะเลือกสัตว์ที่ล่าง่ายที่สุด ถ้าจำเป็นจริง ๆ หาอะไรไม่ได้แล้ว จึงจะยอมลงทุนล่าสัตว์ที่ล่าได้ยาก เราเองก็อย่าไปชนกับกิเลส ต้องทำตัวเหมือนเสือ ต้องรู้จักรักษาตัวให้รอด กิเลสไม่เคยปรานีเรานะจ๊ะ ถ้ามีโอกาสเขาตีเราตายเลย เพราะฉะนั้น..เราต้องรู้จักรักษาตัวของเราเอง

เถรี
09-02-2011, 16:15
พอปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่เราทำจะไปฝืนกระแสโลก ในเมื่อฝืนกระแสโลกคนเขาจะมองเป็นสองแง่ แง่แรกก็คือเราบ้า เพราะทำอะไรไม่เหมือนคนอื่นเขา สิ่งที่เขาอยาก เราก็ไม่อยาก สิ่งที่เขาต้องการ เราก็ไม่ต้องการ สิ่งที่เขาเห็นเป็นของยาก เรากลับทำได้ทำดี

ส่วนอีกประเภทหนึ่ง จะเห็นเราเป็นผู้วิเศษ หวังพึ่งพา ซึ่งไม่ดีทั้งสองแง่ เพราะฉะนั้น..มีอยู่ทางเดียวก็คือ ต้องทำเป็นโง่ ๆ เซ่อ ๆ ของเราต่อไป

ถาม : แบบนี้ก็เหมือนกับในชีวิตเราทั่วไป
ตอบ : มนุษย์อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเรื่องในยุทธจักรของเขา ก็จะเป็นรูปแบบของเขา แต่ก็เจอรัก โลภ โกรธ หลง ในลักษณะของเขา พวกเราดำเนินชีวิตของพวกเรา ก็เจอรัก โลภ โกรธ หลงในรูปแบบของพวกเรา

แต่กิเลสหน้าตาจะเหมือนกันหมด ถึงเวลาเราอ่าน บางทีจะรู้สึกว่าตัวละครนี้คือเราชัด ๆ เลยนี่นา..!

เถรี
09-02-2011, 23:30
ถาม : อารมณ์ที่นิ่ง ๆ เป็นอุเบกขาหรือเปล่า ?
ตอบ : มีสองอย่าง อย่างแรกเป็นอุเบกขาในสมาธิระดับใดระดับหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์อทุกขมสุขเวทนา กำลังใจที่ไม่รับทั้งสุขและทุกข์

ถาม : เป็นสังขารุเปกขาญาณหรือยัง ?
ตอบ : อาจจะเป็นสังขารุเปกขาญาณก็ได้ แต่ขณะเดียวกัน ถ้าปัญญายังไม่ถึง บางทีก็เหมือนกับคนที่หมดสติไปเฉย ๆ ไม่รับรู้อะไร แล้วจะไปสุขไปทุกข์อะไรได้

ถาม : อารมณ์จะนิ่ง ลงมากองที่แกนกลางของร่างกาย ดิ่งลงไปเรื่อย ๆ
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นเป็นเรื่องของสมาธิ เป็นอุเบกขาในสมาธิ

ถาม : อยู่ ๆ ก็เป็นนะคะ มาเอง
ตอบ : ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ แล้วเป็น แต่มีสาเหตุ บางทีเราลืมคิดย้อนไปว่า ก่อนที่จะเป็นอย่างนั้นเราคิดอย่างไร ? เราพูดอย่างไร ? เราทำอย่างไร ? ถ้าเราคิดย้อนกลับไปแล้ว สามารถย้อนได้ชัดเจนว่า เป็นเพราะเราคิด เราพูด เราทำอย่างไร ? ถ้าเราทำใหม่ ผลนั้นก็จะเกิดกับเราใหม่อีก

พอเราซ้อมบ่อย ๆ ผลนั้นเกิดกับเราจนทรงตัว ก็ไม่ต้องไปชนกับรัก โลภ โกรธ หลง เท่ากับว่าเราใส่เกราะไว้ ปลอดภัยหน่อย

ถาม : เราก็มองทุกอย่าง เห็นทุกอย่าง รับรู้ทุกอย่างได้ตามปกติ
ตอบ : แต่เราก็ไม่ไปแตะต้องด้วย ถ้าอะไรจำเป็นต้องแตะ เราก็คลายกำลังใจออกมาหน่อยหนึ่ง รับรู้ด้วยความระมัดระวัง พอรับรู้เสร็จหมดเรื่องก็ปิดทันที ไม่ยุ่งด้วยอีกแล้ว ก็จะปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าวันไหนเผลอให้เกราะหลุด ก็โดนเล่นงานไม่เลี้ยงเหมือนกัน

เถรี
09-02-2011, 23:39
ถาม : เราก็อยู่อย่างนี้ของเราเองได้ และเราก็รับรู้ทุกอย่างได้อย่างรอบตัว มีความคล่องตัว
ตอบ : นั่นเป็นฌานใช้งาน ลักษณะของฌานใช้งาน ก็คือ คุณทรงสมาธิอยู่ แต่คุณก็สามารถทำทุกอย่างได้เหมือนกับคนทั่วไป แต่ถ้าเป็นคนที่เพิ่งฝึก จะนั่งนิ่งอย่างเดียว ทำอย่างอื่นจะไม่เป็น

ถาม : แล้วอย่างนี้คนที่เขาได้สังขารุเปกขาญาณ เกิดจากปัญญาที่เขาเห็น เขาไม่เอาอะไรแล้ว อารมณ์นี้จะไม่นิ่ง แต่จะเบา..?
ตอบ : อารมณ์จะเบา..นิ่ง..จะไม่ยุ่งอะไร โดยที่มีปัญญารู้เห็นว่า ถ้าหากเราทำอย่างนี้ จะมีประโยชน์อย่างนี้ ถ้าเราทำอย่างนี้ จะมีโทษอย่างนี้ แล้วก็เลือกทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ละเว้นในด้านที่เป็นโทษ

โดยเฉพาะถ้าถึงระดับนั้นจะรู้ละเอียดว่า ทำอย่างไรถึงจะออกมาดีที่สุด ความพอเหมาะพอดีจะมีอยู่ ก็จะเลือกทำในสิ่งที่พอเหมาะพอดีเท่านั้น บางอย่างเราอาจทุ่มกำลังไปเต็มร้อย หรือเกินไปร้อยยี่สิบ แต่บางอย่าง เราอาจจะใช้แค่หนึ่งหรือสองเท่านั้น แล้วแต่เหตุการณ์ ซึ่งตอนนั้นสภาพจิตจะรายงานว่าควรจะทำแค่ไหนจึงจะเหมาะ

ถาม : ความเบาเกิดจากการที่เรา...
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นสมาธิเราดีแค่ไหน ยกเว้นว่าเป็นสังขารุเปกขาญาณที่เกิดจากการยอมรับแล้วปล่อยวาง ถ้าอย่างนั้นจะเบาตลอดไป

ถาม : จะเบาเป็นบางเรื่องหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าเบาได้ทุกเรื่องจึงเป็นของแท้ ถ้าเบาเป็นบางเรื่องก็เกิดจากสมาธิล้วน ๆ เลย

ถาม : ถ้าเกิดจากสมาธิก็ทำให้เกิดปัญญา แต่ไม่ใช่ปัญญาแท้ ?
ตอบ : ยังไม่ยอมรับจริงก็ยังไม่ใช่ปัญญาแท้ ถ้ายอมรับจริงแล้วต้องยอมรับได้ทุกเรื่อง

ถาม : แล้วเรายอมรับในบางเรื่อง เรื่องที่ยอมรับได้ก็จะยอมรับได้ไปตลอด ?
ตอบ : ใช่ จนกว่าสติ สมาธิ ปัญญา จะก้าวล่วงไปในอีกระดับหนึ่ง พอไปอีกระดับหนึ่งก็จะปล่อยวางได้มากขึ้น เราก็เพิ่มระดับของเราไปเรื่อย ๆ

เถรี
09-02-2011, 23:46
ถาม : ตอนที่เราตกอยู่ในอารมณ์นิ่ง ๆ ที่ท่านบอกว่าเป็นอุเบกขา จะเกิดเป็นพัก ๆ เราจะรู้สึกนิ่ง ๆ เหมือนกับเราโผล่มาจากพลาสติกอะไรสักอย่างที่กดเราอยู่ พอเราโผล่มา จะรู้สึกว่าไม่เอาแล้ว ความรู้สึกว่า โลกนี้เราไม่เอาอะไรสักอย่าง นั่นคือปัญญาหรือคะ ?
ตอบ : เป็นปัญญาที่เกิดจากสมาธิของเรา ที่นิ่งอยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานพอ ความสะอาดของจิตจะมี พอคลายจากสมาธินั้น ปัญญาจึงเกิด เห็นชัดว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เหมาะกับเราแล้ว เราไม่ได้มีความปรารถนา ไม่ได้มีความต้องการอีกแล้ว

อย่าลืมว่าศีลทำให้เกิดสมาธิ สมาธิทำให้เกิดปัญญา ปัญญาจะไปคุมศีลกับสมาธิอีกทีหนึ่ง คราวนี้เราอยู่ในลักษณะนิ่งก็คือ เป็นอุเบกขาในฌาน ในเมื่อเราทรงสมาธิในระดับที่ยาวนานพอ กิเลสถูกกดนิ่งไประยะหนึ่ง ความสะอาดของจิตก็มี พอเราโผล่ขึ้นมาจากสมาธิ คลายออกมา ที่หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้คลายออกมาแล้วพิจารณา

พอของเราคลายออกมาแล้วสภาพจิตบอกตัวเองเลยว่า เราไม่เอาแล้ว อย่างนี้ไม่ต้องพิจารณาแล้ว เห็นชัดแล้วว่าไม่ดีแน่ เราไม่เอา แต่ว่าก็เกิดจากการที่เราตอกย้ำของเก่าซ้ำแล้วซ้ำอีกมาจนนับครั้งไม่ถ้วน จึงเป็นปัญญาที่เริ่มคิดเองได้ว่า ไม่เอาแล้ว

ถ้าเราทำบ่อย ๆ จิตใจปลดวางได้จริง ๆ ต่อไปใจจะไม่เอาอะไร ก็จะเบาสบายไปตลอด

ถาม : จำอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เอานี้ได้
ตอบ : จำได้แล้วก็เริ่มทำใหม่

ถาม : หนูข้ามขั้นได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าสามารถทรงได้เลยก็ข้ามไปได้ สำคัญที่ว่าพอถึงเวลาแล้วจะใช่ของจริงไหม ?

เถรี
09-02-2011, 23:51
ถาม : แล้วความรู้สึกที่เป็นสังขารุเปกขาญาณละคะ คือความรู้สึกที่เราหยุดแล้ว ?
ตอบ : ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอะไรก็ไม่ปรุงแต่งแล้ว จึงจะเป็นสังขารุเปกขาญาณ

ถาม : ได้เป็นช่วง ๆ
ตอบ : ไม่เป็นไร จะได้เป็นช่วงช่วง เป็นหลินฮุ่ยหรือเป็นหลินปิงก็ได้..!

ถาม : แล้วต่างอย่างไรกับการที่เราได้รับการกระทบแล้วไม่ปรุงแต่งต่อ คือไม่รู้สึกอะไรเลยหรือคะ ? สมมติเราได้ยินอะไรมา อาจจะเป็นคำพูดที่เขาพูดมา แล้วเราไม่ปรุงแต่งกับคำพูดเขา คือ เราไม่รับรู้ถึงคำพูดที่เขาพูดมา เป็นความรู้สึกแบบไหนหรือคะ ?
ตอบ : ต้องสังเกตตัวเราเองว่า ตอนนั้นเป็นเพราะทรงสมาธิทรงอยู่หรือเปล่า ? ถ้าเราทรงสมาธิอยู่ กำลังสมาธิจะกันรัก โลภ โกรธ หลง ไม่ให้เข้ามาได้ แต่ว่ากันได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ถ้าหลังจากนั้นเราเก็บเอาไปคิดใหม่ ก็แปลว่าตอนนั้น เป็นอารมณ์ที่เกิดจากอำนาจสมาธิที่กั้นไว้จริง ๆ

แต่ถ้าเป็นสังขารุเปกขาญาณ จิตจะไม่คิดต่อ สักแต่ว่าได้ยินเฉย ๆ รู้อยู่ว่าเขาว่าอะไร แต่ใจก็ช่างมัน ไม่ได้รับเข้ามาเลย ก็แค่นั้น ต้องสังเกตเอง

ถาม : จะใช่อารมณ์ที่ว่าเราโตแล้ว เราเห็นเด็กเล่นกันอะไรอย่างนี้ เด็กจะทำอะไรของเขาก็แล้วแต่เรื่องของเด็ก ประมาณนี้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : คล้าย ๆ อย่างนั้น เราหมดสนุกแล้ว เบื่อแล้ว ไม่อยากจะไปเล่นด้วยแล้ว

เถรี
10-02-2011, 00:27
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "แรก ๆ อาตมาเปิดเสียงตามสายที่วัด โยมเขาโทรมาด่า นอกจากด่าแล้ว เขายังบอกว่า ถ้าไม่เลิก เขาจะแจ้งความว่าเราทำเสียงดังรบกวนในที่สาธารณะ ซึ่งมีโทษตามกฎหมาย อาตมาต้องรีบไปทำหนังสือขออนุญาตใช้เสียงในที่สาธารณะ

พอเขาโทรมาด่าใหม่ อาตมาก็บอกไปว่า "ตอนนี้โยมไปแจ้งความได้ตามสบาย อาตมาไปทำหนังสือขออนุญาตใช้เสียงไว้แล้ว" หลังจากนั้นมาเขาก็เงียบไปเฉย ๆ พอฟังไปฟังมาก็กลายเป็นเคยชิน และมีโยมหลายรายที่มาปรารภว่า ในระหว่างที่คนอื่นนอนสบายกันอยู่ ตอนตีสามตีสี่ พระเณรท่านแหวกกิเลสขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์กันได้อย่างไร ?

ขณะเดียวกัน เขาเอาเสียงตามสายเป็นสัญญาณนาฬิกาปลุก พอพระสวด..โยโส ภะคะวา.. ก็แปลว่าได้เวลาตื่นแล้ว บ้านนี้จะใส่บาตรก็เตรียมตัวหุงข้าว บ้านนั้นจะไปทำงานก็เตรียมตัวอาบน้ำ หาข้าวหาปลากินกัน พอฟัง ๆ ไปก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปโดยไม่รู้ตัว

อย่างสมัยที่อาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษี พอคนงานคิดว่าจะทำงานต่อ เสียงตามสายของหลวงพ่อดังขึ้น แปลว่าหมดเวลาแล้ว ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือ พอเปิดเสียงตามสายตอนเย็น เราจะเลี้ยงอาหารหมา พอหมาได้ยินเสียง..โยโส ภะคะวา.. เขาก็จะวิ่งมา เพราะรู้ว่าเป็นเวลากินของเขา กลายเป็นว่าหมูหมากาไก่ทุกตัว ไม่รู้ว่าเสียงสวดนี้คืออะไร แต่เขารู้ว่า ถึงเวลานี้แล้วเขาต้องมา ก็เป็นผลที่เห็นชัด ๆ เหมือนกัน ว่าสิ่งที่เราทำเป็นความดีนั้น เมื่อตอกย้ำเรื่อย ๆ ก็จะฝังลึกลงไปในใจเอง"

เถรี
10-02-2011, 01:00
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนพี่ ๆ ที่วัดท่าซุง พอหลวงพ่อท่านสร้างรูปหล่อองค์ยืนในวิหารร้อยเมตร คนนั้นก็ไปอธิษฐาน คนนี้ก็ไปอธิษฐาน เช่น บางคนขอเป็นไม้เท้า บางคนขอเป็นรองเท้า ส่วนอาตมาไม่เอาอะไรเลย..!

พออาตมาไปอยู่ที่ทองผาภูมิ วันหนึ่งกำลังนั่งรถทัวร์อยู่ ได้ยินเสียงเป่ายานัตถุ์ดัง "ฟืดดดดด...!" อยู่ข้าง ๆ หู ได้กลิ่นยานัตถุ์ รู้สึกอยากแทบน้ำลายยืดเลย ตกใจรีบบอกกับท่านว่า "หลวงพ่อครับ หมากก็ไม่เอา ยานัตถุ์ก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอานะครับ" ท่านก็บอกว่า "ไม้เท้าจะเอาไหม ?" งานนี้ตอบว่าเอาหรือไม่เอาก็โดนแน่ ก็เลยเงียบ

พี่คนนั้นก็หมาก พี่คนนี้ก็ยานัตถุ์ จะต้องมีสักอย่างที่อาตมาโดนจนได้ แต่อย่างไรชาตินี้ไม่เอาเด็ดขาด พอปี ๒๕๔๘ อาตมาเริ่มเรียนหนังสือ ปรากฏว่าเวลาอ่านหนังสือต้องยื่นไปสุดแขน อ่านหนังสือได้ไม่นาน เมื่อยมือก็เลิก จึงตัดสินใจใส่แว่น

พอไปวัดสายตา ตัดแว่นเรียบร้อย หยิบแว่นลองใส่ จำได้แม่นเลย หลวงพ่อท่านหัวเราะใส่หู "คราวนี้เอ็งรู้แล้วใช่ไหม ว่าที่ข้าใส่แว่น ข้าอยากได้มันนักนี่..!" สรุปง่าย ๆ ก็คือ ถ้าแก่จึงจำเป็นต้องใส่ ไม่ใช่ใส่เพราะอยากจะใส่"

เถรี
10-02-2011, 01:03
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "บางคนเขาเห็นหลวงพ่อป่วย เขาจึงอธิษฐานขอป่วยแทน ปรากฏว่าอาการปางตายเลย และหลวงพ่อก็ไม่ได้อาการเบาไปกว่าเดิมด้วย

เขาจึงไปถามหลวงพ่อว่า เขาป่วยขนาดนี้ ทำไมอาการหลวงพ่อยังไม่เบาลงกว่าเดิม ? หลวงพ่อบอกว่า "เขาแค่อยากให้แกรู้ว่า ข้าเป็นอย่างไรเท่านั้น เรื่องของกรรมนั้นใช้แทนกันไม่ได้" ในเมื่ออยากป่วยแทน เขาก็แค่อยากให้รู้ว่าเวลาท่านป่วยเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นเราเองจะไหวไหม ?"

เถรี
10-02-2011, 10:04
ถาม : ตอนเด็ก ๆ ผมทำกสิณไฟ ตอนนั้นยังทำไม่เป็น ก็จุดเทียนตั้งไว้ข้างหน้าในห้อง ทีนี้อยู่ดี ๆ ก็วูบไปครับ แล้วมือไหม้ พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นแผลเหวอะอย่างที่เห็น ไม่ทราบว่าอารมณ์นั้นเป็นอารมณ์เซ่อหรือครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก พอจิตเราทรงฌาน สภาพร่างกายกับจิตจะแยกกันเป็นคนละส่วน อะไรที่เกิดกับร่างกายจิตจะไม่รับรู้ หรือว่าถึงรับรู้แต่ก็ไม่สนใจ อาตมาเองก็เคยทำน้ำมนต์จนไฟไหม้ถึงนิ้วมือ แต่ไม่เป็นอะไรเพราะสมาธิคุ้มไว้ได้

ถาม : ผมพยายามตัดใจเรื่องกสิณไฟมาหลายรอบแล้วครับ แต่ตัดไม่ขาด
ตอบ : ก็ฝึกสิ..ทำให้ได้เป็นเรื่องได้ราวไปเลย พอเราทำกสิณกองหนึ่งได้ กสิณอีกเก้ากองก็จะกลายเป็นของง่าย เพราะอารมณ์ใจเท่ากัน เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุนิดเดียวเท่านั้น ถ้ากสิณกองแรกคุณทำได้คล่องตัวจริง ๆ ที่เหลืออีกเก้ากอง คิดว่าอย่างช้าไม่เกินครึ่งเดือนก็ได้หมดแล้ว

ถาม : ผมทำคาถาเงินล้าน มีครั้งหนึ่งผมไปถ่ายน้ำมันเครื่อง ปกติราคา ๑๐๐ - ๓๐๐ บาท วันนั้นผมไปถ่ายน้ำมันเครื่องเขาคิด ๒๐ บาท ถือว่าเป็นผลของคาถาไหมครับ ?
ตอบ : ถือว่าเป็นผลอย่างหนึ่ง อาตมาเองก็นั่งรถฟรีมาเยอะแล้ว แปลกถึงขนาดที่แท็กซี่ยังให้นั่งฟรี นั่งจากรถทัวร์จากอุทัยธานีมาหมอชิตเก่า นั่งแท็กซี่ไปทำธุระในกรุงเทพฯ ต่อ จนกระทั่งกลับไปถึงวัดท่าซุง เสียค่ารถตั้ง ๓ บาท..!

๓ บาทนี่เป็นเงินที่ยัดให้สองแถวที่ท่ารถมโนรมย์ เขาไม่ยอมเก็บเงิน อาตมาบอกว่า "ช่วยเก็บหน่อยเถอะพ่อคุณ อยากจ่ายว่ะ..!" แล้วก็ยัดเงินให้เขา เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเราไม่ได้จ่ายเลย เรื่องของคาถาให้ความคล่องตัวได้ขนาดนั้น แต่ที่อัศจรรย์ก็คือ มีพระนั่งรถทัวร์ไปด้วยกันอยู่ ๔ รูป เขาเก็บค่ารถไป ๓ รูป พออาตมาส่งเงินให้เขากลับเดินหนี ไม่ยอมรับ เป็นเรื่องแปลกมาก จนกระทั่งพระ ๓ รูปท่านสงสัยว่า อาตมารู้จักกับกระเป๋ารถหรือเปล่า ? เขาจึงไม่เก็บ สมัยนั้นเขายังให้ไปตีตั๋วบนรถได้ ไม่ต้องซื้อจากห้องตั๋วเหมือนกับสมัยนี้

ถาม : ตอนผมบวชที่วัดอัมพวัน ผมนอนภาวนาอยู่ที่กุฏิ ภาวนาคาถาเมตตา ทีนี้พอนอนไปรู้สึกตัวหมุน แต่ไม่ทราบตัวจริงหมุนหรือเปล่า ? ผมก็เลยรีบออกมา
ตอบ : เขาเรียกว่ากลัวดี..! การหมุนมีอยู่สองอย่าง อาจจะเป็นปีติในลักษณะของโอกกันติกาปีติ อีกอย่างหนึ่งหมุนในลักษณะที่จิตควบแน่นเข้า..ควบแน่นเข้า สภาพร่างกายอาจจะมีการหายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น ลักษณะอย่างนั้นจิตจะดิ้นหลุดออกจากร่างกายไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ถ้าหลุดออกไป เราจะนึกไปนรกสวรรค์อย่างไรก็ไปได้เลย..ไปทำใหม่

เถรี
10-02-2011, 10:12
ถาม : ถ้าเกิดอาการนั้นอีก ?
ตอบ : ทำเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ คิดว่าตอนนี้เราทำความดีอยู่ ถึงเราจะตายลงไป เราก็ไปดีแน่นอน ถ้าเป็นปีติ เต็มที่แล้วก็จะเลิกไปเอง แต่ถ้าหากสมาธิที่รวบรวมกำลังเพื่อสลัดให้กายในหลุดออกไป ก็จะหมุนมากขึ้น ๆ แล้วก็หลุดออกไปเลย

ถาม : เมื่อวันก่อนผมภาวนาคาถาเงินล้าน แล้วตัวแข็ง เหมือนกับตัวชา เป็นเพราะ ?
ตอบ : สมาธิทรงตัวมากขึ้น ยิ่งทำไปเรื่อย ๆ สมาธิทรงตัวมากเท่าไร ผลก็จะเกิดมากขึ้นเท่านั้น

ถาม : อัยการกับผู้พิพากษาอย่างไหนมีโอกาสลงนรกมากกว่ากัน ?
ตอบ : ตามนิทานของฝรั่ง เขาเล่าว่า ซาตานขยายโครงการของนรก ทีนี้มีเฟสหนึ่งไปทับที่ของสวรรค์ จอมเทพก็เลยลงมา บอกให้ซาตานรื้อบริเวณนี้เสีย ไม่อย่างนั้นจะฟ้องร้อง ซาตานบอกว่า "คุณแน่ใจหรือที่จะฟ้องร้องผม ? ทนายเก่ง ๆ อยู่กับผมหมดเลยนะ..!" คือ ทนายไปอยู่ในนรกกับซาตานเสียเยอะ อันนี้เป็นนิทานฝรั่งนะ

ถาม : จริง ๆ แล้ว คือ..?
ตอบ : ต้องดูว่าเขาปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมาหรือเปล่า ? ถ้าตรงไปตรงมา ทุกอย่างว่าไปตามกฎหมาย ก็ไม่เป็นอะไร ถ้าไม่ตรงไปตรงมา มีการเรียกร้องผลประโยชน์ จะมีนรกขุมหนึ่งเอาไว้รองรับโดยเฉพาะเลย รับพวกคอร์รัปชั่น

ถาม : ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ อย่างฤกษ์อมฤตโชค ทราบว่าวันนั้นดีทั้งวันหรือครับ ?
ตอบ : ใช้ได้ตั้งแต่ตะวันขึ้นจนตะวันตกดิน ไม่จำกัดเวลา เวลาไหนก็ได้

เถรี
10-02-2011, 10:25
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อาตมาเองเป็นคนมีเวรมีกรรมในเรื่องการนอนมาก ไม่ว่าจะนอนเวลาไหนก็ตาม จะโดนกวนทันที ไม่ให้หลับไม่ให้นอนมาโดยตลอด

ก็ย้อนไปดูสมัยก่อน เวลาไปรบทัพจับศึก เราคอยไปก่อกวนข้าศึกไม่ให้เขาหลับเขานอน เขาจะได้ไม่มีเรี่ยวแรง พอข้าศึกไม่ได้นอนมาหลายวัน เราก็เข้าตีได้สบาย พอมาชาตินี้โดนจึงเต็ม ๆ จะนอนเมื่อไรจะมีคนปลุกทุกที..!"

เถรี
10-02-2011, 11:14
ถาม : บางทีพิจารณาไปรู้สึกว่าเย็น เหมือนกับว่าง เบา ๆ แล้วไม่ได้ทำอะไรต่อ ก็ตัดว่าเราเกาะพระนิพพานแทน เอาความปลอดภัยไว้ก่อน
ตอบ : คิดต่อไปนิดเดียวว่า ถ้าหากเราตายไปตอนนี้ เราขอไปพระนิพพาน แล้วจับภาพพระไว้เลย เอาเป็นหลักไว้ก่อน เกาะในสิ่งที่ดีไว้ก่อน ถึงเวลาถ้ากำลังใจทรงตัวก็จะปล่อยวางไปเอง

เถรี
10-02-2011, 11:35
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "มีอยู่ปีหนึ่ง หลวงพ่อท่านบอกเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของจังหวัดกาญจนบุรี อาตมาเป็นคนประเภทได้ยินแล้วต้องพิสูจน์ ก็เลยตามไปดู จนกระทั่งหาเจอว่าอยู่ที่ไหน ตรงนั้นเป็นภูเขาทอง หลวงพ่อท่านบอกว่า จากศูนย์กลางออกไป ๑๕ กิโลเมตร เป็นทองทั้งหมด

พอหลวงพ่อท่านปรารภจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๔ ศอก ก็คือ องค์ที่อยู่ตรงมณฑปสมเด็จองค์ปัจจุบันที่วัดท่าซุง คุณหมอนพพร (พ.อ. น.พ.นพพร กลั่นสุภา) ก็มาปรึกษาว่า "หลวงพี่ครับ..ในเมื่อจะมีพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จองค์ปฐมปรากฏครั้งแรกในโลก เราควรจะสร้างด้วยวัสดุที่มีค่าที่สุดเท่าที่เราจะหาได้"

อาตมาจึงถามว่า "คุณหมอคิดว่าควรจะสร้างด้วยอะไร ?" คุณหมอบอกว่าควรสร้างด้วยทองคำ "คุณหมอจะไปเอาที่ไหน ?" หมอตอบว่า "ก็ของหลวงพี่สิครับ..!" หมอเขาเอาแผนที่ทหารมากาง ให้อาตมาช่วยมาร์กจุดให้ อาตมาก็อาศัยความสามารถในการสอบวิชาแผนที่เข็มทิศได้ที่หนึ่งมา มาร์กจุดให้เขาไปเรียบร้อย

กล่าวว่า "คุณหมอ...อาตมาวิ่งไปนะ..ใช้เวลาสองวันกับสองคืน หมอคิดดูก็แล้วกันว่าเป็นระยะทางเท่าไร ?" เพราะอาตมาเป็นพระวัดท่าซุงรูปเดียวที่โดนหลวงพ่อท่านตัดวันลาเหลือแค่ ๗ วัน ออกจากวัดได้ไม่เกิน ๗ วัน คิดดู..วิ่งไปสองวันกลับสองวัน รวมวันเดินทาง ๗ วันนี่หวุดหวิดเลยนะ

คุณหมอหายไปไม่นาน ก็กลับมาแจ้งว่าใช้เครื่องบินในการเดินทาง ตอนนั้นคุณหมอเป็นผู้บังคับกองพันเสนารักษ์จึงมีสิทธิ์ใช้เครื่องบินได้

คุณหมอไปที่กองร้อยบินเบา ขอเครื่องบินเขาขึ้น โดยขีดเส้นทางให้เขาบิน โดยที่ไม่ได้บอกนักบินว่าแอบเอาเครื่องมือวัดแร่ไป พอผ่านจุดนั้นคุณหมอก็ใช้เครื่องวัดดู ท่านบอกว่าเข็มมันตีจนยันเกจ์เลย..!"

เถรี
10-02-2011, 12:47
"คุณหมอก็เลยไปใหม่ แทนที่จะเอาเครื่องบินปีกแข็งไปเหมือนเก่า คราวนี้ก็เอาเครื่องบินปีกหมุน(เฮลิคอปเตอร์)ไป ตั้งใจว่าจะหย่อนเครื่องลง ตอนที่เครื่องลอยอยู่กลางฟ้า เข็มก็ตียันเกจ์อีกเหมือนกัน แต่พอหย่อนเครื่องลงเกือบถึงภูเขา กลับเหลือแค่ศูนย์..!

คุณหมอบอกว่า "ผมลองถามเจ้าที่ดูแล้ว เขาว่ามีส่วนของหลวงพี่ด้วย ผมขอสักส่วนหนึ่งของหลวงพี่ก็แล้วกัน" อาตมาบอกว่า "เอาสิ..แล้วคุณหมอต้องการสักเท่าไร ?"

หมอจึงไปปรึกษาช่างจำเนียรกับช่างประเสริฐ ว่าในการหล่อสมเด็จองค์ปฐมหน้าตักสี่ศอก ถ้าใช้ทองคำล้วน ๆ ต้องใช้ในปริมาณเท่าไร ช่างเขาคำนวณออกมาว่าตันครึ่ง คือ ๑,๕๐๐ กิโลกรัม..!

อาตมาก็บอกว่า "เอาอย่างนี้ คุณหมอเอาทหารในกองพัน ๕๐ คนมา ทหารที่แข็งแรง ๆ ให้เขาแบกคนละ ๓๐ กิโล เขาแบกไหว คนละ ๓๐ กิโลเราจะได้ตันครึ่งพอดี อาตมาใช้เวลาวิ่งสองวัน คาดว่าทหารคงใช้เวลาเดินไม่เกินห้าวัน บอกให้ทหารแบกสเบียงไปห้าวันพอ"

พอตกลงกันเรียบร้อย ปรากฏว่าคุณหมอนพพรหายไปหนึ่งอาทิตย์ กลับมารายงานใหม่ "หลวงพี่ครับ..เราคงทำไม่ได้หรอกครับ เวลาคน ๕๐ คนต่างคนต่างถือปืน ผมคุมไม่ได้แน่..เวลาเราไปขออะไรกับเทวดาเจ้าที่เจ้าทาง เราต้องมีสัจจะ เราบอกตันครึ่ง จะเอาเกินไปครึ่งขีดก็ไม่ได้นะครับ ถ้าเกิดพวกนั้นไม่ฟังผม กำมาคนละกำสองกำ ผมก็ตายสิครับ เพราะผมเป็นหัวหน้าคณะ เขาจะเล่นหัวหน้าคณะก่อนที่ผิดสัจจะ เขาจะไม่เล่นลูกน้องหรอก"

สรุปแล้ว งานนั้นคุณหมอบอกว่า "คงต้องปล่อย..แล้วแต่หลวงพ่อก็แล้วกัน" ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ยังไม่ได้ไปอีกเลย เพราะฉะนั้น..ใครต้องการให้บอก จะชี้จุดให้ แต่ไปเสี่ยงตายเอาเองนะ..!"

เถรี
10-02-2011, 14:59
ถาม : วันนี้หนูไปหาพี่ที่โรงพยาบาล พี่เขาบอกว่า ถึงเวลาแล้วบุญทุกอย่างที่ทำมาจะรวมตัว ทำให้กำลังใจสามารถที่จะตัดไม่เอาอะไรในโลก ?
ตอบ : ตอนที่เกิดเหตุฉุกเฉิน จะรู้เลยว่าต้นทุนตัวเองมีเท่าไร พอฉุกเฉินขึ้นมา ความดีที่เราว่าทำมาเล็กทำน้อย เหมือนกับว่าไม่พอใช้ พอรวมกันเข้าจริง ๆ แล้วเหลือเฟือเลย พร้อมที่จะตัดจะวางได้ทุกอย่าง ถ้าหากกำลังใจปลดได้ตอนนั้นก็ไปเลย

อาตมาเองป่วยบ่อย และป่วยหนักปางตายมาหลายครั้ง เวลาที่ใกล้ตาย เห็นต้นทุนตัวเองแล้วสบายใจ สบายใจว่าต้นทุนขนาดนี้เราไปได้แน่ แต่ถ้าไม่ได้ป่วยหนัก ๆ หรือไม่ได้เกิดเหตุฉุกเฉิน ก็ยังไม่แสดงต้นทุนออกมา เราก็ไม่รู้ว่าเราสะสมได้เท่าไรแล้ว

ถาม : ต้องรอให้คับขันจริง ๆ หรือคะ กำลังที่เราทำมาจึงจะส่งผล ?
ตอบ : ถ้าหากไม่ใช่พระอริยเจ้าก็ต้องรอ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าต้นทุนจะแสดงออกชัดเลย แต่ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าต้องรอตอนคับขันหรือตอนใกล้ตาย กำลังใจจึงจะรวมตัว ถึงจะเห็นว่าเรามีทุนเท่าไร

เถรี
10-02-2011, 15:05
ถาม : เวลาที่จิตรวมจริง ๆ ไม่อยากจะแตะกายเลย
ตอบ : รู้สึกว่าน่ารังเกียจจนบอกไม่ถูก

ถาม : จริง ๆ จะไปก็โดนรั้ง
ตอบ : ท่านย่าเคยบอกเอาไว้ว่า "บางคนย่าจะรั้งเอาไว้ไม่ให้เกินอรหัตมรรค" อาตมาก็ถามว่า "ทำไมย่าต้องรั้งเอาไว้ด้วย ?" ท่านย่าบอกว่า "เอาไว้เป็นตัวอย่าง"

ลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุงมีหลากหลายขนาดไหน ตั้งแต่สูงสุดจนถึงต่ำสุด ล้วนแต่มีสิทธิ์ที่จะเป็นพระอริยเจ้าได้ ท่านจึงอยากจะเก็บบางคนไว้เป็นตัวอย่างว่า หน้าตาอย่างนี้ ฐานะอย่างนี้ ก็เป็นพระอริยเจ้าได้เหมือนกัน

ถาม : การเข้าใจในธรรมะแต่ละขั้น จะอ๋อ..ในทีละขั้น..?
ตอบ : ปกติก็เป็นอย่างนั้น แต่จะมีตัวยึดมั่นถือมั่นอยู่ตัวหนึ่งว่า อ๋อ..ที่แท้พระพุทธเจ้าสอนเราคืออย่างนี้ แต่พอเราก้าวสูงขึ้นไป อ้าว..ตรงนี้ยังไม่ใช่ ยังมีที่ใช่กว่า เราก็จะไปอ๋อตรงนั้นอีก

จริง ๆ แล้วตัวนี้เป็นตัวมานะ ยึดมั่นถือมั่น ไปคิดว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนคือสิ่งที่เรารู้ แต่ความจริงคือไม่ใช่หรอก ของเราแค่แสงหิ่งห้อยหรือหางอึ่งเท่านั้น

เถรี
10-02-2011, 15:08
ถาม : ฆราวาสที่ปฏิบัติอริยสัจ ๔ จนเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน นั่นคือท่านสั่งสมมาเยอะพอหรือคะ ?
ตอบ : สติ สมาธิ ปัญญาทุกอย่างจะต้องพร้อม ถ้ายังไม่พร้อมก็ต้องรอวาระ รอการสั่งสมต่อไป

ถาม : แล้วทำไมคนธรรมดาจึงต้องรอเวลาคับขันจึงตัดได้คะ ?
ตอบ : ลองคิดดูว่า ปกติเวลาธรรมดาเวลาเขาสั่งเราให้ยกมือ เราจะเชื่อไหม ? แต่ถ้าเขาเอาปืนมาจ่อเรา แล้วบอกให้ยกมือ เรารีบยกมือทำไม ?

ถาม : กลัวตาย...
ตอบ : ก็เหมือนกันแหละ พอความตายมาถึงตัว ก็ต้องรีบโกยแล้ว จึงจะเห็นต้นทุนตัวเอง

เถรี
10-02-2011, 15:16
ถาม : จำเป็นด้วยหรือคะ ที่ทุกคนต้องเจออย่างนี้แล้วถึงจะไปได้ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น..หลายท่านก็ไปได้แบบง่าย ๆ เลย เพราะท่านสั่งสมบุญญาบารมีมาเพียงพอ แต่ท่านที่ยังสั่งสมมาไม่พอ ต้องเจอเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงจะเห็นต้นทุน เช่น นั่งรถไปชนโครม แทนที่เราจะขาดสติ ตกอกตกใจเหมือนคนอื่น เรากลับกำหนดใจแน่วแน่ รู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด พร้อมที่จะแก้ไขผ่อนหนักเป็นเบาให้ได้มากที่สุด นั่นคือต้นทุนของเรา

ขณะเดียวกันคนที่ป่วย กำลังใจที่ปล่อยวางไม่ยึดเกาะร่างกายจะเห็นต้นทุนชัด ในเมื่อเห็นชัดก็จะรู้ว่าเรามีเท่าไร ? ไปได้หรือยัง ?

ถาม : ถ้าเราเป็นคนที่ไม่ประมาทในความตาย เราจำเป็นที่จะต้องป่วยไหมคะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น คำว่าไม่จำเป็น ไม่ได้หมายความว่า ต้องไม่ป่วย

คำว่าไม่จำเป็นในที่นี้ คือ ไม่จำเป็นที่จะต้องป่วยแล้วรู้ต้นทุน อาจจะรู้ก่อนก็ได้

ถาม : รู้ต้นทุนก็ไม่แน่ว่าจะไม่ป่วยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : การป่วยเกิดจากเศษกรรมปาณาติบาต ไม่เกี่ยวกับการรู้หรือไม่รู้ต้นทุน ถึงรู้ต้นทุนก็ไม่แน่ว่าจะไปรอด เพราะถ้าเผลอเมื่อไร กิเลสก็จะดึงเราลงต่ำ มีวิธีเดียวก็คือ ต้องก้าวเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเท่านั้นจึงจะปลอดภัย

เถรี
10-02-2011, 15:58
ถาม : อารมณ์ที่หยุดการปรุงแต่ง เป็นอารมณ์สังขารุเปกขาญาณ หรือว่าเป็นปัญญา ?
ตอบ : เป็นปัญญาในสังขารุเปกขาญาณ เพราะเห็นโทษของการปรุงแต่งแล้วว่าจะเป็นอย่างไร จึงเลิกทำ ตัวเห็นโทษนี่แหละ..จะทำให้ปัญญาของเราเกิดง่ายที่สุด ถ้าเรายังไม่เห็นโทษ เราก็ยังทำชั่วไปเรื่อย ๆ

ถาม : อย่างนี้เราก็พิจารณาไปเรื่อย ๆ ถึงโทษของการเกิด ก็เหมือนกับบังคับย้ำไปเรื่อย ๆ
ตอบ : แรก ๆ จะเป็นสัญญา (จำได้) ก่อน ต้องบังคับให้คิดก่อน พอท้าย ๆ แล้วจิตยอมรับก็จะเป็นปัญญา (ทำได้)

ถาม : อันนี้เป็นทางหนึ่ง ?
ตอบ : ไม่ใช่ทางหนึ่ง แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ต้องทำอย่างนี้ก่อน หลังจากที่ทำย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก คิดแล้วคิดอีก จนกระทั่ง สติ สมาธิ ปัญญา พอเพียง จิตก็จะยอมรับในความเป็นจริง แล้วเริ่มที่จะปล่อยวางได้ การปรุงแต่งก็น้อยลง จนในที่สุดก็เลิกการปรุงแต่งไปเลย

เถรี
10-02-2011, 16:05
ถาม : ผมเคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อปาน เกี่ยวกับการสะเดาะกุญแจ ผมก็เลยลองซื้อลูกกุญแจมาสิบดอก แม่กุญแจตัวเดียว ในนั้นจะมีแม่กุญแจอันเดียวที่จะไขได้ ผมก็เดา พร้อมกับทายไพ่ พอทายไพ่จนถูก ผมก็เอามือไปหยิบกุญแจมาไข แล้วก็ไขออก ทำได้สองครั้งแล้ว..?
ตอบ : คนละเรื่องกันโว้ย..! คุณทายไพ่แล้วหยิบกุญแจนั่นเป็นทิพจักขุญาณ แต่ที่สะเดาะกุญแจเป็นกำลังของอภิญญา คนละอย่างกัน การใช้งานเป็นคนละแบบกัน

เรื่องของการทายไพ่แล้วหยิบกุญแจเพื่อเดาว่าเป็นดอกไหน แล้วทำได้ถูก ถ้าทำคล่องตัวมาก จะเป็นทิพจักขุญาณ เราสามารถรู้เรื่องอื่นได้ด้วย แต่ในเรื่องการสะเดาะกุญแจจะเป็นพื้นฐานของอภิญญา ต้องใช้กำลังสูงกว่านิดหนึ่ง

ถาม : ผมทำได้แค่สองครั้ง
ตอบ : ต้องทำให้ได้ทุกครั้ง ต้องได้เต็มร้อยจึงจะเชื่อได้ว่าเป็นของจริง

เถรี
10-02-2011, 16:12
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อตอนที่อาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษี เวลาออกไปตลาด มีอยู่อย่างหนึ่งที่ต้องซื้อคือขนมหมา ขนมชนิดนี้ทางเราเอาไว้เลี้ยงหมา ก็เลยเรียกขนมหมากันมาตลอด

พอทิดตู่ซึ่งตอนนั้นเป็นเณรอยู่ไปถึงร้านแล้ว ดันไปบอกกับคนขายว่า "เอาขนมหมา ๒๐ ถุง..!" อาตมาต้องรีบตะครุบปากเอาไว้ "คนอื่นเขากินกันนะมึง..ดันไปเรียกขนมหมา..!" ต้องคอยเตือนสติไว้ ไปเรียกต่อหน้าคนอื่น เดี๋ยวเขาจะด่าเอา"

เถรี
10-02-2011, 16:17
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "งานนิโรธกรรมของครูบาเหนือชัยครั้งนี้ ครูบาไปอยู่ในถ้ำสูงเกือบถึงยอดเขา อาตมาต้องปีนเขาและไต่เชือกขึ้นไปอีก ๒ ช่วง ช่วงสุดท้ายต้องปีนบันไดไม้ไผ่อีก พอไปถึง ครูบาท่านก็ดีใจบอกว่า "งานนี้น่วมเลย ตลอด ๗ วันมีแต่สารพัดไสยศาสตร์ เล่นจนเดี้ยงไปหมด"

ท่านกราบแล้วกราบอีก บอกว่า "พี่ไม่เคยทิ้งน้องเลยตลอด ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา" อาตมาก็บอกว่า "ก่อนหน้านี้อยู่เบื้องหลังก็สบายดีหรอก แต่ตอนนี้คุณถีบผมออกข้างหน้ามา ผมจะโดนอีกเท่าไรก็ไม่รู้ ?"

เถรี
10-02-2011, 16:24
ถาม : แล้วเวลาท่านรักษาตัว นอกจากน้ำมนต์แล้ว ท่านมีอะไรป้องกันอีกหรือคะ ?
ตอบ : ตอนนี้ท่านอาศัยมีดหมอของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลัก ครั้งแรกจริง ๆ ที่อาตมาไปพบท่าน ก็เพื่อเอามีดหมอของหลวงพ่อไปให้

ท่านให้ลูกศิษย์มาแจ้งว่า อาการอัมพฤกษ์เริ่มเกิดแล้ว เคลื่อนไหวแขนขาบางส่วนไม่ได้แล้ว เพราะว่าโดนไสยศาสตร์มากเกินไป ท่านอยากได้มีดหมอชาตรีของหลวงพ่อวัดท่าซุง ทราบว่าอาตมามีอยู่

อาตมาเอาไป ๒ เล่ม ไปให้ท่านเลือก ปรากฏว่าท่านเลือก Rambo III ไป เหมาะสมกับตัวท่านมากเลย หนังเรื่องแรมโบ้ภาค ๓ ที่มีดใหญ่ประมาณฝ่ามือและยาวเป็นศอก เล่มนั้นอาตมานำไปเข้าพิธีชาตรีครั้งแรก สั่งตรงมาจากอเมริกาเลยนะ เพราะเป็นของที่มีลิขสิทธิ์

นึกว่าเอามีดหมอไปให้แล้วจะจบ ท่านถอดประคำที่คอกับวัตถุมงคลมาอีกพวงหนึ่ง บอกว่า "หลวงพี่ช่วยเสกให้ผมด้วย" เราอุตส่าห์นั่งเสกให้ท่าน พอเสกเสร็จนึกว่าจะจบ "หลวงพี่ช่วยสอนมวยให้เณรด้วย..!"

ตอนช่วงนั้นมีเณรที่ร่วมเป็นร่วมตายอยู่กับท่านประมาณ ๓ - ๔ รูปเท่านั้น ทั้งวัดมีม้าอยู่แค่ ๕ - ๖ ตัวเท่านั้น ไม่ใช่ ๒๐๐ - ๓๐๐ ตัว เหมือนทุกวันนี้ ก็เลยบอกว่า "มวยที่ผมเรียนมา มีแต่ประเภททีเดียวอยู่นะ" ท่านบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นแสดงท่าให้เขาดูก็แล้วกัน"

พอบอกให้เณรลงมือจริง ๆ เณรก็กลัว ๆ กล้า ๆ เกรงใจไม่กล้าเตะต่อย อาตมาจึงต้องบอกเณรให้ลงมือจริง ๆ ถึงจะรู้ว่า เวลาที่เขาแก้ไขปิดป้องแล้วตอบโต้จะต้องทำอย่างไร

เถรี
10-02-2011, 16:50
ถาม : ในขณะที่ร่างกายเคลื่อนไหวในท่าของมวย การทรงอารมณ์นี่อยู่ที่จิตตลอดไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าสมาธิยิ่งคล่องตัวมากเท่าไร เราจะรู้เลยว่าจังหวะไหนควรจะทำอะไร และถ้าหากรู้ละเอียด จะรู้ด้วยว่าตอนนี้เขาจะมาท่าอะไร รู้ก่อนเดี๋ยวนั้นจะกันได้หมด แก้ได้หมด

แต่ไม่ต้องถึงระดับนั้นหรอก แค่รู้ว่าตัวเองควรจะเคลื่อนไหวอย่างไรจึงจะเหมาะสม ก็หาคนเล่นกับเรายากแล้ว

ถาม : ถ้าคนที่ไม่เคยฝึกในชาตินี้มาก่อนละคะ ?
ตอบ : ถ้าของเก่ามีเดี๋ยวก็มาเอง แต่ถ้ากำลังใจไปไม่ถึงระดับหนึ่ง ของเก่าก็ยังไม่ฟื้น

ถาม : ระดับหนึ่งที่ว่าคือระดับไหนคะ ?
ตอบ : ทรงฌานให้ได้คล่องตัวสักฌานหนึ่ง เอาแค่ปฐมฌานก็ได้ เพียงแต่ต้องให้เป็นฌานลักษณะใช้งานได้ ถ้าประเภทที่ต้องนั่งเฉย ๆ แล้วถึงจะทรงฌานได้ แบบนั้นยังใช้งานอะไรไม่ได้

ถาม : แค่ปฐมฌาน ของเก่าก็กลับมาแล้วหรือคะ ?
ตอบ : เราลองนึกถึงว่า เวลาเราทรงปฐมฌานละเอียด เราจะรู้ลมหายใจได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็ภาวนาได้เอง ตอนนั้นสัญชาตญาณเดิมจะกลับมา เพราะว่าการฝึกอาวุธหรือการต่อสู้ต่าง ๆ ต้องมีสมาธิเป็นเครื่องรองรับ

ถ้าไม่มีสมาธิเป็นเครื่องรองรับ ใครจะเดินเข้าไปหาดาบขาววับของอีกฝ่ายหนึ่งเล่า ? ถ้ากำลังใจสู้กันไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว เข้าไปก็ตายเปล่า..! เมื่อกำลังใจไปถึงช่วงนั้น ของเก่าก็จะคืนมา เพราะเราเคยฝึกมาแล้ว

ถาม : แล้วถ้าหากว่ากำลังใจเลยปฐมฌานละคะ ?
ตอบ : ก็ได้มากขึ้น ที่บอกว่าให้ได้ ก็คือให้ได้อย่างน้อยปฐมฌาน

ถาม : ที่มากขึ้นหมายถึงความละเอียดหรือคะ ?
ตอบ : สิ่งที่เรารับรู้มีมากขึ้น ของที่ได้คืนมาก็จะมากขึ้นไปด้วย

เถรี
10-02-2011, 16:54
ถาม : เรื่องบวงสรวงท้าวมหาราชที่ว่าต้องใช้หมูต้ม ถ้าหาหมูต้มไม่ได้ เอาหมูทอดได้ไหมครับ ?
ตอบ : อย่าแหกคอกมากจนเกินไป..! เรื่องของพรหมเทวดา ท่านขออะไรต้องใช้อย่างนั้นท่านจึงจะช่วยสงเคราะห์ ปกติเขาใช้หัวหมู ถ้าไม่ได้หัวหมู เขาจึงยอมให้ใช้หมูชิ้น แต่หมูชิ้นหนึ่งต้องไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโล

ในเมื่อเอ็งเอามาทอดได้ แล้วทำไมทะลึ่งเอามาต้มไม่ได้วะ..!

ถาม : ไม่มีครัว และไปหาซื้อที่เขาต้มไม่ได้ แต่เขามีหมูทอดขาย
ตอบ : เจริญ..!

ถาม : พอจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าสำหรับอาตมาได้ เพราะสมัยนี้หมูทอดก็ราคาแพง น้ำมันขึ้นราคา..! แต่สำหรับท้าวมหาราชท่านไม่ได้แน่...

ถาม : แล้วกรณีข้าวปากหม้อล่ะครับ ถ้าหากว่าหาไม่ได้ จะใช้ข้าวที่เขานึ่งขายเป็นถ้วย ๆ ใช้แทนได้ไหมครับ ?
ตอบ : จะทำอะไรทำให้ตรงไปตรงมา เรื่องของธรรมะเขาตรงไปตรงมา ถ้าจะแหกคอกต้องมีความสามารถพอหรือว่าเป็นที่เกรงใจพอ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะได้รางวัลโดยที่ไม่รู้ตัว..!

เถรี
10-02-2011, 17:26
อาตมาเคยเจอมาแล้ว บอกว่าเอาปลาช่อนแป๊ะซะ เขาเอาปลากะพงนึ่งมะนาวมาแทน ส่วนอีกที่หนึ่ง คือบ้านหนองบัว อาตมาสั่งหัวหมู ๓ หัว คุณรู้ไหมว่าจากหนองบัวต้องนั่งเรือไปขึ้นที่สองแคว เรือหางยาววิ่งไปครึ่งค่อนชั่วโมงกว่าจะถึงสองแคว แล้วต้องนั่งสองแถวอีกเป็นชั่วโมง เพื่อไปถึงเมืองมุด่ง แล้วจากมุด่งจะต้องต่อรถไปที่เมืองมะละแหม่ง จึงจะหาซื้อหัวหมูได้

เขาซื้อหัวหมูมา ๑ หัว ทั้ง ๆ ที่อาตมาให้เงินไปเหลือเฟือ อาตมาถามว่า "สั่งหัวหมู ๓ หัว ทำไมเอ็งเสือกทะลึ่งซื้อมาหัวเดียว ?" เขาบอกว่า "หัวเดียวก็พอกินแล้ว เอามาทำไมตั้ง ๓ หัว..!"

ครั้งที่ ๑ ผ่านไป อาตมาก็กัดฟัน เอาวะ..ใช้บวงสรวงชุดเล็กก็ได้ บอกกับเขาว่า ให้ผ่าหัวหมูแล้วต้ม ปรากฏว่าสักพักหนึ่งเดินลงไปดู เขาเผาซะดำปี๋เลย กำลังเอาช้อนขูด ๆ อยู่ อาตมาบอกว่า "ให้เอ็งต้มแล้วทำไมเสือกทะลึ่งเผา ?" เขาบอกว่า "เผาอร่อยกว่า" ตูไม่รู้จะร้องเพลงอะไรดีเลยตอนนั้น..!

เขารู้ดีกว่าทุกเรื่อง สั่งอะไรนี่ไม่ได้สักอย่างเลย แล้วท้ายสุด เขาถึงยอมไปต้มปลาช่อนให้ แต่เขาต้มซะเปื่อยจนแทบจะหลุดเป็นชิ้น ๆ หมดแล้ว จากนั้นยกข้าวปากหม้อขึ้นมา เพราะอาตมาจะเอาข้าวไปอัดใส่กรวยบายศรี ยกหัวหมูขึ้นมา ยกปลาช่อนขึ้นมา ยกไก่ขึ้นมา ก็ดันมีคนสงสัยตะโกนถามขึ้นมาว่า "เอาไปไสนะ ?" เขาบอกว่า "อาจารย์เพิ่นสิฉันมื้อแลง" คือ อาจารย์จะกินข้าวเย็น..! เขาเห็นว่ามีทั้งหมู ทั้งไก่ ทั้งปลา แถมข้าวอีกหม้อหนึ่ง เขาสรุปเสร็จสรรพว่าอาจารย์จะกินข้าวเย็น เจอเข้าไปแบบนี้ ไม่รู้จะตีหน้าอย่างไรเลย

ปรากฏว่างานบวงสรวงนั้นยังดี อุตส่าห์มีเทวดามาทั้งหมด ๑ องค์..! คือ ของบวงสรวงนอกจากจะไม่ครบแล้วยังผิดอีก

ถาม : เทวดามาแค่ ๑ องค์หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าท่านไม่ได้เป็นเจ้าที่อยู่แถวนั้น ท่านก็คงไม่มาหรอก เป็นภาระที่ท่านเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยว่า พออาตมาเลิกช่วยแล้วทำไมวัดหนองบัวถึงได้โทรมทันตา ก็สั่งอะไรเขาไม่ทำตามสักอย่าง

เถรี
13-02-2011, 08:15
ในส่วนของเครื่องบวงสรวงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ใช้ระยะเวลาเตรียมการนาน แต่เวลาใช้จริงน้อยนิดเดียว อาตมาบอกให้เตรียมเครื่องบวงสรวงก่อนเพื่อน ครูบาน้อยก็ "ครับ ครับ ครับ" อย่างเดียว แต่ไม่ได้ทำ จนกระทั่งใกล้เวลาบวงสรวงแล้ว อาตมายังต้องไปปีนต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าวอ่อนเอง เพราะถ้าเรายังไม่ปีน เขาก็คง "ครับ ครับ" อยู่นั่นแหละ

บางทีก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เราบอกเขาไปแล้วทำไมเขาไม่ฟัง เขาคิดว่าเขาคิดได้ดีกว่าหรืออย่างไร ? เคยเจอรายหนึ่ง เครื่องบวงสรวงใช้หัวหมูเจและไก่เจ ที่ทำด้วยแป้งแล้วก็มีงา หน้าตาเหมือนหัวหมูดี ๆ นี่แหละ แต่เป็นแป้งโรยงา ไก่ก็ใช้แป้งอัดเป็นรูปไก่มาทั้งตัว

ถาม : ผลเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : เทวดาที่ไหนเขาจะมา ? เพราะไม่ตรงกับกติกาที่ท่านกำหนดเอาไว้ การที่ทำอะไรตามใจตนเอง โดยที่ไม่ได้ยึดหลักที่ครูบาอาจารย์หรือบรรพบุรุษเขาทำสืบ ๆ กันมา ถึงเวลาแล้วพรหมเทวดาท่านไม่สงเคราะห์ ก็ไม่รู้จะไปโทษใคร เพราะตัวเองแหกคอกเอง

เถรี
13-02-2011, 08:20
ปัจจุบันนี้เครื่องบวงสรวงที่เห็น มีจำนวนมากต่อมากด้วยกันที่เกินมาเยอะ เกินจนอาตมาเองก็ยังงง ๆ ว่ามาจากไหน ? อย่างบนโต๊ะบวงสรวงมีทองหยิบ ฝอยทอง ขนมจีน น้ำพริก นั่นเป็นเครื่องบวงสรวงเฉพาะของเสด็จในกรมหลวงชุมพร

มีถั่วลาชมาศ นั่นเป็นเครื่องบวงสรวงที่ใช้เวลาเราตั้งศาลพระภูมิ เขาเคยได้ยินอะไรก็จับมาใส่หมด โดยเฉพาะขนมต้มขาว ขนมต้มแดง สมัยนี้ก็มั่วกันไปหมด มีอยู่รายหนึ่ง ขนมต้มขาวกับขนมต้มแดงเหมือนกัน ยกเว้นแต่แป้งที่ทำขนมต้มแดง เขาใส่น้ำหวานสีแดงผสมลงไปหน่อยหนึ่ง

บางที่เขาบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ แต่ปรากฏว่าผลไม้บนโต๊ะกลับไม่ใช่กล้วยน้ำว้า มะพร้าวอ่อน ส้มโอ กลายเป็นผลไม้ ๙ อย่าง อาตมาก็ได้แต่นั่งเกาหัว ตกลงว่าตูจะทำให้ดีไหม ? เอาเป็นว่า ถ้าไปงานไหน เห็นอาตมายื่นไมค์ให้คนอื่น ก็แปลว่าใช่เลยว่า งานนั้นต้องมีอะไรบกพร่องเสียอย่าง แต่ถ้างานไหนยอมทำบวงสรวงให้เขา แปลว่ายังพอที่จะรับได้อยู่

ถาม : ถั่วลาชมาศ คือถั่วเขียวหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นถั่วเขียวแกะเปลือก คำว่า ลาชะ คือข้าวตอก , มาศะ แปลว่าทอง ทีนี้ข้าวตอกทองนั้นไม่มี เลยใช้ถั่วเขียวแกะเปลือกแทน จะออกสีเหลือง ๆ คั่วให้สุก

ถาม : ก็คือต้องเอาถั่วเขียวมาคั่ว ?
ตอบ : ไปตลาดแล้วบอกว่า ขอซื้อถั่วที่ใช้ทำเต้าส่วน เขาจะกระเทาะเปลือกไว้ให้เราให้เรียบร้อยแล้ว เราแค่เอาไปคั่วหน่อยเดียว เพียงแต่ว่าคั่วไฟอ่อน ๆ ให้สุกเท่านั้น ถ้าหากว่าคั่วไฟแรงถั่วจะไหม้

เถรี
13-02-2011, 08:26
ถาม : ของบนโต๊ะบวงสรวง อย่างไข่บนโต๊ะบวงสรวงที่เขาแย่งกันกินว่าดี มีผลไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ความเชื่อและขณะเดียวกันก็อยู่ที่ตัวเราอธิษฐานด้วย ถ้าหากกำลังใจของเขามีความเชื่อมั่นสูง ก็มีผลตามนั้นเหมือนกัน

ถาม : คนอื่นเขาก็หยิบของบนโต๊ะบวงสรวงมาให้ เอามาให้เรากิน
ตอบ : บอกเขาไปว่า "ขอโทษ..ไม่อยากเป็นหนี้สงฆ์..!"

ถาม : เป็นหนี้สงฆ์ด้วยหรือคะ ?
ตอบ : ก็ใช่ของเราเสียเมื่อไร ของอยู่กับวัดนะจ๊ะ

ถาม : รอด..เพราะไม่ได้เอา
ตอบ : ถ้าใครเอามา ก็ไปชำระหนี้สงฆ์

ถาม : แม้กระทั่งตัวบายศรี ถ้าเอาก็ถือว่าเป็นหนี้สงฆ์ ?
ตอบ : ก็คนจะเอาเสียอย่าง ครั้งหนึ่งที่วัดท่าขนุน งานเป่ายันต์ที่ทำบายศรีเป็นรูปนาคคู่หรือนาคเกี้ยว เชื่อไหมว่านาคตัวใหญ่อย่างนั้นเขายังดึงไป แล้วก็ยกมาถามอาตมาว่าเอาไปทำอะไร ? ไม่รู้เรื่องแล้วดันทะลึ่งเอาไป เห็นคนอื่นเขาหยิบอย่างอื่นแล้ว เขาก็เอาบ้าง บายศรีเป็นรูปพญานาคตัวเบ้อเริ่มเลย อาตมาจึงบอกว่า "ให้เลี่ยมแขวนคอไว้..!"

ถาม : แต่ถ้าเป็นของบวงสรวงที่มีเจ้าภาพ แล้วทำในวัดละคะ
ตอบ : เจ้าภาพเขามอบให้วัดไปแล้ว

ถาม : ต้องขอก่อน ?
ตอบ : ต้องขอกับทางวัด

เถรี
13-02-2011, 08:29
ถาม : หยิบของจากโต๊ะบวงสรวง แล้วต้องไปชำระหนี้สงฆ์ ถือว่าผิดศีลข้อสองเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ผิดแน่นอน เพราะไม่ใช่ของเรา หยิบของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เจ้าของเขายังไม่ได้อนุญาต

ถาม : ถือว่าเป็นการวิสาสะหยิบของคนอื่นได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าถือวิสาสะแบบพระก็คือ เมื่อเราเอามาแล้วเจ้าของยินดีที่จะให้ ในเมื่อเราไม่รู้ว่าเขาจะยินดีหรือเปล่า ก็เสี่ยงต่อการผิดศีล

ถาม : ถ้าทำกับฆราวาสด้วยกัน ก็นับว่าก้ำกึ่งใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่น่าจะก้ำกึ่งนะ น่าจะผิดเต็ม ๆ..!

เถรี
13-02-2011, 08:31
ถาม : การจัดบวงสรวงที่บ้าน ของบวงสรวงก็ถือว่าเป็นของถวายพระด้วยเหมือนกันหรือคะ ?
ตอบ : เป็นของที่เราถวายเพื่อบูชาพระ แต่ยังเป็นของเราอยู่จ้ะ เราตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เราไม่ได้มอบถวายให้แก่พระสงฆ์ ก็เหมือนกับเราถวายข้าวพระที่บ้าน

ถ้าลามาก็ยังเป็นของเราอยู่ แต่ถ้าหากว่าเป็นของที่วัด กรณีนั้นเสี่ยงมาก พูดง่าย ๆ ว่าไม่คุ้มค่าเลย

ถาม : แล้วน้ำมนต์ที่ตัก ๆ กัน ถือว่า..?
ตอบ : ในส่วนของน้ำมนต์อาตมาตั้งใจให้ ใครตักน้อยจะมีโทษ..!

เถรี
13-02-2011, 08:33
ถาม : เวลาตั้งเครื่องบวงสรวงพระนารายณ์ ได้ยินว่าคนที่มารับก็คือ ท่าน..ใช่องค์ที่มารับใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใครก็ช่าง ขอให้เป็นพระนารายณ์แล้วกัน รู้ไปก็ไม่ช่วยให้หมดกิเลส แถมยังทำให้กิเลสมากขึ้น เพราะไปทะลึ่งคุยอวดกับคนอื่นว่ากูรู้ เลยเป็นปัญหาที่ไม่น่าตอบ

เถรี
13-02-2011, 08:36
ถาม : เมื่อวันอาทิตย์ฝึกมโนมยิทธิ ขึ้นไปยังพระนิพพาน หลวงพ่อท่านก็ให้เชิญท่านพ่อท่านแม่ในอดีตชาติของเรามา ในอารมณ์ตอนนั้นรู้สึกว่า มีท่านบางองค์ที่มาขนาบซ้ายขวา ก็ถามว่าขนาบเราทำไม ? จิตก็ไม่ได้คำตอบ รู้ว่าท่านพูด
แต่ว่าเราไม่ได้ยินค่ะ ขอความเมตตาท่านช่วยขยายความ
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก ท่านอาจจะเห็นว่าเราเดินไม่ค่อยตรงทาง ก็ต้องกระหนาบกันหน่อย

ถาม : เข้าใจแล้วค่ะ เพราะบางทีรู้สึกว่าเราพลาดหรือเราเลวหรือเปล่า จึงต้องโดนผู้ใหญ่ขนาบ ?
ตอบ : ถ้าท่านยังสงเคราะห์เราอยู่ ก็แปลว่าท่านยังรักและเมตตาเราอยู่ แต่ถ้าท่านปล่อยวางเมื่อไร คราวนี้เราต้องดิ้นรนเองแล้วจะสาหัส..!

ให้พยายามไปบ่อย ๆ อันดับแรก..กำลังใจที่ส่งออก จะทำให้เรามีความคล่องตัวในการทรงฌานทรงสมาธิ อันดับที่สอง..กำลังใจที่ท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ รัก โลภ โกรธ หลงจะกินเราไม่ได้ และอันดับสุดท้าย..ถ้าหากว่าเราเกาะพระนิพพานเป็นที่สุด ถึงเวลาสภาพจิตที่เคยชินก็จะไปตรงนั้น

เถรี
13-02-2011, 08:39
ถาม : ในระหว่างวันที่ฝึก จับอยู่หน้าพระอย่างเดียว ดีกว่ามานั่งตัดสังโยชน์ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าอยู่ต่อหน้าพระบนนิพพาน เท่ากับตัดสังโยชน์ไปในตัวอยู่แล้ว

ถาม : เป็นทางลัดแล้วใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ทางลัด ไม่มีทางไหนตรงกว่าอีกนี้แล้วจ้ะ

ถาม : เคยอ่านเจอในคำถามเก่า ๆ ที่ท่านเคยเมตตาบอกไว้ ในการท่องคาถามหาลาภวันละ ๑๐๘ จบ อยากทราบอารมณ์ใจตอนนั้น เราต้องทำอารมณ์อย่างไร ? ทุกวันนี้พอจิตเริ่มฟุ้ง ก็จะแบ่งไปคิดเรื่องงานต่อ แล้วบางส่วนก็มาท่อง
ตอบ : ใช้เป็นคำภาวนาจะดีที่สุด ใช้ควบกับลมหายใจเข้าออกไป สมมติว่าเรามีเวลาภาวนาเฉพาะของเราวันละชั่วโมง เราก็ใช้ภาวนาคาถาเงินล้านแทน

ถาม : แล้วจะควบกับการดูลมอย่างไรเจ้าคะ เพราะคาถาเป็นบทเลย
ตอบ : ก็แบ่งเอาเองสิ จังหวะไหนที่เราหายใจสบายก็ว่าไปเรื่อย

เถรี
13-02-2011, 09:17
ถาม : คนเราทำบุญอะไรมา จึงได้อะไรพิเศษกว่าคนอื่นเขา ?
ตอบ : ด้านไหนล่ะ ? ถ้าอย่างทั่ว ๆ ไป เช่น ทำบุญด้วยของที่ประณีตกว่าคนอื่นเขา ทำด้วยเจตนาที่ตั้งมั่นกว่าคนอื่นเขา แล้วก็ทำด้วยวัตถุที่คนอื่นเขาไม่มีหรือหาไม่ได้

มีเพลงอยู่เพลงหนึ่ง ไปหาเอานะ ไม่บอกว่าชื่ออะไร คนแต่งกับคนร้องเป็นคน ๆ เดียวกันที่เรานึกไม่ถึง เพลงขึ้นต้นว่า "คนเรามีกรรมสมคำพุทธภาษิต เราเกิดมาใช้หนี้ชีวิต ลิขิตไปตามบาปกรรมสร้างมา เกิดมาเป็นคน บ้างมีบ้างจนเป็นธรรมดา เหมือนดั่งสัญญา โลกเรานี่หนาดุจโลกละคร.." เขาแต่งเองร้องเอง เป็นนักธุรกิจระดับพันล้าน

ตรงที่ว่า..ลิขิตไปตามบาปกรรมสร้างมา.. นั่นแหละชัดเจนที่สุด ทำอะไรมาก็ได้อย่างนั้น

ถาม : ถ้าเราถวายของแปลกพิสดารละคะ ?
ตอบ : อาจจะได้อะไรที่พิสดารกว่าผู้อื่น อย่างเช่น คนอื่นเขาเกิดมาปกติธรรมดา เราอาจจะมีเขาด้วย..!

ถาม : เราอาจจะเห็นของนี้น่ารัก แต่คนอื่นเขาเห็นว่าไม่สวย
ตอบ : ลูขัง วา ปะณีตัง วา จะหยาบหรือประณีตก็ตาม ท่านบอกว่า เจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์

โดยเฉพาะก่อนให้ก็เกิดปีติว่า..เรามีโอกาสได้ให้ทาน ระหว่างที่ให้ก็เกิดปีติว่า..เราได้ให้ทาน ให้ไปแล้วก็เกิดปีติว่า..เราได้ให้ทานแล้ว คิดถึงเมื่อไรก็เกิดปีติว่า..เราได้ให้ทานในครั้งนั้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นต้องการอะไรก็อธิษฐานเอาเถอะ ได้ไปเต็ม ๆ เลย

เถรี
13-02-2011, 09:20
ถาม : ถ้าให้ของที่เขาชอบ กับให้ของที่เราชอบมาก ๆ
ตอบ : พระเวสสันดรท่านเคยให้สุราแก่พวกนักเลงสุรา ท่านตั้งใจว่า ท่านจะให้สิ่งที่ทุกคนเขาชอบใจ พระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า การให้สุรามีอานิสงส์อย่างไร ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ เพราะว่าเหมือนกับส่งเสริมเขาให้ศีลขาด แต่ที่ให้เพราะเห็นว่าเขาชอบใจอย่างนั้น
อยากให้ของที่เขาชอบ

ถาม : ไม่มีโทษหรือคะ ?
ตอบ : เราไม่ได้บังคับให้เขากิน เราให้เฉย ๆ เพราะเขาอยากได้ ส่วนเขาจะยินดีหรือยินร้ายเป็นเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยวแล้ว

ถาม : ได้บารมีไหมครับ ?
ตอบ : ได้บารมีแต่อานิสงส์ไม่มี ได้ตรงที่ว่า ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก บารมีจะออกไปทางด้านบริวารมาก

เถรี
13-02-2011, 09:23
ถาม : ถ้าทำบุญใหญ่จะตายจริงหรือเปล่าครับ ? มีคนทำบุญสร้างลูกนิมิตมาถวายวัด ทำเสร็จแล้วก็ตายเลย
ตอบ : ถึงวาระเขาพอดี อาตมาสร้างวัดมา ๗ - ๘ วัด โบสถ์อีก ๓ - ๔ หลังยังไม่เห็นตายเสียที..! กรณีนั้นอยู่ที่วาระเขาพอดี จริง ๆ แล้วถือว่าดีนะ เพราะใจเขาเกาะบุญอยู่ โอกาสไปดีมีสูงมาก สร้างลูกนิมิตยังไม่ถือว่าเป็นบุญใหญ่

ถาม : ใหญ่กว่านั้นยังมีอีกใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องสร้างโบสถ์ทั้งหลัง..!

เถรี
13-02-2011, 09:24
ถาม : หนูรับงานที่อินเดีย อยากให้การงานราบรื่น
ตอบ : ให้บนกับพระวิสุทธิเทพ ไม่ต้องไปบนถึงวัดท่าซุงหรอก จุดธูป ๕ ดอก บนท่านที่บ้านก็ได้ ถ้างานสะดวกราบรื่นทุกอย่าง เราต้องแก้บนด้วยการเจริญกรรมฐานพร้อมกับรักษาศีลแปด ๗ วัน

ในแต่ละวันเราอาจจะทำกรรมฐานตอนเช้าหนึ่งชั่วโมง ตอนเย็นหนึ่งชั่วโมง แต่ว่าการรักษาศีลแปดต้องให้ได้ทั้งวัน

เถรี
13-02-2011, 10:47
ถาม : อยู่ดี ๆ พี่เขยก็ความดันสูง เส้นเลือดในสมองแตก หมอยังบอกว่ามีโอกาส ควรจะทำบุญอะไร เพื่อที่จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ?
ตอบ : ไม่ใช่ทำบุญ แต่ให้หาดีหมีให้ได้ หาแถวร้านขายยาจีนเยาวราชน่าจะมี แต่ราคาแพง เอาเหล้าขาวมาประมาณครึ่งแก้ว ขูดดีหมีลงไป จะเป็นเศษ ๆ ผง ๆ ขูดใส่จนกระทั่งเหล้าเป็นสีชา แล้วให้กินเข้าไป จะละลายลิ่มเลือดได้หมด

หลังจากนั้นก็เป็นฝีมือหมอรักษาแล้วว่าจะเอาอยู่หรือไม่อยู่ เพราะถ้าไม่ละลายลิ่มเลือดหมดก็จะเป็นอัมพาตเลย แต่ดีหมีแพงมากจ้ะ อาตมาเคยซื้อเมื่อ ๒๐ ปีก่อน ลูกหนึ่ง ๗,๐๐๐ บาท ตอนนี้ไม่รู้ราคาเท่าไรแล้ว

เหล้าขาวนะจ๊ะประมาณครึ่งแก้ว เราก็ขูด ๆ ดีหมีให้เป็นผง พอลงไปแล้วจะละลายกลายเป็นสีเหมือนกับน้ำชา อย่าให้เข้มมาก เพราะถ้าเข้มมากเดี๋ยวเลือดจะไม่ยอมหยุด เอาแค่ละลายลิ่มเลือดได้

ถาม : ตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล ๒ วันแล้วครับ ?
ตอบ : ยังทันอยู่ เป็นแค่ไม่กี่วัน มีอยู่รายหนึ่ง คุณปรีชา บ้านอยู่ยะลา อยู่ ๆ ก็ล้มตึงไปเฉย ๆ ญาติเขาโทรมา อาตมาถามว่า มีดีหมีไหม ? พอดีบ้านเขาเป็นคนจีนก็เลยมี จึงบอกให้ทำอย่างที่ว่า ให้บีบจมูกกรอกปากไปเลย เพราะเขาหมดสติไปแล้ว ปรากฏว่าหาย

แต่แขนข้างซ้ายใช้งานไม่ได้เป็นปี เขาเป็นคนถนัดซ้าย พยายามทำกายภาพอย่างไรก็ไม่หาย พอไปหาหมอสมัยใหม่เอ็กซเรย์ ผลปรากฏว่า ตอนที่เขาเพิ่งล้มใหม่ ๆ คนไปช่วยยกจนไหล่หลุด โดยที่เขาไม่รู้ตัว คิดว่าเป็นเพราะเส้นเลือดในสมองแตกจึงทำให้เป็นอัมพฤกษ์ พอไปให้หมอรักษา หมอบอกว่า ไหล่หลุดมาตั้งครึ่งค่อนปี พังผืดขึ้นหมดแล้ว ก็ต้องเจ็บตัวไปให้หมอผ่าตัดใหม่ นั่นถือว่าซวยจริง ๆ

เถรี
13-02-2011, 10:49
ถาม : คนที่จำอะไรไม่ค่อยได้ เรียนรู้เข้าใจยาก ทำกรรมอะไรมาคะ ?
ตอบ : น่าจะเป็นแบบเดียวกับพระจูฬปันถกเถระ ในอดีตชาติพระจูฬปันถกเถระเป็นคนเก่ง ท่องปาฏิโมกข์ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน แต่เพื่อนของท่านท่องไม่ได้สักที พระจูฬปันถกเถระจึงไปหัวเราะเยาะเพื่อนว่าโง่

พอมาเกิดชาติใหม่ พระจูฬปันถกเถระท่องกลอนสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าแค่สี่ประโยค ใช้เวลาสามเดือนยังท่องไม่ได้ เพราะฉะนั้น..อย่าไปดูถูกใครว่าโง่ เดี๋ยวกรรมตามทันเราจะแย่กว่าเขาอีก

เถรี
13-02-2011, 10:51
ถาม : ทำไมเวลาถวายสังฆทาน ท่านให้พรหลายคาถา แต่ละคนไม่เหมือนกัน ?
ตอบ : จริง ๆ มีสิบกว่ายี่สิบบท นึกบทไหนได้ก็ให้ไปเรื่อย

ถาม : เกี่ยวกับคนไหมคะ ?
ตอบ : เกี่ยวนิดหน่อยจ้ะ

ถาม : ดูจากอะไรเจ้าคะ ?
ตอบ : ความต้องการของเขาเป็นหลัก รองลงไปก็บุญที่เขาทำมา ถ้าของเก่าเขามี ควรจะได้อะไรก็ว่าอย่างนั้นไป

เถรี
13-02-2011, 13:45
ถาม : หนูเพิ่งเริ่มปฏิบัติ ดูลมหายใจกับบริกรรมพุทโธ สงสัยว่าคำบริกรรมสำคัญไหม ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วคำภาวนาเป็นเครื่องช่วยโยงใจให้เป็นสมาธิจ้ะ ถ้ากำลังสมาธิทรงตัวแล้ว เราจะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ตาม ใจนึกจะให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เพราะว่ากำลังของเราพอแล้ว

ดังนั้น..ตอนนี้คำภาวนาไม่ต้องไปใส่ใจ เอาให้ใจเราเป็นสมาธิเพราะคำภาวนานั้นก่อน พอสมาธิทรงตัว คราวนี้จะใช้บทอะไรก็ได้แล้ว เหมือนกับหาเงินใส่กระเป๋าไว้ก่อน พอมีเงินแล้วเราจะซื้ออะไรก็ได้

ถาม : คำภาวนาอะไรก็ได้หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าคำภาวนายาวไป บางทีอาจจะไม่เหมาะกับเรา ให้ใช้พุทโธของเราไปก่อน ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวเป็นสมาธิ ต่อไปจะใช้สมาธิในการทำอะไร แค่คิดก็เป็นแล้วจ้ะ ต้องขยันทำบ่อย ๆ นะจ๊ะ ถ้าไปทำ ๆ ทิ้ง ๆ เดี๋ยวกิเลสตีเราตายเสียก่อน

เถรี
13-02-2011, 13:48
ถาม : อาสวักขยญาณ เป็นตั้งแต่ผู้ที่จะบรรลุอรหัตผลเท่านั้นหรือ ?
ตอบ : ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป อาสวักขยญาณ แปลว่า ญาณอันทำให้กิเลสสิ้นไปได้ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปสามารถทำให้กิเลสหมดไปบางส่วน เขาเรียกว่าเป็นอาสวักขยญาณ

ถาม : จะต้องผ่านฌานอะไรเป็นอย่างน้อย ?
ตอบ : ปฐมฌานเป็นอย่างน้อย เพราะกำลังปฐมฌานขึ้นไป เพียงพอที่จะตัดกิเลสเบื้องต้นในสังโยชน์ได้แล้ว

เถรี
13-02-2011, 15:37
ถาม : ปฐมฌานเป็นพื้นฐานขั้นแรกก็พอแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าใช้คำพูดผิดไปแม้แต่คำเดียว จะทำให้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าผิดไปด้วย

ถาม : ขอประทานอภัยครับ
ตอบ : คุณใช้คำว่าปฐมฌานก็พอ แล้วเขาจะไปทำถึงฌานสี่ทำซากอะไร..! อย่างน้อยต้องถึงปฐมฌานจึงจะใช้ได้ ไม่อย่างนั้นกำลังไม่พอตัดกิเลส

ถาม : คำว่าน้อมไปเพื่อความสิ้นอาสวะ เขาทำกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไล่ไปตามสังโยชน์ ตัดไปทีละข้อ ๆ อาสวกิเลสหยาบที่สุดก็คือนิวรณ์ ๕ ถ้าเราทรงปฐมฌานได้ นิวรณ์ ๕ ก็กินเราไม่ได้ หลังจากนั้นก็เป็นในส่วนของกรรมกิเลสก็คือในส่วนที่เราละเมิดแล้วผิดศีล หลังจากนั้นก็จะเป็นสังโยชน์คือกิเลสที่ร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏฏะ ไล่ไปทีละระดับ

เรารู้จักศีลอย่างเดียวว่าห้ามทำนั่นห้ามทำนี่ แต่ตัวที่ทำแล้วผิดศีล เขาเรียกว่ากรรมกิเลส (การกระทำที่เกิดจากกิเลส) ฆ่าสัตว์ก็เพราะโทสะกิเลสบังคับไว้ ลักทรัพย์เพราะโลภะกิเลสบังคับไว้ ฯลฯ เขาจึงเรียกว่ากรรมกิเลส

ถัดจากนิวรณ์ก็ต้องแก้ไขกรรมกิเลส จากนั้นก็อาศัยกำลังของศีลซึ่งเกิดจากการที่เราระมัดระวังรักษาเอาไว้ไม่ให้เกิดกรรมกิเลส ทำให้เกิดสมาธิ ก้าวขึ้นไปสู่การตัดสังโยชน์เบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด

แต่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งสังโยชน์ออกเป็นสองส่วน เขาเรียก โอรัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องต่ำ) กับ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องสูง) สังโยชน์เบื้องต่ำ ก็คือ สังโยชน์ข้อที่ ๑-๕ สังโยชน์เบื้องสูง คือ ข้อที่ ๖-๑๐ แค่สังโยชน์ข้อ ๑-๕ ก็แทบปางตายแล้ว โดยเฉพาะข้อที่ ๔ กับ ๕

เถรี
13-02-2011, 21:28
ถาม : เขาบอกว่า ต้องทรงฌานให้มากที่สุด เกี่ยวไหมครับ ?
ตอบ : จำเป็นต้องมี ถ้าสมาธิหลุดเมื่อไรกิเลสก็กินเรา เพียงแต่ให้ทรงในลักษณะที่มีสติ มีปัญญาประกอบรู้อยู่เสมอว่า นี่เป็นเครื่องมือที่จะพาเราให้พ้นกิเลส ไม่อย่างนั้นคนจำนวนมาก จะไปหลงติดอยู่ในสุขของฌานที่ปราศจากกิเลส และไม่คิดจะขยับขยายไปทำอะไรอีก ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นรูปราคะสังโยชน์หรืออรูปราคะสังโยชน์ แล้วแต่ว่าตัวเองได้รูปฌานหรืออรูปฌาน

ถาม : ถ้าเราทรงปฏิภาคนิมิตในกสิณใดกสิณหนึ่ง เราจะน้อมไปเป็นอาสวักขยญาณได้หรือไม่ ?
ตอบ : ได้..ลักษณะเดียวกัน เพราะตัวปฏิภาคนิมิตในกสิณนั้น ต้องเป็นฌานสี่จึงจะเป็นปฏิภาคนิมิตเต็มที่ เราก็ใช้กำลังของฌานในการละนิวรณ์ ๕ หรือเรื่องการระมัดระวังศีลของเรา หรือใช้ในเรื่องการตัดสังโยชน์

ถาม : การพิจารณาองค์ฌาน ถือว่าเป็น..?
ตอบ : เป็นการซักซ้อมให้เกิดความคล่องตัว ถึงเวลาจะได้หนีกิเลสได้ทัน ต้านกิเลสได้ทัน

ถาม : การพิจารณาองค์ฌาน ยังไม่ใช่อาสวักขยญาณ ?
ตอบ : การพิจารณาองค์ฌานเป็นสมถกรรมฐาน ต้องตัดสังโยชน์ให้ได้อย่างน้อยได้ ๓ ข้อแรก จึงจะเป็นอาสวักขยญาณ

เถรี
13-02-2011, 21:35
ถาม : จักรวาลในวิทยาศาสตร์และในพุทธศาสนาต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่วิทยาศาสตร์รู้ไม่เท่าพระพุทธศาสนา จักรวาลทางวิทยาศาสตร์ก็คือหมู่ดาวหมู่หนึ่ง ที่มีดาวฤกษ์คือดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง จักรวาลของพระพุทธศาสนาก็ลักษณะเดียวกัน แต่พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่าจักรวาลไหนมีมนุษย์อยู่บ้าง และพระองค์ท่านหรือพระอรหันต์ก็เสด็จไปโปรดเขาเป็นประจำ

แต่ในเรื่องของวิทยาศาสตร์ แค่ดาวพฤหัสกว่าเขาจะส่งยานเข้าไปในบริเวณที่สามารถสำรวจได้ใกล้เคียง ก็ใช้เวลาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีทั้งหมดแสนโกฏิจักรวาล ไม่น่าเชื่อว่าเยอะขนาดนั้น สุดชายขอบจักรวาลจึงเริ่มเป็นเขตของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

มีพระสูตรหนึ่ง กล่าวถึงฤๅษีองค์หนึ่ง ท่านอยากจะรู้ว่าจักรวาลนี้กว้างใหญ่เท่าไร ท่านจึงใช้อำนาจอภิญญาเริ่มเหาะจากโลกมนุษย์ไปเรื่อย ๆ มุ่งตรงไปอย่างเดียว ปรากฏว่าท่านหมดอายุของความเป็นมนุษย์เสียก่อน ยังเหาะไม่พ้นเขตจักรวาลเลย นั่นขนาดไปด้วยอำนาจอภิญญานะ ท่านก็เล่าให้เป็นอุทาหรณ์ว่า เรื่องพวกนี้สงสัยไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะท่านตายฟรีมาแล้ว..!

ถาม : ตายแล้วไปเป็นพรหมหรือครับ ?
ตอบ : เป็นพรหม เพราะตายด้วยกำลังของอภิญญา จำไม่ผิดน่าจะอยู่ในเทวตาสังยุต ของสังยุตตนิกาย ลองไปหาอ่านดู

เถรี
13-02-2011, 21:37
ถาม : ขอให้ช่วยอธิบาย การเร่งรัดบารมี
ตอบ : จริง ๆ ก็คือ ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้ การทำให้มากเข้าไว้ ไม่ได้หมายถึงทุ่มเทที่เวลา แต่จริง ๆ คือ รักษากำลังใจให้ต่อเนื่อง ถ้าเราสามารถรักษากำลังใจให้ต่อเนื่องกันได้ ความที่จิตเคยชินกับความสงบ สมาธิทรงตัวได้ง่าย ปัญญาเกิด ก็จะเห็นช่องทางว่าจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะก้าวหน้า

ถาม : ขี้เกียจนี่เป็นกิเลสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็นกิเลสหยาบมากเลย เป็นส่วนหนึ่งของถีนมิทธะนิวรณ์ ถีนมิทธะนิวรณ์ไม่ใช่ง่วงเหงาหาวนอนอย่างเดียว แต่ชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติด้วย ถ้าตราบใดที่จิตยังทรงฌานไม่ได้ เราทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เสร็จแน่ ๆ เพราะฉะนั้น..ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อย่างน้อยให้ทรงปฐมฌานได้จึงจะพ้น

เถรี
13-02-2011, 22:14
ถาม : ท่านสอนปฏิบัติสายไหนหรือคะ ?
ตอบ : สอนแบบกลาง ๆ ทั่วไป จะเป็นอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออกควบกับการภาวนา แล้วก็อธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะต้องพบเห็น หรือว่าสิ่งที่นักปฏิบัติจะต้องพบเจอ แล้วควรที่จะแก้ไขอย่างไร

จริง ๆ แล้วที่อาตมาเรียนมาเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่เราจะไปดูนรก สวรรค์ เพื่อพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เท่าที่มีประสบการณ์มา ส่วนใหญ่คนเอาไปใช้ผิด ในเมื่อไปใช้ผิดก็เลยไม่สอน สอนธรรมะกลาง ๆ ดีกว่า เพราะถ้าผิดแล้วจะติดนาน

อาตมาเองก็เคยไปหลงติดอยู่สามปีเต็ม ๆ คนนั้นให้ดูเรื่องนั้น คนนี้ให้ดูเรื่องนี้ พอถูกต้องแม่นยำก็ชม แล้วเราก็ตัวลอย กลายเป็นคนรับใช้เขาโดยที่ไม่ตั้งใจ ใครต้องการรู้เรื่องอะไรก็มาถาม จนกระทั่งต้องเลิกไปเอง เพราะเวลาคนมาหา เขาจะเอาแต่เรื่องของตัวเอง โดยที่ไม่สนใจว่าเราจะว่างหรือไม่ว่าง

เถรี
13-02-2011, 22:32
ถาม : คนที่เขาเป็นโรคไต ถึงขั้นฟอกไตแล้ว พอจะรักษาได้ไหมคะ ?
ตอบ : ใช้เซี่ยงจี๊หมู ๑ ข้าง ล้างให้สะอาด ฝานบาง ๆ แกะพวกเอ็นขาว ๆ ออกให้หมด แล้วก็ต้มกับน้ำฝน ๓ ชาม ต้มให้เหลือน้ำแค่ ๑ ชาม ระหว่างที่ต้ม ให้เอาเมล็ดลิ้นจี่ ๗ เม็ด ทุบให้แตก ห่อผ้าขาวบางต้มไปด้วย ถึงเวลากินให้หมดทีเดียว แล้วจะฟื้นสภาพไตชนิดที่ไม่ทำงานแล้ว ให้ทำงานใหม่ได้

แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นฟอกไต ให้ใช้หญ้าหนวดแมวสัก ๓ - ๕ ช่อมาต้มน้ำ กินแทนน้ำไปเลย มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ ต้องขยันเข้าห้องน้ำหน่อย จะช่วยล้างไตให้สะอาด

ถาม : อย่างนี้คนทั่ว ๆ ไปก็ล้างไตได้ ?
ตอบ : ทำได้จ้ะ ช่วงไหนที่เราไม่ได้ออกไปไหน ก็ลองดูสักวัน

ถาม : แล้วล้างลำไส้ละคะ ?
ตอบ : ใช้ใบชุมเห็ดสักก้านหรือสองก้าน ย่างไฟพอเกรียม ๆ แล้วก็ใส่ไปในหม้อน้ำร้อน กินแทนน้ำ แต่ถ่ายดุเดือดน่าดูเลยนะ

ถาม : ต้นชุมเห็ดหรือคะ ?
ตอบ : จ้ะ ใช้ใบชุมเห็ด อย่าให้เกินสองก้านนะจ๊ะ ถ้าใช้เยอะ เดี๋ยวจะถ่ายข้ามวัน ไม่ได้ไปทำงานกันพอดี

เถรี
13-02-2011, 23:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "อะไรก็ตามที่เป็นงานที่สมควรทำ เป็นงานของพระ เป็นงานของพระศาสนา ถึงเวลาจะไปได้เอง ไม่มีอะไรที่น่ากังวลเลย

บางคนเขาเห็นว่าอาตมารวย อาตมาก็นั่งหัวเราะ บางวันมีเงินเหลือติดกระเป๋าไม่ถึง ๔๐ บาท เขาเห็นแต่ตอนที่เราจ่ายเท่านั้น

ท่านเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ โทรมาหา

"อาจารย์เล็ก..ผมยืมเงินจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างสักสี่แสนก่อนสิ ผมติดร้านค้ามาเป็นปี ยังไม่มีจ่ายเลย"
"ท่านอาจารย์ยืมผิดที่แล้ว ผมมีเสียที่ไหน.."

"อาจารย์เล็กรวยจะตายไป.."
"ที่คุณเห็นว่าผมรวย เพราะผมจ่ายหมดทุกบาททุกสตางค์ แต่คนที่ไม่เคยจ่ายให้เห็นเลย คุณไปยืมเถอะ มีเงินทุกคนแหละ"

อาตมาได้มาเท่าไรก็ใช้หมด พอใช้หมดเขาจะเห็นว่าเรารวย เพราะมีใช้อยู่ตลอด วัดนั้นให้ช่วยสร้างอย่างนั้นก็สร้างให้ วัดนี้ให้สร้างอย่างนี้ก็สร้างให้ ไหนจะวัดของตัวเองอีก เขาจึงเห็นว่าเรารวย ความจริงแล้วได้มาเท่าไรก็ใช้หมด"

เถรี
13-02-2011, 23:32
ถาม : ยันต์เกราะเพชร มีคุณอะไรคะ ?
ตอบ : เอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์จ้ะ แต่ต้องสวดอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ทุกเช้าประมาณ ๓ จบ พอกำลังใจมั่นคง นึกขอบารมีพระท่านช่วยคุ้มครอง จะป้องกันได้ทั้งวัน ใครทำไสยศาสตร์ใส่เราจะย้อนคืนหมด กลายเป็นว่า ใครคิดร้ายต่อเรา เขาจะซวยเอง..!

วิชานี้สืบสายมาจากตำราพระร่วง มาดังสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และมากระหึ่มอีกทีสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจัดงานเป่ายันต์ทีคนไปเป็นแสน

ถ้าเราไม่เคยไปรับเป่ายันต์ เราก็พกผ้ายันต์ติดตัวไว้ แต่แปลก..ผ้ายันต์เกราะเพชรของอาตมา มีคนเขาเอาไปใช้ในทางค้าขายแล้วขายดี ก็เลยมีคนตามไปหาถึงวัด อาตมาก็สงสัยว่าตั้งใจสร้างในทางป้องกัน กลายเป็นค้าขายได้อย่างไร ? อ๋อ..ที่แท้ พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ถ้าเราศรัทธาจริง ๆ และมีบุญเก่าหนุนเสริม อธิษฐานอย่างไรก็ได้อย่างนั้น

เถรี
13-02-2011, 23:37
ถาม : เวลาจับภาพพระ ผมรู้สึกเหนื่อยอย่างไรก็ไม่รู้ ต้องแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : นานแค่ไหนที่คุณว่าเหนื่อย ?

ถาม : สักพักหนึ่ง
ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคุณทำถูกวิธีหรือเปล่า ? เอาเป็นว่าก่อนที่คุณจะจับภาพพระ ให้หายใจเข้าออกยาว ๆ สักสองสามครั้ง ระบายลมหยาบให้หมด ถ้าสมาธิทรงตัว ลมจะละเอียด ถ้าลมหยาบยังค้างอยู่ บางทีจะรู้สึกว่าเหนื่อยมาก แต่ถ้าทำอย่างนี้แล้วยังเป็นอีก เขาเรียกว่าขันธมารมาขวาง ถ้าเราเกิดอาการเหนื่อยแล้วท้อใจหรือกลัวตาย เลิกปฏิบัติไป เราก็เสียผลเอง ต้องตัดสินใจว่าตายเป็นตาย แล้วลุยเข้าไปเลย..!

เถรี
14-02-2011, 00:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "บัวบ้านเรามีแค่ ๓ ตระกูล ก็คือ ตระกูลบัวหลวง ตระกูลบัวสาย และตระกูลบัวผันหรือบัวเผื่อน

ตระกูลบัวหลวง สีขาวคือปุณฑริกา สีแดงคือปัทมา
ตระกูลบัวสาย สีขาวจะเป็นโกมุทหรือกมุท สีแดงจะเป็นสัตบุษย์หรือสัตบรรณ
ตระกูลบัวผันหรือบัวเผื่อน สีเหลือง คือ จงกลนี สีน้ำเงินคือนิโลตบลหรือนิลุบล

ถาม : แล้วสีบานเย็น ?
ตอบ : เป็นบัวต่างประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว สีบานเย็นน่าจะจัดอยู่ในพวกนิลุบล ที่โบราณเขาเรียกว่าบัวเขียว

สีม่วง สีเขียว หรือสีน้ำเงิน โบราณจะเรียกว่าสีเขียวทั้งหมด

เถรี
14-02-2011, 00:10
ถาม : การเดินจงกรม เราควรจะใช้ในลักษณะพิจารณาการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือเราควรจะใช้ในการจับภาพมโนมยิทธิแล้วเดินครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่ที่ความถนัดของเรา ทำอย่างไรก็ได้ ให้นิวรณ์กินใจของเราไม่ได้ ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว

ถ้าเราพิจารณาการเคลื่อนไหวของร่างกาย สติอยู่กับปัจจุบัน รัก โลภ โกรธ หลงก็เกิดไม่ได้ ถ้าจับภาพแบบมโนมยิทธิ ถ้าใจเกาะมั่นคง กิเลสก็กินไม่ได้เหมือนกัน เขาต้องการแค่ความสะอาดของจิต ท้ายสุดก็ให้มีปัญญาตัดกิเลส รู้อยู่เสมอว่าเราเดินอยู่บนกองทุกข์ กำลังก้าวไปหาความตายอยู่ทุกก้าว ถ้าเราตายแล้วเราจะไปไหน ?

ถาม : แต่พอยิ่งเดิน ยิ่งช้าไปเรื่อย ๆ ช่วงท้ายเหมือนกับผมจะระเบิด เกิดความรู้สึกว่า อยากพบคน อยากคุยกับคนไปหมด
ตอบ : นั่นกิเลสชวนแล้ว พอเราบังคับอยู่ในกรอบ กิเลสก็จะดิ้น เป็นเรื่องปกติ ถ้าเป็นสายพองหนอยุบหนอ เขาบอกว่าสภาวธรรมกำลังเกิด แต่ส่วนใหญ่จะเกิดเป็นโทสะแทน

ถาม : ใช่ครับ คิดว่าเมื่อไรจะจบสักที ส่วนที่เราต้องทำต่อก็คือเราควรจะพิจารณาใน..?
ตอบ : เปลี่ยนอิริยาบถก็ได้ เปลี่ยนไปนั่งบ้าง หางานหาการทำบ้าง จะกวาดบ้านถูบ้านก็ได้ แต่ต้องเอาสติอยู่กับปัจจุบัน

เถรี
14-02-2011, 01:34
ถาม : ธรรมะของผู้ครองเรือนเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ธรรมะของผู้ครองเรือน บาลีเรียก ฆราวาสธรรม ประกอบไปด้วย สัจจะ มีความจริงใจต่อกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่นอกใจกัน ทมะ คือ มีความข่มกลั้น เกิดการกระทบกระทั่งกันขนาดไหนก็ตาม ก็ต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้

ขันติ ทนต่อความยากลำบากในการครองชีวิต ในการทำมาหากิน ท้ายสุด จาคะ ต้องมีความเสียสละ สละความสุขส่วนตัวเพื่อคู่ครองของเรา

ถาม : ถ้าปฏิบัติมโนมยิทธิ เราจะครองเรือนได้ไหม ? มโนมยิทธิจะเสื่อมไหมครับ ?
ตอบ : เขาไม่ได้ห้าม อยู่ที่เรา ถ้าขยันซ้อมจะไปเสื่อมอะไร ยกเว้นว่าไม่สนใจเท่านั้นเอง

ถาม : หมายถึงเวลาที่เราครองเรือนครับ ?
ตอบ : ก็ครองไปสิ ไม่ได้ห้ามหรอก

ถาม : แบ่งเวลาเป็นช่วงได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้ อย่าลืมว่า แม้แต่พระโสดาบันท่านก็ยังมีคู่ มีลูกมีหลาน เราเองยังไม่ถึงระดับนั้น ถ้าทรงกำลังใจระดับโสดาบันได้เมื่อไร เราก็ใช้มโนมยิทธิไปนิพพานเป็นปกติอยู่แล้ว

ถาม : ถ้าเราภาวนาสัมปะจิตฉามิ และเราจับภาพพระไปด้วย เราจะมีอานิสงส์เหมือนกับจับภาพพระไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือนกัน ถ้าทำเป็นจริง ๆ จะได้มากกว่า คาถาสัมปะจิตฉามิถ้าทำขึ้นจริง ๆ เราสามารถใช้อภิญญาได้เหมือนกับฝึกกสิณ ๑๐ มา พูดง่าย ๆ ก็คือ แทนที่เราจะไปแต่ใจ เราก็ไปทั้งตัวเลย

เถรี
14-02-2011, 09:35
ถาม : เวลาเราทำงานต้องมีเรื่องที่พูดเลี่ยงออกไป แต่ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน จัดเป็นการละเมิดศีลข้อมุสาหรือไม่ ?
ตอบ : ศีลยังด่างยังพร้อยอยู่ แต่เราไม่ได้โกหกทั้งวัน ระยะเวลาที่เหลือเราก็รักษาศีลของเราให้ดี

ถาม : ถ้าคิดแล้วไม่ทำผิด..?
ตอบ : การคิดก็เป็นมโนกรรมแล้ว

ถาม : อยากได้ของคนอื่น เกิดกรรมแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มโนกรรม กรรมที่เกิดจากใจคิด ตายตอนนั้นก็ลงนรกเลย ขาดทุนมาก

ถาม : ศีลข้อสาม รวมคนในปกครองด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : ทุกประเภท ถ้าผู้ปกครองไม่ได้ยินยอม กระทั่งท้ายสุดแม้กระทั่งกฎหมายไม่ได้ยินยอม ถือว่าผิดทั้งนั้น

ถาม : แม้ตัวเขาจะยินยอมก็ผิดในธรรม ?
ตอบ : ผิด..เพราะเขาหมายเอาถึงคนที่ยังมีผู้ปกครองอยู่

เถรี
14-02-2011, 09:39
ถาม : ในแง่ของกามราคะที่เกิดขึ้น ด้านความคิดมีความกำหนัด ไม่ว่าจะเกิดจากการเห็น การมอง ก็เป็นมโนกรรมอยู่ตลอดเวลาสิครับ ?
ตอบ : เป็นอยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าเราสร้างกรรมอยู่ตลอดเวลา ถึงได้บอกว่า เราต้องชำระจิตของเราให้ผ่องใสให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นกามวิตก (การระลึกตรึกถึง) กามราคานุสัย (กามที่นอนเนื่องอยู่ภายในใจ) ตราบใดที่ยังไม่มีคนไปสะกิดให้รู้ตัว ก็ยังมีอยู่ แต่พอสะกิดเข้าจึงรู้ว่ายังมีอยู่เต็ม ๆ

ถาม : บางทีนั่งสมาธิแล้วคิดถึงเรื่องกาม
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เขาตั้งใจจะกวนเราอยู่แล้ว เขามาชวนว่าเรื่องนั้นสนุกกว่า

เถรี
14-02-2011, 09:41
ถาม : ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ถ้าเราปฏิบัติธรรมภาวนา จะช่วยคนอื่นได้ไหม ?
ตอบ : สำหรับเรา..ถ้าปฏิบัติจนกำลังใจมั่นคง ก็ถือว่าปลอดภัย แต่ถ้ากำลังของเราน้อยเกินไป ก็อาจจะช่วยคนอื่นไม่ได้ ถ้าตัวเราเอาตัวเองรอดได้ ก็เท่ากับไม่เป็นภาระให้กับคนอื่น ดังนั้น..เราปฏิบัติของเราให้เต็มที่ไว้ก่อน ส่วนที่เหลือจะเป็นภาระแก่พรหม เทวดาเท่าไร ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม

เถรี
14-02-2011, 10:54
ถาม : ตอนนี้ผมภาวนาสัมปะจิตฉามิวันละชั่วโมง ภาวนามาประมาณเดือนกว่า ๆ ตอนนั่งปวดท้องมาก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นเพราะอะไร เขาแค่ทดสอบกำลังใจว่าจะเอาจริงหรือเปล่า ? อย่าลืมว่าคาถาสัมปะจิตฉามิเป็นคาถาอภิญญา คนที่จะฝึกอภิญญากำลังใจต้องเข้มแข็ง มั่นคง สม่ำเสมอ และสำคัญที่สุดก็คือต้องไม่กลัวตาย

เราต้องคิดว่า สภาพร่างกายจะเป็นอย่างไรช่าง เราทำความดีอยู่ แม้ต้องสิ้นชีวิตลงไปเพื่อแลกกับความดีนี้เราก็ยอม

ถาม : บางทีปวดจนกระทั่งอารมณ์จิตไม่สบาย
ตอบ : ปล่อยให้ตายลงไปเลย ถ้าตัดใจขนาดนั้นได้ถึงจะได้ดี เขาเรียกว่าขันธมาร แค่มาแหย่เล่นเท่านั้น

วันก่อนไปเลี้ยงพระที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมธรรมโมลี ที่ปากช่อง อาตมาต้องแวะเข้าส้วมเกือบทุกปั๊มที่เจอ เพราะปวดท้องบิดไปบิดมาเหมือนจะถ่าย แต่พอเข้าไปห้องน้ำกลับไม่ยอมถ่าย พอวิ่งออกมาก็ปวดใหม่ แวะอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ วันนั้นก็เลยมีโอกาสสำรวจห้องน้ำไปตลอดทาง

พอไปถึงพระพุทธฉายก็เดินขึ้นไปไหว้พระพุทธฉาย ปรากฏว่ามาเช้าเกินไป ศาลายังไม่เปิด ก็เลยไปปิดทองพระข้างนอก มีพระนอน พระศรีอาริยเมตไตรย พ่อปู่ฤๅษี ปิดทองเสร็จอาการปวดท้องหายเอาดื้อ ๆ เหมือนกับไม่เคยเป็นอะไรเลย จึงมานั่งหัวเราะ ดีเหมือนกัน อุตส่าห์ไม่สนใจไปตลอดทาง เขาเห็นว่าขวางเราไม่ได้แน่ ก็เลิกไปเอง ปิดทองพระเสร็จ เดินลงเขามา หายปวดไปเฉย ๆ

เถรี
14-02-2011, 11:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๓๑ มีนาคมนี้ หลังจากเสร็จงานฉลองบ้านวิริยบารมีแล้ว ใครยังไม่กลับ จะถวายสังฆทานต่อก็เชิญนะจ๊ะ อาตมาจะนั่งรับต่อเลย เพราะวันนั้นเป็นวันเดียวที่จะแจกพระกับหนังสือ

พระที่จะแจก ก็คือ พระชัยวัฒน์เกราะเพชรเนื้อชุบทองพ่นทราย เข้าพิธีเมื่อเสาร์ห้าที่ผ่านมา หนังสือที่จะแจก คือปกิณกธรรม เล่ม ๑ ได้คัดเอาเนื้อหาของการอบรมพระที่เกาะพระฤๅษีบางส่วน การอบรมธรรมที่ปรียนันท์ธรรมสถาน การปฐมนิเทศมโนมยิทธิของพนักงานบริษัททริปเปิ้ลเอ การเทศน์ช่วงกรรมฐานของบ้านอนุสาวรีย์ และเทศน์สอนนาคอีกบทหนึ่ง

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ตั้งใจให้อ่านเนื้อหา ตั้งใจให้ดูรูป เพราะคัดเอารูปพระพุทธรูปใส่ไว้อย่างชนิดไม่เกรงใจตัวเอง ทำให้จำเป็นต้องพิมพ์สี ซึ่งหนังสือที่พิมพ์สีจะแพงกว่าปกติหลายเท่า"

เถรี
14-02-2011, 12:02
พระอาจารย์กล่าวถึงพระสายหลวงปู่มั่นให้ฟังว่า "หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล คนจะรู้จักท่านน้อย แต่หลวงปู่ทองรัตน์ท่านเป็นพระที่สุดยอดมาก ท่านเดินบิณฑบาตผ่านบ้านโยมหลังหนึ่งเป็นปี ๆ โยมไม่เคยทำบุญเลย หลวงปู่เดินแหวกรั้วเข้าไป บอกว่า "โยมใส่บาตรหน่อยสิ" โยมบอกว่า "โยมยังไม่ได้นึ่งข้าวเลย" หลวงปู่บอกว่า "ไม่เป็นไร รอได้..!"


http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=11002&stc=1&d=1297659775


พอโยมเจอพระตื๊ออย่างนี้เข้าก็ต้องไปนึ่งข้าว พอใส่บาตรเสร็จท่านก็ให้พร เดินยิ้มกลับวัด หลวงปู่ท่านทำอย่างนี้ก็เพื่อให้เขาได้บุญ เมื่อไปถึงวัดท่านหยิบข้าวก้อนนั้นส่งให้เณร เพราะถือว่าได้โดยไม่บริสุทธิ์ สำหรับพระแล้ว สัมมาอาชีวะคือการได้มาโดยศรัทธา แต่กรณีนี้เป็นการบังคับศรัทธาเขา

แล้วก็มีพระตั้งใจจะจับผิดท่าน เพราะเห็นจริยาพิลึกพิลั่นไม่เหมือนชาวบ้านของท่าน พระรูปนี้ไปอยู่ที่วัดหลวงปู่สามเดือน ระหว่างที่อยู่ในวัด ไม่เห็นหลวงปู่ผิดวินัยแม้แต่นิดเดียว เขาจับผิดไม่ได้ ก็พยายามที่จะใช้วาจากระทุ้งให้หลวงปู่ท่านโกรธ หลวงปู่ท่านบอกว่า "ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะผมไม่ได้นั่งทับอาวุธเหมือนคุณ" ทำเอาพระรูปนั้นสะดุ้ง เพราะใต้อาสนะท่านซุกมีดเอาไว้

ในสายตาของคนทั่ว ๆ ไป หลวงปู่เป็นพระที่รุ่มร่ามและขี้โมโห แต่ความจริงนั่นเป็นสิ่งที่ท่านแสดงออกให้คนอื่นเขาเห็น แต่พอเป็นเวลาที่อยู่ส่วนตัว ท่านระมัดระวังทุกสิกขาบท และเรื่องรู้ใจคนอื่น ท่านรู้เสียยิ่งกว่ารู้"

เถรี
14-02-2011, 12:07
ถาม : หลวงปู่ทองรัตน์ท่านอยู่วัดไหนครับ ?
ตอบ : ท่านเป็นพระธุดงค์ อยู่ไม่เป็นที่ ท่านธุดงค์ไปเรื่อย ๆ บางทีก็อยู่สงเคราะห์เขา ๒-๓ ปี แล้วก็ไปต่อ อาตมาก็ไม่ทันหลวงปู่ทองรัตน์หรอก หลวงปู่รูปอื่นท่านเล่าให้ฟัง สมัยก่อนอาตมามีโอกาสวิ่งรับใช้ท่านทั้งหลายเหล่านี้อยู่ เพราะโยมแม่ไปเป็นกรรมการวัดธรรมมงคล ช่วยหลวงพ่อวิริยังค์ท่านสร้างพระเจดีย์

จากผืนนาเปล่า ๆ พวกเราช่วยกันสร้างเป็นพระเจดีย์ที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ และพระเจดีย์หลังนั้น คุณช่วง มูลพินิจ เป็นคนออกแบบ ปกติเรารู้จักว่าเขาเป็นจิตรกร ไม่นึกว่าเขาจะเป็นสถาปนิกด้วย ออกแบบลายสวยมาก

ปีหนึ่ง ๆ ช่วงเดือนมกราคม จะมีการรวมลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่น ไปทำพิธีสวดลักขี ก็คือ สวดอิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ หนึ่งแสนจบ คำว่า "ลักขี" หรือ "ลักขัง" ก็คือ หนึ่งแสน จะมีการพุทธาภิเษกวัตถุมงคลต่าง ๆ

ทุกครั้งโยมแม่จะไปบวชชี ๑๐ วัน อาตมาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ แต่จริง ๆ ก็คือไปให้หลวงปู่ หลวงพ่อท่านเรียกใช้ เพราะเป็นเด็กวิ่งคล่อง ท่านก็เรียกใช้ จนกระทั่งเกิดความเคยชิน รู้ว่าจะต้องล้างบาตร เช็ดบาตร เอาบาตรไปตั้ง ไปปูอาสนะ ตั้งน้ำใช้น้ำฉันรอไว้ตามลำดับพรรษาของท่านเลย

เถรี
14-02-2011, 12:19
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=11008&stc=1&d=1297660935
หลวงปู่กินรี จนฺทิโย วัดป่ากันตสีลาวาส


"หลวงปู่กินรี จนฺทิโย ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ช่วงแรก ๆ หลวงพ่อชาไปอยู่กับหลวงปู่กินรี หลวงปู่กินรีก็สอนให้หลวงพ่อชาฉันอาหารช้า ๆ ฉันไปและพิจารณาไปด้วย ส่วนหลวงปู่กินรีเองท่านฟาดเต็มที่ พักเดียวก็เสร็จ

หลวงพ่อชาข้องใจมาก มีอยู่วันหนึ่งก็กราบเรียนถามท่านว่า "หลวงพ่อครับ หลวงพ่อสอนผมอย่างนี้ แล้วหลวงพ่อทำอีกอย่างหนึ่ง ก็ไม่เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านว่า สอนอย่างไรต้องทำอย่างนั้น" (หลวงพ่อชาเรียกหลวงปู่ว่า หลวงพ่อ)

หลวงปู่กินรีท่านบอกว่า "คนหัดขับรถใหม่ ๆ ต้องขับช้า ๆ จึงจะปลอดภัย แต่ถ้าขับรถเก่งแล้ว ขับเร็ว ๆ ก็ปลอดภัยเหมือนกัน" บางครั้งหลวงปู่ท่านก็นั่งเย็บจีวร ย้อมผ้า ถักขาบาตร เหลาก้านกลด หลวงพ่อชาก็สงสัย เพราะไม่เห็นหลวงปู่นั่งกรรมฐาน เอาแต่ทำนั่นทำนี่อยู่ทั้งวัน อดทนไม่ได้ก็ไปถามอีก

หลวงปู่กินรีบอกว่า "งานทุกอย่าง ถ้าใส่สติอยู่เฉพาะหน้าเป็นปัจจุบันธรรม เป็นยิ่งกว่ากรรมฐานอีก เพราะสติที่อยู่กับปัจจุบัน จะไม่ปรุงแต่งไปในรัก โลภ โกรธ หลง ต่อให้คุณเดินจงกรมให้ตาย แต่ถ้าไปคิดรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ ก็ไม่เกิดประโยชน์" หลวงปู่ท่านทำงานของท่านไปเรื่อย ท่านไม่ได้ถนัดนั่งนิ่ง ๆ ท่านถนัดทำงานไปพร้อมกับกำหนดปัจจุบันธรรมไปด้วย

เราจะเห็นว่า พระสายหลวงปู่มั่นมีลีลาหลากหลายกันมาก แล้วแต่ว่าเราได้มีโอกาสกราบองค์ไหน"

เถรี
14-02-2011, 12:26
ถาม : พระที่ทันหลวงปู่มั่น ที่เราน่าจะไปกราบ มีองค์ไหนบ้างครับ ?
ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ท่านยังอยู่หรือเปล่า ? หลวงปู่ทองบัว วัดป่าโรงธรรมสามัคคี อยู่สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ส่วนอีกรูปหนึ่งก็ หลวงปู่วิริยังค์ นี่ท่านทันหลวงปู่มั่นตอนเป็นสามเณร ส่วนหลวงตามหาบัวทันตอนเป็นพระ ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นได้ ๘ พรรษา หลวงปู่มั่นก็มรณภาพ

สายนั้นต้องยืนยันว่า ท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติกันจริง ๆ ปฏิบัติกันอย่างทุ่มเทชนิดเอาชีวิตเข้าแลก บางทีก็ผ่อนอาหาร ลดกันวันละคำ ๆ จนกระทั่งไม่ฉันเลย ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน มีบางท่านในชีวิตได้เห็นหลวงปู่มั่นแค่แวบเดียวเท่านั้น หลวงปู่มั่นท่านเดินทางไปรักษาตัวที่อุบลราชธานี ท่านนั่งรถไฟไป พอพระเณรได้ข่าวก็ไปยืนรับตามสถานีรถไฟ รถไฟวิ่งผ่านก็ยกมือไหว้

หลวงปู่มั่นก็โบกมือทางหน้าต่าง "เอ้อ..ไปปฏิบัติเอาเน้อ" ทั้งชีวิตได้คำสอนนี้ประโยคเดียว พอมาปัจจุบันท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นหลักชัยให้แก่ชนหมู่มากได้ด้วย ถ้าเป็นเราทั้งชีวิตได้ประโยคเดียว ก็คงลงแดงตายไปแล้ว แสดงว่าพวกเรายังไม่เอาจริง

เถรี
14-02-2011, 12:30
http://www.santidham.com/tatu1st/tatu/present/k-kamsan%20noi/4.jpg



"หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร บางทีเรียกกันว่า หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล (สันโค้ง) ก็เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่องค์นี้เป็นหนึ่งในหลวงปู่ไม่กี่องค์ ที่สมัยหลวงพ่อท่านล่าพระอาจารย์ พาลูกศิษย์ไปกราบ เขาลือว่าท่านเป็น เจ้าของ"รอยยิ้มพระอรหันต์" ท่านยิ้มทีคนเห็นร้องไห้โฮเลย เพราะปีติเกิด"

เถรี
14-02-2011, 12:38
ถาม : กรณีที่เราสงสัยในคุณธรรมที่ครูบาอาจารย์ท่านได้ ถือเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คุณมีสิทธิ์ที่จะสงสัย นี่เป็นตัววิจิกิจฉาในสังโยชน์ ในเมื่อเป็นตัววิจิกิจฉาในสังโยชน์ ก็แปลว่า กิเลสใหญ่ยังคาใจเราอยู่ ถ้าตราบใดที่ยังสงสัย เราก็จะไม่มอบกายถวายชีวิตจริง ๆ ในเมื่อไม่ทุ่มเทมอบกายถวายชีวิต โอกาสที่จะได้ดีก็มีน้อย

ในธรรมบท พระท่านไปฝากตัวกับอาจารย์เพื่อเรียนกรรมฐาน พระอาจารย์ถามว่า มีความตั้งใจแค่ไหน ? ท่านบอกว่า ถ้าอาจารย์สั่งท่านให้เอาตัวเองฝนกับหินตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะ ให้สึกหมดทีละน้อย ๆ จนกระทั่งสิ้นชีวิตไป ท่านก็ยอมทำ ต้องได้ขนาดนั้น

หรือไม่ก็คณะของพระพาหิยะเถระ ที่ท่านทำบันไดปีนขึ้นไปบนยอดเขา แล้วถีบบันไดทิ้ง ตั้งใจว่าถ้าไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เหาะได้ ก็ให้ตายอยู่ข้างบนไปเลย แต่นั่นท่านมั่นใจนะว่าท่านเป็นอรหันต์แล้วท่านจะเหาะได้ เกิดมีใครเป็นสุกขวิปัสสโกก็เป็นเรื่องเลย (หัวเราะ)

นึกถึงฮุ่ยเข่อโจวซือ ท่านเป็นสังฆปรินายกองค์ที่สองของจีน ถัดจากท่านตั๊กม้อ ท่านไปตามตื๊อขอให้ท่านตั๊กม้อสอนวิชาให้ ท่านตั๊กม้อถามว่า มีความตั้งใจจริงแค่ไหน ? ท่านก็เลยชักมีดฟันแขนตัวเองข้างหนึ่งถวายให้เลย ลีลานี้ไม่ต้องห่วง พุทธภูมิเก่าแน่ ๆ สามารถตัดแขนถวายเพื่อบูชาธรรมได้

พวกเราเองลองมาคิดดูว่า ถ้าเป็นเรา เราตัดใจทำเช่นนั้นได้หรือไม่ ? เรามีความจริงจังสักเท่าไร ? เปรียบเทียบโบราณาจารย์กับปัจจุบันของเรา สายหลวงปู่มั่นท่านเดินจงกรมจนกระทั่งทางเดินจงกรมสึกลึกถึงเข่า เราเองเดินสึกไปสักกี่หุน ? การที่ท่านได้ธรรม บรรลุธรรม จนกลายเป็นหลักชัยของคนหมู่มากได้ เพราะท่านทุ่มเทอย่างจริงจัง ทุ่มเทแบบเอาชีวิตเข้าแลก

ถาม : ต้องขอขมาพระรัตนตรัยเฉพาะข้อนี้โดยเฉพาะไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้ารู้สึกว่าเป็นโทษก็ขอขมา แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาเร่งรัดปฏิบัติ ไม่ใช่ขอขมาเสร็จก็ปล่อยเอ้อระเหยลอยชายต่อไป

เวลาฟังครูบาอาจารย์ ฟังให้เหมือนกับว่า ท่านสั่งให้เราทำ อย่าไปฟังว่าท่านกำลังสอนเรา ถ้าฟังว่าท่านกำลังสอนเรา บางทีเราก็ไม่คิดที่จะทำ แต่ถ้าเราฟังว่าท่านสั่งให้เราทำ เราจะต้องลงมือทำทันที เพราะฉะนั้น..การฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ ให้ฟังในลักษณะที่ท่านสั่งให้เราทำ แล้วก็เร่งลงมือตั้งหน้าตั้งตาทำ ถ้ามัวแต่ไปฟังว่าท่านสอนเรา สอนดีเหลือเกิน มัวแต่ไปชื่นชมกับคำสอนท่าน ไม่ได้ปฏิบัติอีกต่างหาก คงได้เกิดใหม่กันอีกหลายรอบ..!

เถรี
16-02-2011, 09:25
ถาม : จับลมหายใจอย่างเดียว กับบริกรรมพุทโธไปด้วย อย่างไหนจะได้ผลเร็วกว่า ?
ตอบ : อยู่ที่ความถนัด การจับอานาปานสติอย่างเดียว ถ้าจิตใจมั่นคงจริง ๆ ก็สามารถที่จะได้ฌานได้สมาบัติ การจับอานาปานสติพร้อมพุทโธเป็นการเพิ่มงานขึ้นมา เพื่อให้จิตมีความระมัดระวังมากขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วอาจจะเผลอ พลาดจากลมหายใจหรือคำภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งไป

ดังนั้น..ขึ้นอยู่กับความถนัดของตัวเราเอง ถ้าจิตใจไม่ยุ่งยากมากความ ถึงเวลาแค่ตามดูลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวก็ทรงสมาธิได้ ก็ใช้อานาปานสติอย่างเดียว แต่ถ้ารู้สึกว่างานน้อยเกินไป จิตใจฟุ้งซ่านมาก ก็เพิ่มงานให้จิต

ถาม : ข้อวิจิกิจฉาในสังโยชน์ จะมีกับพระอริยเจ้าทุกขั้นไหมครับ ?
ตอบ : วิจิกิจฉาจะมีแต่ปุถุชนเท่านั้น ตั้งแต่โคตรภูญาณของพระโสดาบันจะไม่มีความสงสัยเหลืออยู่ เพราะจิตสามารถสัมผัสพระนิพพานได้ ในเมื่อจิตสัมผัสพระนิพพานได้ จะเกิดความมั่นใจอย่างแน่นแฟ้นว่าการปฏิบัตินี้มีผลแน่


เพราะฉะนั้น..ตัวสังโยชน์วิจิกิจฉา จะมีได้เฉพาะบุคคลที่ยังเข้าไม่ถึงโคตรภูญาณของพระโสดาบัน ก้าวเท้าเข้าไปก้าวเดียวก็พอแล้ว มั่นใจว่าก้าวไปถึง และถ้าถึงตรงนั้นก็ทำกันชนิดตายไปข้างหนึ่ง เพราะรู้แล้วว่าสิ่งที่เราทำนี้ดีอย่างไร ? มีค่ามหาศาลแค่ไหน ? ต่อให้แลกทั้งชีวิตก็คุ้มแสนที่จะคุ้ม

ตอนที่อาตมาปฏิบัติอยู่มีความรู้สึกว่า ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานไปสัก ๑๒๐ ปี แล้วเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ชีวิตนี้ก็ถือว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว..!

เถรี
16-02-2011, 09:28
ถาม : ในกรณีที่สงสัยคุณธรรมของครูบาอาจารย์ กับวิจิกิจฉา คืออย่างเดียวกันไหมครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่าเป็นวิจิกิจฉาได้เหมือนกัน เพราะครูบาอาจารย์ท่านเป็นพระสงฆ์ ก็คือส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย

คุณจะไปสงสัยทำเกลืออะไร..! ท่านสอนอะไรมาเราก็ลงมือทำ ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นแล้วค่อยว่ากัน ไม่ใช่ท่านสอนมาแล้วเราก็ไปนั่งสงสัยว่าท่านดีจริงหรือเปล่า ? มีข้าววางไว้ตรงหน้า แทนที่จะรีบกินกลับไปนั่งสงสัย คนทำอาหารเขามีฝีมือหรือเปล่า ? แบบนี้มีหวังอดจนไส้กิ่ว..!

ถาม : ในกรณีที่สงสัยครูบาอาจารย์ที่ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ของเราโดยตรงเล่าครับ ?
ตอบ : เรียกว่าหาเรื่อง..! ไม่ใช่หน้าที่อะไรที่เราจะไปสงสัยท่าน คำสอนท่านเราก็ไม่ได้รับมาอีกต่างหาก กลายเป็นว่าหาเรื่องลำบากให้แก่ตัวเอง แทนที่งานจะน้อยลงก็มากขึ้น การยึดการเกาะก็มากขึ้น กิเลสก็มากขึ้น


ท่านจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน หรือไม่ก็เอาอย่างหลวงปู่มหาอำพัน หลวงปู่ยกมือไหว้แล้วกล่าวว่า "แล้วแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เถิด"

เถรี
16-02-2011, 09:35
ถาม : ในกรณีที่เจริญพรหมวิหาร ๔ จะวัดดูว่าทรงตัวหรือไม่ทรงตัว นอกจากดูจากนิวรณ์แล้ว ดูจากจุดไหนอีกได้บ้างครับ ?
ตอบ : เวลาเจอกับของจริง เราสามารถที่จะเมตตาสงเคราะห์เขาได้หรือไม่ ?

ถาม : ช่วยขยายความให้ฟังหน่อยครับ
ตอบ : อย่างเราเห็นคน คนหนึ่งรวย คนหนึ่งจน คนหนึ่งสวยงาม คนหนึ่งอัปลักษณ์ คนหนึ่งพูดดี คนหนึ่งพูดไม่ดี เราสามารถที่จะสงเคราะห์ทั้งสองคนเหมือนกันได้หรือเปล่า ? ยังมีการเลือกที่รักมักที่ชังหรือเปล่า ? ยังเกิดโทสะสำหรับบางคนหรือเปล่า ? ขณะเดียวกันก็เมตตาได้เป็นบางคนหรือเปล่า ?

ถาม : อย่างอุเบกขาบารมี เมตตาบารมีจำเป็นต้องเต็มก่อนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ทุกอย่างต้องมีอุเบกขาต่อท้าย ไม่อย่างนั้นคุณจะเดือดร้อนเอง เมตตาเกินประมาณ ถ้าเจอคนไม่รู้จักพอเราก็หน้ามืด..!

ถาม : พรหมวิหาร ๔ จะนำมาควบคุมในศีลอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเรารักและเราเมตตาเขา เราจะฆ่าเขาได้ไหมเล่า ? ถ้ารักและเมตตาเขา เราจะขโมยของเขาไหม ? ทุกข้อก็เหมือนกันนั่นแหละ

ถาม : ศีลแปด เรื่องอะพรัหมจะริยาละครับ ?
ตอบ : เห็นเขาเหมือนกับญาติพี่น้องของเราเอง เหมือนกับบุคคลที่เรารัก ก็ไม่ไปล่วงละเมิดเขา

ถาม : ถ้าเรารักเขา เอ็นดูเขา แตะเนื้อต้องตัวกอดเขา ถือว่าเป็นการละเมิดไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นข้ออะพรัหมจะริยา ถือว่าละเมิด แต่ถ้าเป็นข้อกาเมฯ ถือว่ายังไม่ละเมิด

เถรี
16-02-2011, 09:41
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนอาตมาเป็นฆราวาส ช่วงที่เข้าวัด บรรดาน้อง ๆ ผู้หญิงเขาตามกันไปเยอะ ตรงจุดนี้อยากจะบอกว่า ผู้ชายที่เข้าวัดไม่ใช่ว่าจะดี ที่อาตมาเข้าวัดเพราะรู้ว่าไม่ดี จึงพยายามเข้าไปแก้ไขตัวเอง แต่เขากลับเห็นว่าเราดี จึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะอันตราย..!

ดังนั้น..พวกเราที่ปฏิบัติธรรมกันในปัจจุบันนี้ จะมีอยู่ส่วนหนึ่งที่เพศตรงข้ามเห็นว่าเราดี แล้วก็หมายมั่นปั้นมือว่า เราคือบุคคลในฝันร้ายของเขา..! ถ้าถึงตอนนี้ก็ตัวใครตัวมัน รักษาตัวกันเองนะ

เพราะเรื่องของครอบครัว มีแต่นำภาระมาให้ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลง นอกจากความทุกข์ส่วนตัวแล้ว ยังมีความทุกข์ของคู่ครอง ความทุกข์ของลูกหลานอีก กลายเป็นเพิ่มความทุกข์ใส่ตนโดยใช่เหตุ ยังโชคดีว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมแล้วคิดจะหลุดพ้น ไม่อย่างนั้นคาดว่ามนุษยชาติ คงจะสูญพันธุ์ในระยะเวลาอันไม่นาน..!"

เถรี
16-02-2011, 09:47
ถาม : ก่อนบวช ท่านเห็นทุกข์เห็นโทษของการมีครอบครัวหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นเลย..! อยากมีครอบครัว เป็นลักษณะปกติของคนหนุ่มสาว พอถึงวาระแรงผลักดันทางเพศก็ดึงไปหาคู่โดยอัตโนมัติ ไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธ แต่มีสาเหตุใหญ่ว่า อาตมาเองดันไปรู้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องบวช ก็เลยไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับใคร เพราะสองสาเหตุด้วยกัน

สาเหตุแรก โดยนิสัยส่วนตัวแล้ว ถ้าต้องรับผิดชอบชีวิตของใคร ก็รับผิดชอบไปทั้งชีวิต จะไม่มีการทิ้งไปกลางคัน ซึ่งจะทำให้ตัวเองบวชไม่ได้ สาเหตุที่สอง ถ้าเขาไม่เห็นด้วยและไม่ยอมให้บวช ก็ไปกันไม่รอด จึงต้องตัดใจ ทำตัวเป็นแมวเฝ้าปลาย่าง นั่งน้ำลายยืด อยากกินจังเลย แต่ถ้ากินไปมีปัญหา ก็พยายามอดใจ ตรงนั้นถือว่าเป็นศีลจริง ๆ เพราะมีโอกาสแล้วไม่ล่วงละเมิด

ถ้ายังไม่มีโอกาสให้ล่วงละเมิดแล้วสามารถทรงศีลได้ นี่ยังไม่แน่ว่าจะเป็นศีล แต่ถ้ามีโอกาสล่วงละเมิดแล้วละเว้นได้ จึงจะนับได้ว่าเป็นศีลที่แท้จริง

เถรี
16-02-2011, 09:53
ถ้าเราเป็นผู้ชาย แล้วตนเองไม่คิดจะแต่งงานให้เป็นหลักเป็นฐาน ก็รีบ ๆ บอกให้ฝ่ายหญิงเขารู้ตัวโดยเร็ว ไม่ใช่ให้เขาตั้งความหวังอยู่กับเราจนแก่เกินแกงไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นจะกลายเป็นว่าเราไม่ยุติธรรมกับเขา ปล่อยเขารอไปเรื่อย ๆ พอถึงเวลา เราก็บอกว่าไม่แต่ง ทีนี้เขาก็แก่เกินแกงแล้ว หมาไม่แลแล้ว..! กลายเป็นว่าเขาเสียโอกาสไปเพราะเรา

ดังนั้น..ถ้าหากว่าคิดว่าไม่แต่ง ก็ต้องบอกให้เขารู้ชัดตั้งแต่แรก อย่างอาตมาบอกทุกคนไว้ชัดเลยว่า จะให้อยู่ในฐานะ ในตำแหน่งอะไรก็ได้ จะให้เป็นพ่อ เป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นน้อง เป็นลูก เป็นหลาน เป็นได้ทั้งนั้น ยกเว้นให้เป็นผัว ไม่เป็น..! ในเมื่อบอกชัดอย่างนี้ เขาจะได้ไม่เสียเวลามาตั้งความหวังกับเรา

ถาม : แสดงว่าท่านตั้งใจที่จะบวช
ตอบ : ไม่ได้ตั้งใจ แต่รู้ว่าตนเองจะได้บวช เราอยากบวชซะที่ไหนเล่า ? ถ้าตอนนั้นแหกปากตะโกนกลางถนนได้ ก็จะตะโกนไปแล้วว่า "อยากมีเมีย..!" เสียดายยังกล้าไม่พอ ไม่ได้คิดอยากจะบวชเลย ขอยืนยัน

พระพุทธเจ้าท่านว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อะไร ก็ไม่เกินไปกว่าเพศตรงข้าม สุนทรภู่ก็ว่า อันรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร

ใจจริงไม่ได้คิดอยากจะบวช แต่พอหลวงพ่อท่านเอ่ยปากขึ้นมา และด้วยความที่เคยเกรงกันมาไม่รู้กี่ชาติกี่ภพแล้ว ก็ต้องรับปากท่านว่าจะบวช ขนาดนั้นอาตมาก็ยังอุตส่าห์กราบเรียนถามท่านว่าจะให้บวชกี่วัน ? เกรงว่าบวชนานเกินไปสาว ๆ จะหายหมด..!

ตอนนั้นแค่ถามว่าจะให้บวชเอากี่วัน ? หลวงพ่อก็หัวเราะบอกว่า "บวชแก้บน ใครเขาจะเอานานกัน แค่ ๗ วันก็พอ" อาตมาก็ตั้งใจว่า ๗ วันสึกแน่นอน แต่ปรากฏว่า ไปเจอทีเด็ดของหลวงปู่ขนมจีนเข้า เลยอยู่มาได้เรื่อย ๆ

เถรี
16-02-2011, 10:11
ตอนนั้นข้องใจจริง ๆ เรื่องของพระองค์ที่ ๑๐ กับพระองค์ที่ ๑๑ เป็นไปได้อย่างไร ? คนตายมา ๒ พันกว่าปี มานั่งเป็นรูปเป็นร่าง ให้จับให้ต้องได้อยู่ตรงหน้า แถมท่านยังท้าอีกว่า "ถ้าไม่แน่ใจก็คลำดูได้นะ" อยู่ ๆ มาสั่งมาสอนเราได้นี่ ก็เลยยิ่งงงเข้าไปใหญ่ว่าเป็นไปได้อย่างไร ? ก็เลยเพลินกับการบวช


โดยเฉพาะหลวงปู่ขนมจีน ลีลาท่านสุดยอดมาก ท่านเอาอารมณ์พระอรหันต์มาให้เลย กลายเป็นว่า เอาอาหารระดับสุดยอดฝีมือมาให้ชิมเสียแล้ว คราวนี้จะกินอะไรก็หมดรสชาติ มีอยู่ทางเดียว ก็คือ ต้องตะกายทำอาหารชนิดนี้ให้ได้ สรุปว่าตะเกียกตะกายมา ๒๐ กว่าปี จนป่านนี้ก็ยังชิมไม่ลง..!

นึกถึงความประพฤติสมัยนั้น ก็ยังแปลกใจตัวเองเหมือนกัน ถ้าหากว่าบารมีพร่อง คงไม่ได้บวชแน่ โดยเฉพาะตัวสัจจบารมี ตั้งใจไว้กับตัวเองว่าไม่ ก็ต้องไม่จริง ๆ มีโอกาสเป็นร้อยเป็นพันก็ต้องไม่

สมัยนั้นมีอาชีพไปเป็นลูกชายเขาหลายบ้าน เพราะส่วนใหญ่คนที่รู้จัก ก็มักจะมีแต่ลูกสาวไม่มีลูกชาย พอเวลาไปเจอกันที่บ้านสายลม หรือที่วัดท่าซุง ท่านเกิดชอบใจอัธยาศัยก็ชวนไปเที่ยวบ้าน บ้านนั้นก็ลูกสาว ๒ คน บ้านนี้ก็ลูกสาว ๓ คน ไม่มีลูกชายเลย อาตมาก็เลยมีอาชีพเป็นลูกชายเขา พอไปค้างบ้านเขา เขาก็จับนอนห้องเดียวกับลูกสาว กลายเป็นแมวเฝ้าปลาย่าง นอนน้ำลายยืด อยากจะกินก็กินไม่ได้

ถึงเวลามีงาน เขาชวนไป ก็ไปเป็นเพื่อนเขา หรือไม่ก็บอกว่าไม่ว่าง ช่วยพาน้องเขาไปหน่อย ถ้าหากว่าเอานิสัยของนายเสือมาใช้ สงสัยว่าคงจะมีเมียเกินร้อยไปแล้ว..!

เถรี
16-02-2011, 10:16
เมื่อครู่ที่ได้กล่าวว่า เอาตัวรอดมาได้ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของบารมีจริง ๆ ในเรื่องของสัจจบารมี ตั้งใจไว้แล้วว่าในเมื่อต้องบวช ก็อย่าไปยุ่งกับชีวิตของใครเลย อย่าไปเป็นตัวถ่วงเขาเลย ถึงได้ต้องชี้แจงกันให้ชัด ๆ ไปเลย ว่าเป็นได้ทุกตำแหน่ง ยกเว้นอยู่ตำแหน่งเดียวขอเว้นไว้

ดังนั้น..ในเรื่องของบารมี ๑๐ ถ้าบารมีใดบารมีหนึ่งเกิดขึ้น บารมีอีก ๙ อย่างที่เหลือก็จะมาครบ อย่างในเรื่องสัจจบารมี การที่จะมีสัจจบารมีได้ต้องมีปัญญาบารมี เราถึงจะรู้ว่าสัจจบารมีเป็นของดี ในเมื่อมีสัจจบารมีมั่นคง เราก็จะไม่ละเมิดในศีลบารมี บุคคลที่ไม่ละเมิดในศีลบารมี อย่างน้อย ๆ จิตก็ต้องประกอบไปด้วยเมตตาบารมี และโดยเฉพาะเราตั้งใจที่จะงดเว้นเรื่องคู่ ก็เป็นเนกขัมมะบารมีอยู่แล้ว

ลองไล่ไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นว่า เมื่อบารมีตัวใดตัวหนึ่งเกิดขึ้นมา อีก ๙ ตัวก็ตามมาด้วยทั้งหมด ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าเป็นการปฏิบัติในด้านของบารมี คิดอยู่อย่างเดียวว่าเราต้องบวช ในเมื่อรู้ว่าจะต้องบวช ถ้าหากว่ามีคู่ ก็อาจจะบวชไม่ได้อย่างที่ต้องการ ต้องไปรับผิดชอบชีวิตเขา สถานการณ์ก็เหมือนกับถึงวาระ เหตุการณ์ช่วยต้อนให้เข้าวัดเอง

ปกติหลวงพ่อท่านก็ไม่ได้ชวนใครบวช อยู่ ๆ ท่านบอกว่า ท่านต้องการพระบวชแก้บน ๓ องค์ บวชให้ท่านได้ไหม ? ครูบาอาจารย์ที่เรามอบกายถวายชีวิตให้ อยู่ ๆ ถามอย่างนั้น แล้วจะให้ปฏิเสธได้อย่างไร ?

เถรี
16-02-2011, 10:42
ถาม : ถ้าพ่อแม่ไม่ให้บวชตอนนั้น ท่านจะได้บวชหรือเปล่า ?
ตอบ : ได้บวชแน่นอน เพราะแม่อยากให้บวชตั้งแต่เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีแล้ว ท่านเร่งมาทุกปี ต้องถือว่าท่านอนุญาตตั้งแต่แรกแล้ว อนุญฺญาโตสิ มาตาปิตูหิ บิดามารดาของเธออนุญาตแล้วหรือ ? ตอบได้เต็ม ๆ เลยว่า อามะ ภันเต อนุญาตแล้วครับ

ถาม : ถ้าหากว่าเคยอนุญาตในการบวชครั้งก่อน แต่ปัจจุบันอาจจะไม่อยากให้บวช?
ตอบ : ถ้าหากท่านยังไม่ได้ถอนคำพูด ถือว่ายังมีผลอยู่ แต่ตอนอาตมาบวชก็ไม่ได้บอกใครนะ ไปรับหลวงพ่อที่สนามบินดอนเมือง พอเจอหน้าก็กราบท่าน กราบเรียนว่า "ที่หลวงพ่อจะให้บวช ผมตกลงครับว่าจะบวช แล้วหลวงพ่อจะให้ไปวัดวันไหนครับ ?" ท่านถามว่า "พร้อมหรือเปล่าล่ะ? ถ้าพร้อมก็ไปวันนี้เลย" ตอบท่านไปทันทีว่า "พร้อมครับ" แล้วก็กระโดดขึ้นรถไปกับท่านเลย

ปกติเวลาอาตมาไปวัดจะไม่เกิน ๔ วัน ถ้าวัดมีงานก็จะไปก่อนวันงาน ๒ วันไปช่วยเตรียมงาน หลังจากนั้นช่วยเก็บงาน เต็มที่แค่ ๔ วัน ก็ต้องกลับ ปรากฏว่าพอถึงวันที่ ๖ โยมแม่หอบเครื่องบวชไปพร้อมทุกอย่างเลย ไม่ว่า บาตร จีวร หมอน มุ้ง กระโถน ฯลฯ ต้องบอกว่า รู้ใจลูกไม่มีเกินแม่

พอแม่ไปถึงก็ถามคำเดียวว่า "จะบวชจริงหรือ ?" บอกว่า "จริงครับ" ท่านก็หอบเอาบริขารไปถวายหลวงพ่อที่ศาลานวราชบพิตร บอกว่า "ดิฉันขอบวชลูกชายด้วย" หลวงพ่อบอกว่า "ให้โยมตั้งใจใหม่ ตั้งใจว่างานนี้เขาบวชกี่องค์ ดิฉันขอเป็นเจ้าภาพทั้งหมด อย่าเอาแค่ลูกชายคนเดียว" แม่เลยต้องตั้งใจใหม่ ตกลงว่าบวชพระทั้งหมด ได้อานิสงส์บวชพระไปเกือบ ๓ โหล..!

พออาตมาบวชไปแล้ว บรรดาท่านสุภาพสตรีที่ยังมีความหวังอยู่ เขาก็ตามว่าเมื่อไรจะสึกเสียที กำลังใจตอนนั้นยังตัดรอนไม่ขาด บอกเขาไปว่า "ขออยู่สักพรรษาก่อน" พอออกพรรษา เขาก็ถามอีกแล้ว "เมื่อไหร่จะสึก ?" ก็บอกว่า "ขอรับกฐินก่อน" ผลัดไปเรื่อย ผลัดไปผลัดมารู้สึกว่าไม่ไหว ประเภทกินยารักษาโรคแบบนี้ไม่หายแน่ ต้องผ่าตัด ว่าแล้วก็หั่นฉับ..!

สาเหตุที่ต้องเด็ดขาด เพราะกลัวตัวเองจะใจอ่อน เขาตามตื๊อบ่อย ๆ เดี๋ยวจะเผลอไปรับปากเขาเข้า ตอนนั้นมีเพื่อนดีด้วย แต่ละท่านช่วยกันลุ้นสุดชีวิต พอผู้หญิงมา เพื่อนก็จะรีบบอก "เฮ้ย ๆ รถมาแล้ว หลบ ๆ" ท่านช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้

เถรี
17-02-2011, 11:05
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องอุโบสถศีลว่า

"ศีลอุโบสถมีอยู่ ๓ อย่างด้วยกัน

๑) ปกติอุโบสถ คือ รักษาศีล ๘ หนึ่งวันกับหนึ่งคืน ภาษาบาลีใช้ว่า อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง
๒) ปฏิชาครอุโบสถ รักษาศีล ๘ ก่อนวันพระ ๓ วัน + วันพระ ๑ วัน + หลังวันพระอีก ๓ วัน รวมเป็น ๗ วัน ๗ คืน
๓) ปาฏิหาริยอุโบสถ เป็นการรักษาศีล ๘ โดยไม่จำกัดเวลา

สำหรับพวกเราจำนวนหนึ่งสามารถทำอย่างนี้ได้แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ถามว่าทำไมต้องให้ศีลอุโบสถ แล้วจึงมาให้ศีล ๘ พวกเรา รับทั้งสองอย่างพร้อมกันไม่ได้หรือ? รับพร้อมกันไม่ได้ เพราะท่านที่ตั้งใจถือศีลอุโบสถ เขาตั้งใจถือแค่วันหนึ่งกับอีกคืนหนึ่งเท่านั้น

ส่วนพวกเราที่บวชเนกขัมมะถวายในหลวง ๓ วัน ทำให้ต้องแยกออกเป็นสองส่วนด้วยกัน กลายเป็นว่ารับศีล ๘ เหมือนกัน แต่การยึดถือไม่เหมือนกัน"

ถาม : อานิสงส์มีความต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ทำมากก็ได้มาก

เถรี
17-02-2011, 11:14
สมัยเป็นฆราวาส ก่อนที่จะถือศีล ๘ อย่างจริงจัง อาตมาจะรักษาศีล ๘ ถวายในหลวงช่วงวันที่ ๕ ธันวาคม เป็นระยะเวลา ๓ วัน เพิ่งจะมาถือศีล ๘ อย่างเป็นหลักเป็นฐานก่อนบวชแค่ประมาณ ๒ ปีเท่านั้น เป็นการลดความอ้วนได้เด็ดขาด แค่ ๑ เดือนเท่านั้น น้ำหนักอาตมาหายไป ๙ กิโลครึ่ง ไม่น่าเชื่อจากน้ำหนัก ๖๓.๕ กิโลกรัม เหลือแค่ ๕๔ กิโลกรัม หลังจากบวชแล้วผ่านไป ๒๐ ปี ได้น้ำหนักคืนมา ๒ กิโลกรัม..!

ในเรื่องฉันอาหารในยามวิกาล สำหรับพระแล้ว ถ้าหลังปฐมยาม (หลัง ๓ ทุ่มไปแล้ว) นอกจากน้ำเปล่ากับไม้สีฟันแล้ว สิ่งอื่นห้ามล่วงทวารปากเข้าไป บาลีใช้คำว่า "มุขะ ทวารัง" ก็คือ ห้ามผ่านปากเข้าไป ถ้าเข้าไปปรับอาบัติว่าฉันอาหารในยามวิกาล ถือว่าศีลขาด

ต้องรอจนกว่าจะได้อรุณ รอแสงเงินแสงทอง แต่จริง ๆ แล้วควรเป็น "แสงทองแสงเงิน" เพราะฟ้าจะเหลืองขึ้นมาก่อน (สีทอง) หลังจากที่ฟ้าเปลี่ยนจากแดงเป็นขาว นั่นแหละคือแสงเงิน เพราะฉะนั้น..แสงทองจะมาก่อนแสงเงิน

ถ้าแสงเงินมา แปลว่าสว่างแล้ว ที่โบราณบอกว่า แบมือออกเห็นลายมือตนเองแล้ว หรือไม่ก็ มองยอดไม้แล้วสามารถที่จะแยกแยะใบอ่อนใบแก่ได้ ถ้าอย่างนั้นจึงถือว่าได้อรุณ เริ่มเป็นวันใหม่ จึงเริ่มฉันอาหารได้

เถรี
17-02-2011, 11:30
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค มีเทวดามากล่าวบทคาถาต่าง ๆ เหมือนกับเป็นโคลงเป็นกลอน ถ้าบทไหนถูกต้อง พระพุทธเจ้าก็จะประทานสาธุการให้ ถ้าบทไหนที่ยังไม่ตรงกับความจริง พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสแก้ไข

มีเทวดาท่านหนึ่ง กล่าวกับพระพุทธเจ้าว่า "ผู้มีบุตรย่อมปลื้มใจเพราะบุตร ผู้มีโคย่อมปลื้มใจเพราะโค" พระพุทธเจ้าไม่ได้ค้านแม้แต่คำเดียว แต่พระองค์ท่านเปลี่ยนใหม่ว่า "ผู้มีบุตรย่อมได้รับความทุกข์เพราะบุตร ผู้มีโคย่อมได้รับความทุกข์เพราะโค"

ถาม : ทำไมถึงบอกว่าการมีบุตรเป็นทุกข์ ในขณะที่พ่อแม่เขาเห็นลูก เขาก็มีความชื่นใจ เขาจะทุกข์ได้อย่างไร ?
ตอบ : ชื่นใจมากเลย แต่ไม่เหนื่อยเพราะเลี้ยงลูกใช่ไหม ? ต้องอดตาหลับขับตานอนเลี้ยงดู เจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องคอยเฝ้ารักษา

มีฝรั่งคนหนึ่งเขาบอกว่า ใครก็ตามที่คิดจะแต่งงานให้เตรียมตัวดังนี้ ข้อแรก ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน ตื่นขึ้นมาแล้วเอาหมอนไปชุบน้ำให้เปียก ๆ อุ้มหมอนใบนั้นเดินไปเดินมาสัก ๒ ชั่วโมง ถ้าทำอย่างนี้ทุกคืน ๆ ต่อเนื่องได้เป็นเดือน ก็แปลว่าพอที่จะแต่งงานได้

ข้อที่สอง เอาแตงโมลูกหนึ่งแขวนไว้บนเพดาน เอาช้อนคว้านแตงโมนั้นให้เป็นรูเท่ากับช้อนพอดี จับแตงโมใบนั้นแกว่ง แล้วพยายามตักข้าวยัดเข้าไปในรูแตงโมให้ได้ ถ้าทำได้สำเร็จ คุณก็สามารถที่จะแต่งงานได้

ข้อที่สาม ให้เดินเข้าไปในคลีนิก ควักเงินสดและบัตรเครดิตทั้งหมดยื่นให้หมอ แล้วบอกว่า "เอาไปทั้งหมดเลย รักษาลูกผมให้หายก็แล้วกัน" ถ้าสามารถพูดแบบนี้ได้ ก็สามารถที่จะแต่งงานได้

ข้อที่สี่ ให้เข้าไปในรถ เอาไอศกรีมยัดเข้าไปในช่องซีดี เอาถั่วสาดไปทั่วรถ เอาน้ำหวานเทราดลงไปบนเบาะหลัง ถ้าหากทำอย่างนี้ได้ก็สามารถที่จะแต่งงานได้ ฯลฯ

เขาบอกมาแต่ละข้อ ฟังแล้วเห็นภาพพจน์เลย แค่อุ้มหมอนเปียก ๆ เดินคืนละ ๒ ชั่วโมง ก็แย่แล้ว เวลาที่เด็กฉี่รดแล้วแหกปากร้อง พ่อแม่จะทำอย่างไรให้เด็กเงียบ ก็ต้องอุ้มเดินไปเดินมาให้เงียบ ถึงจะได้นอน

อาตมาไม่ได้มีเจตนาจะขู่ใครนะ ฝรั่งเขาว่าไว้อย่างนี้ อาตมาจึงเอามาเล่าต่อ แถมยังเล่าไม่ครบทุกข้อด้วย..!

เถรี
17-02-2011, 11:35
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : กว่าที่เราจะมาถึงตรงจุดนี้ เราสร้างบุญสร้างกรรมมานับไม่ถ้วน ในเมื่อเราสร้างบุญสร้างกรรมมานับไม่ถ้วน ถึงเวลาแล้วของเก่าจะย้อนคืนมาเอง ตั้งหน้าตั้งตาทำสายตรง ๆ นี่แหละ จะได้ไม่เสียเวลา

ถาม : หนูอธิษฐานจิตมาเกิดเป็นผู้หญิง ปฏิบัติยากจริง
ตอบ : เป็นผู้หญิงดีตรงที่เห็นทุกข์ง่ายกว่าผู้ชาย สังเกตไหม..? พวกที่บรรลุธรรมง่ายมักจะเป็นผู้หญิง

เนื่องจากผู้ชายมีความเข้มแข็งของจิตมาก ถ้าพูดในภาษาชาวบ้านก็คือดื้อ ในเมื่อดื้อ เชื่ออะไรยาก กว่าจะยอมทำตามก็เสียเวลานาน แต่ผู้หญิงโดยพื้นฐานวิสัยแล้วจะไม่ดื้อ ความเข้มแข็งของจิตมีน้อยกว่า ความอ่อนโยนของจิตมีมากกว่า ถึงเวลาเปิดรับอะไรได้ง่าย การเข้าถึงธรรมจะง่ายกว่า

ถาม : หนูก็คงรู้ใช่ไหมว่าจะมาเจออะไร ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจตรงนั้นหรอกจ้ะ เรามีหน้าที่ทำ ก็ทำของเราไป จะเป็นของเก่าของใหม่อย่างไรก็ช่าง ถือว่าเราไม่รับรู้ ทำตอนนี้เอาให้ดีที่สุดก็แล้วกัน

ถาม : ตอนนี้จะดีขึ้นไหม ?
ตอบ : จะดีขึ้นหรือไม่ก็อยู่ที่เรา สำคัญว่าเราใจแข็งจริงหรือเปล่า ?

เถรี
17-02-2011, 11:40
ถาม : วันมาฆบูชาควรไปทำบุญที่ไหน ?
ตอบ : บ้านอยู่แถวไหนจ๊ะ ?

ถาม : อยู่กรุงเทพฯ
ตอบ : ไปไหว้พระที่วัดพระแก้ว วัดบวรนิเวศ ฯลฯ

ถาม : ไปแล้วค่ะ
ตอบ : อาตมาเองมีโอกาสเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้นแหละ ไม่ใช่เคยไปมาแล้วจะไม่ไปอีก ที่ขำที่สุดคือไปวัดพระแก้วแล้วแท็กซี่เขาบอกว่า "อาจารย์มาบ่อยนะครับ" อาตมาบอกว่า "อย่างน้อย ๆ เดือนหนึ่งต้องมาครั้งหนึ่ง" แท็กซี่บอกว่า "ผมขับรถผ่านทุกวัน ผมยังไม่เคยเข้าไปเลย"

อาตมาก็เลยชี้ให้เขาดู "เห็นไหม..พวกนักท่องเที่ยวเขาข้ามน้ำข้ามทะเลมากี่หมื่นกี่แสนกิโลกว่าจะมาถึงได้ เราขับรถผ่านมาทุกวัน ถ้าเราไม่เข้าไปเราเสียชาติเกิดไหม ?" เพราะฉะนั้น..มีโอกาสก็ไปเถอะ ไม่ใช่ว่าไปมาแล้วไม่ต้องไปอีก

ถาม : เพิ่งไปมาเมื่อปีใหม่
ตอบ : อาตมาเพิ่งไปมาเมื่อวานซืน ถ้าวันนี้ไปได้ก็จะไปอีก เพราะว่าสถานที่ลักษณะนั้นจะเป็นสถานที่ที่เย็นมาก เราเข้าไปแล้วจิตจะสงบเร็ว ไม่ว่าจะไปสวดมนต์หรือไปนั่งสมาธิจะสงบเร็ว เป็นที่ที่ควรไปอย่างยิ่งเลย จะช่วยเบาแรงเราได้มาก เราไม่ต้องเสียเวลาไปตั้งหลักปฏิบัตินาน ถ้าอยู่ที่บ้านเราอาจจะใช้เวลาครึ่งค่อนชั่วโมงกว่าใจจะสงบ แต่ถ้าอยู่ที่นั่น แค่เดินเข้าไปก็เย็นแล้ว

เถรี
17-02-2011, 11:47
ถาม : ตอนนี้เวลาเข้าสมาธิเหมือนเข้าไปในที่ที่หนึ่ง อยู่ดี ๆ ก็เหมือนกับคลายเปลือกออกมา พอดีเวลาเลย
ตอบ : ลักษณะนั้นสมาธิเริ่มทรงตัว พอถึงเวลาจะเข้าสู่สภาวะของตนเอง และถ้าหากเราคลายออกมาสู่อารมณ์ปกติ พวกรัก โลภ โกรธ หลงต่าง ๆ จะเริ่มเข้ามาได้ เพราะฉะนั้น..ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เรารักษาสภาวะแบบนั้นให้อยู่กับเราให้ได้

ถาม : ท่านที่เป็นพระอริยะแล้ว จะมีทางที่เขาจะไปสอนให้คนหลงทางได้ไหม ?
ตอบ : จะไม่ผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าท่านสอน แต่ในเรื่องของความเป็นพระอริยะ ขอให้ทราบไว้เลยว่า ใครที่บอกว่าตนเองหรือผู้อื่นเป็นพระอริยะอย่าเพิ่งเชื่อ..!

บุคคลที่จะเป็นพระอริยเจ้านั้น อันดับแรก ญาณคือเครื่องรู้จะปรากฏขึ้น ยืนยันว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้าแล้ว อันดับที่สอง พระพุทธเจ้าเสด็จมาพยากรณ์ให้เอง ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นบอก ขอให้รู้ว่าผิดมารยาทอย่างร้ายแรงที่สุด

ถ้าคนอื่นเขาบอกว่าคนนั้นเป็นพระอริยเจ้า คนนี้เป็นพระอริยเจ้า ขอให้รู้ว่าถ้าคุณไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่หน้าที่ที่คุณจะไปพูดอย่างนั้น เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ละเอียดขนาดนั้น ว่าเขาเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง

ฉะนั้น..ถ้าเป็นพระอริยเจ้าแล้ว จะไม่สอนผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าหากไม่ใช่จริง ก็จะพาหลงทางไปเลย เรื่องการพยากรณ์ว่าคนไหนเป็นพระอริยเจ้า เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ใครให้การพยากรณ์ก็ไปให้ห่าง ๆ เขาหน่อย เดี๋ยวจะเดือดร้อน

ถาม : มีบางท่านไปอยู่ที่ขุมเก้า
ตอบ : นั่นเรื่องของท่าน

ถาม : แล้วเขาเป็นไหมคะ ?
ตอบ : มีใครคนที่อาตมาได้ยินเขาบอกว่าเป็นพระอรหันต์ แต่ไปเจอท่านอยู่ในโลกันต์..!

ถาม : หนูสงสัยว่า ทำไมเขาไปหลงทาง ?
ตอบ : ก็เพราะเป็นไม่จริง ขณะเดียวกันก็ไปคิดว่าตัวเองเป็นแล้วก็หลงไปใหญ่ ไปสอนคนผิด ๆ ตามทิฏฐิ ตามความเห็นของตัวเอง

คิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดว่า..คาดว่า..น่าจะใช่..น่าจะเป็นอย่างนั้น ก็ยิ่งกลายเป็นว่า สอนคนให้หลงทางมากเท่าไร โทษของตัวเองก็หนักมากขึ้นเท่านั้น

เถรี
17-02-2011, 11:53
ถาม : เหมือนกับเขาเอาวัตถุมงคล..(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องใช้คำว่า ทิฏฐิวิปลาส มีความเห็นผิดไป แก้ไขยาก ถ้ามีโอกาสก็พูด ๆ บ่น ๆ ให้เข้าหูเขาหน่อยก็แล้วกัน ถ้าไม่มีโอกาส ก็อย่าเพิ่งไปพูด เดี๋ยวจะพาเราเสียไปด้วย

อาตมาเจออยู่รายหนึ่ง ถึงขนาดให้ลูกศิษย์หลอมพระพุทธรูปไปชั่งกิโลขาย พระพุทธรูปเขาหลอมเป็นแท่งทองเหลือง เอาไปชั่งกิโลขาย เขาบอกว่าพระพุทธรูปทำให้คนยึดติด นั่นเขาหลงไปได้ไกลอย่างนั้น

อย่าลืมว่าการที่เราอยู่ในโลก พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าเราต้องเคารพสมมติทางโลก เพราะสมมติทางโลกคือสมมติสัจจะ ก็คือความจริงอย่างหนึ่ง แต่เป็นความจริงโดยสมมติ ว่านี่คือรูปแทนพระพุทธเจ้า บุคคลที่จิตใจเกาะความดีขั้นแรก ก็เพื่อความปลอดภัยว่าจะไม่ตกไปในทางแห่งความชั่ว หลังจากนั้นค่อยก้าวเข้าทางของความดีสูงขึ้นไป..สูงขึ้นไป จนกระทั่งท้ายสุด เว้นจากการยึดเกาะแล้วก็หลุดพ้น

ไม่ใช่ว่าพอถึงเวลาแล้วเราไม่เกาะอะไรเลย ไม่เกาะอะไรเลยเราจะเอาอะไรมาปล่อย ? อัตตา ความมีตัวตน อนัตตา ความไม่มีตัวตน ถ้าเราไม่ขึ้นด้วยอัตตาคือความมีตัวตนก่อน แล้วเราจะเอาอนัตตามาจากไหน ? สองอย่างนี้เป็นเหรียญสองหน้า อย่างไรก็ต้องไปด้วยกัน

แต่นั่นเขาประเภทโลกช้ำไปเลย แล้วยังมีการรับจ้าง ถ้าบ้านไหนไม่กล้าทำ ขอให้บอก เขาจะส่งลูกศิษย์ไปทำให้เลย เห็นเขาทุบ เห็นเขาเผา เห็นเขาหลอมแล้วอาตมาใจหาย พวกนี้กว่าจะรู้ว่าตัวเองมีโทษก็ต้องรอตอนที่ตายไปแล้ว

ถาม : ห่าง ๆ ไว้เลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ประเภทนั้นก็อยู่ห่าง ๆ ไว้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมี และห่มเหลืองเหมือนกับอาตมาเสียด้วย เขาสอนลูกศิษย์ว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้ยึดติด..!

เถรี
17-02-2011, 12:05
ถาม : อาชีพต่อไปของหนู ใครเป็นคนกำหนด ?
ตอบ : เอาตัวเราเป็นคนกำหนดเองก็แล้วกัน ชอบอะไรก็ทำอย่างนั้น

อย่าถามอะไรลักษณะอย่างนี้ ถ้าถามอะไรลักษณะอย่างนี้ ไปเจอที่อื่นจะโดนเขาหลอกได้ เป็นปัญหาที่ไม่ควรถาม ชอบใจอะไรก็ทำอย่างนั้น อะไรมาก่อนก็ทำก่อน ถ้าถามอย่างนี้เดี๋ยวไปเจอประเภทคนเก่ง พาเข้าป่าเข้าดงไปไหนก็ไม่รู้ กว่าจะรู้ก็หลงทาง หาทางออกไม่ถูก เดี๋ยวไปเจอบอกว่ามีเคราะห์ ต้องไปตัดเคราะห์ก็ยุ่งกันใหญ่

ถาม : หนูคงไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ
ตอบ : อย่าเพิ่งมั่นใจ ถ้าอกุศลกรรมแทรกเข้ามา อาจจะหลงทางไปได้ง่าย เพราะฉะนั้น..เร่งทำความดีให้ดีที่สุด

เถรี
17-02-2011, 12:13
ถาม : บทสวดมนต์ควรที่จะสวดตามที่เขาเขียนกำลังตามวันหรือไม่ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าเราชอบสวด จะสวดมากหน่อยก็ว่าตามกำลังวัน ถ้าหากเราไม่ชอบสวด เราก็ภาวนาไปเลย สวดมนต์เหมือนกับยาทา กว่าจะออกฤทธิ์ให้หายก็หลายวัน แต่ภาวนาเป็นยากิน วันสองวันก็รู้เรื่องแล้ว

ถ้าหากมีเวลาเราก็สวดมนต์ของเรา ถ้าหากไม่มีเวลาก็วิ่งเข้าใส่อารมณ์ภาวนา ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าสวดมนต์ไม่ดี ถ้าคนสวดมนต์เป็น เราสามารถทรงอารมณ์ภาวนาตอนสวดมนต์ได้ สามารถส่งกำลังใจขึ้นนิพพานไปสวดถวายพระพุทธเจ้าท่านก็ได้ ขณะเดียวกันสามารถที่จะกำหนดตัวอักษรให้ขึ้นมาอยู่ตรงหน้าทีละแถว ๆ ทำเป็นทิพจักขุญาณก็ได้ เพียงแต่ว่าเราทำได้แค่ไหน ?

ถ้าหากเราไม่สามารถทำลักษณะนี้ได้ เราชอบการภาวนามากกว่า เราก็ภาวนาไป เพราะว่าการสวดมนต์เป็นพื้นฐานของการสร้างสมาธิเหมือนกัน ในเมื่อเรามีสมาธิ เราจะวิ่งตรงไปทำสมาธิเลยก็ได้ ท่านไม่ได้ว่าอะไร

ถาม : อย่างบทสวดมนต์วันจันทร์ วันอังคารที่เขาเลือกไว้แล้ว
ตอบ : เลือกเอาบทที่ชอบ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปตามเขาก็ได้

เถรี
18-02-2011, 09:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีหน้าคือปี ๒๕๕๕ เป็นปีที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ครบ ๒,๖๐๐ ปี ฟังแล้วงงไหม ? คือ พระองค์ตรัสรู้แล้วสั่งสอนประชาชนอยู่ ๔๕ ปี ปรินิพพานมา ๒,๕๕๕ ปี เพราะฉะนั้น ๒,๕๕๕ + ๔๕ = ๒,๖๐๐ ปี

ทางอินเดียเขาจะเรียกว่า พุทธชยันตี เป็นการครบรอบใหญ่ ในลักษณะ ๑๐๐ ปีมีครั้งเดียว กรณีนี้ครบ ๒๖ รอบ อาตมาว่าจะสร้างพระสักรุ่นหนึ่ง พระท่านให้ทำเป็นพระนาคปรก ในช่วงที่พระองค์ท่านตรัสรู้ แล้วเสวยวิมุุตติสุขอยู่ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พระยามุจลินทร์นาคราชขึ้นมาสงเคราะห์ แผ่พังพานบังแดดบังฝนให้ คำว่านาคปรก พระท่านให้ความหมายว่า เป็นการพิทักษ์พุทธศาสนา"

เถรี
18-02-2011, 10:05
ถาม : ขอคำแนะนำในเรื่องการปฏิบัติครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของพระ สำคัญที่สุดก็คือ ศีล ทุกสิกขาบทต้องระมัดระวังให้ดี และงานของพระ สวดมนต์ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐานต่าง ๆ อย่าทิ้งเป็นอันขาด ถ้าทิ้งเมื่อไรกำลังเราจะไม่พอสู้กิเลส จะทำให้อยู่ในผ้าเหลืองไม่ได้

ถ้าหากเรารู้สึกว่า เดินจงกรมภาวนาแล้วเครียดไป ก็เปลี่ยนอิริยาบถไปทำอย่างอื่น เช่น ทำความสะอาดวัด ต้องรู้จักปรับตัวเอง ถ้าหากไม่ปรับตัวเอง มัวแต่เอาทื่อตรง ๆ อย่างเดียว บางทีไปไม่รอดหรอก แล้วก็ให้ทวนศีลไว้ทุกวัน

ถาม : กรรมฐานที่ควรทำ ?
ตอบ : ให้ใช้อานาปานสติเป็นหลัก หลังจากนั้นก็ควบพุทธานุสติ ถ้าหากได้สักอย่างหนึ่งแล้ว ที่เหลือเดี๋ยวมาเอง เพราะกำลังจะเท่ากันหมด

ในการทรงฌานสี่ พอถึงเวลาเราทำได้สักกองหนึ่ง แล้วเปลี่ยนกองกรรมฐาน เปลี่ยนแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง ถ้าได้กองหนึ่ง ที่เหลือไม่ยากหรอก

ถาม : แล้วอานาปานสติต้องนึกภาพพระด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าสามารถกำหนดด้วยได้ก็ดี เพิ่มงานให้ใจจะได้ไม่ฟุ้งไปเรื่องอื่น ควบพุทธานุสติไว้ปลอดภัยกว่า อย่างน้อย ๆ ถ้าเราตายก็ไปอยู่กับท่าน

เถรี
18-02-2011, 10:09
ถาม : การตัดบุรพกรรม ควรทำอย่างไร?
ตอบ : การตัดบุรพกรรมที่ง่ายที่สุดก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เพราะอานิสงส์ใหญ่มาก โดยเฉพาะตัวภาวนา ถ้าหากเรามีการภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวอยู่เสมอ ๆ กรรมจะตามเราได้น้อยมาก ไม่ต้องไปเสียเวลาสะเดาะเคราะห์อย่างอื่นหรอก ภาวนาทุกวันเท่ากับสะเดาะเคราะห์ไปในตัวอยู่แล้ว

ถาม : การตัดคู่เวรคู่กรรม เราต้องตัดไปเลยหรือเจ้าคะ ?
ตอบ : ตัดทิ้งไปเลย ถ้าหากมีอะไรสงเคราะห์ได้ก็รอประเภทที่เดินมาชนกันจริง ๆ แล้วค่อยว่ากัน ไม่อย่างนั้นก็อาจจะทำให้กำลังใจกำเริบได้ใหม่

ถาม : แล้วถ้าเป็นการช่วยเหลือ..?
ตอบ : พิจารณาด้วยว่าเรื่องนั้นเป็นอย่างไร ถ้าหากเกินกำลัง เกินความสามารถ หรือว่าจำเป็นต้องใช้ปัจจัยมาก ปฏิเสธเขาไปก็ได้ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าจะหมดกรรมก็ให้หมดกันไปเลย ไม่ต้องไปสร้างใหม่

ถาม : ก็คือตัดเลย?
ตอบ : ใช่ หั่นได้หั่นทิ้งไปเลย..!

ถาม : เลี้ยงไว้นี่คือทำให้เสียเวลาเรา ?
ตอบ : นอกจากเสียเวลาแล้ว ยังทำให้เสียอารมณ์อีกต่างหาก

เถรี
18-02-2011, 10:13
ถาม : ไม่อยากยุ่งกับใครค่ะ
ตอบ : ธรรมดา

ถาม : พี่น้องก็ไม่เอาแล้ว
ตอบ : เราเองให้รู้ว่า เราอยู่กับโลก เราต้องเคารพสมมติทางโลก อะไรที่พอปฏิสัมพันธ์กันได้ก็ทำไป ถ้าเราทำแล้วใจไม่นิ่ง เกิดอารมณ์กระทบ แสดงว่าจริง ๆ แล้วกำลังใจของเรายังใช้ไม่ได้

ให้ปฏิสัมพันธ์กับเขาในลักษณะของกำลังใจที่มีสติรู้อยู่ตลอดว่า เรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร และไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามาได้จึงจะใช้ได้ พูดง่าย ๆ ว่า เราต้องอยู่ในโลกลักษณะของน้ำกลิ้งบนใบบอน แต่ไม่ติดอยู่กับใบบอน คือเป็นคนปกติที่ยิ่งกว่าปกติ บ้าตามเขาได้ทั้งทุกอย่าง แต่ไปในกรอบของศีลเท่านั้น เกินศีลเราไม่ไป

เถรี
18-02-2011, 10:15
ถาม : ได้พระธาตุมา ให้ท่านช่วยดู
ตอบ : เรื่องของพระธาตุ เราอย่าไปสงสัยว่าใช่หรือไม่ใช่ ? จริงหรือไม่จริง ? ไม่ต้องสงสัย สำคัญตรงที่เราเห็นแล้ว เรานึกถึงพระพุทธเจ้าได้หรือไม่ ?

ถ้าเห็นแล้วเรานึกถึงพระพุทธเจ้าไม่ได้ มัวแต่ลังเลสงสัยอยู่ ต่อให้ของจริงก็เหมือนกับของปลอม แต่ถ้าเราเห็นแล้ว เราระลึกถึง กราบไหว้บูชาด้วยความเคารพ ของปลอมก็เหมือนกับของจริง ฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาไปสงสัย

เถรี
18-02-2011, 10:21
ถาม : มีเจ้ากรรมนายเวรตามอยู่
ตอบ : มีคนคอยดูแล ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี (หัวเราะ) อย่าไปกังวลกับเรื่องนั้นเลยจ้ะ เจ้ากรรมนายเวรมีทุกคนแหละ

เวลาสร้างบุญสร้างกุศลอะไร ก็ตั้งใจอุทิศให้เขา ขอให้เขาโมทนาและอโหสิกรรมให้เราด้วย แรก ๆ เขาก็ไม่ยอมหรอกจ้ะ ถ้าเราเคยทำไม่ดีกับเขา เขาโกรธเราก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเราตื๊อทำไปบ่อย ๆ เดี๋ยวเขาใจอ่อนเขาก็เลิกเอง

ไม่ใช่มีแต่เราหรอก มีทุกคน ในเมื่อมีทุกคนไม่ต้องกังวลหรอก ยิ่งอาตมายิ่งมีเยอะเลย แต่ก็ทำให้เขาอยู่ทุกวัน

เถรี
18-02-2011, 10:22
ถาม : พวกนักปฏิบัติอย่างเรา กรรมเก่าเล่นไม่ถึงใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่กำลังใจเราด้วย ถ้าเข้มแข็งไม่พอ ก็ถูกเล่นจนได้แหละ

เถรี
18-02-2011, 10:30
ถาม : อยากให้อธิบายข้อประพฤติผิดในกาม กับข้ออพฺรหฺมจริยา ?
ตอบ : ในส่วนของข้อกาเมฯ เป็นการละเมิดที่หยาบที่สุด ส่วนอพฺรหฺมจริยา ในเบื้องต้นสำหรับบุคคลที่จิตหยาบแล้ว การแตะเนื้อต้องตัวก็ทำให้เกิดอารมณ์กำหนัดขึ้น ถ้าอารมณ์กำหนัดเกิดขึ้นเมื่อไร ปัญญาจะถอยหลัง ต่างกันอยู่ตรงนี้

แต่ถ้าบุคคลที่ทรงกำลังใจมั่นคงแล้วจริง ๆ สามารถที่จะปลดได้ วางได้ สักแต่ว่าเห็นทุกอย่างเป็นรูปเป็นนาม สิ่งที่เขาสัมผัสมันก็เป็นรูปกายรูปหนึ่ง ที่ไม่ได้ต่างไปจากสิ่งของอื่นที่เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม เท่ากับเป็นแค่วัตถุธาตุชิ้นหนึ่งเท่านั้น อารมณ์จิตที่นึกคิดปรุงแต่งไม่มี ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะจับอย่างไรก็เรื่องของท่าน

แต่สำหรับผู้ที่ปฏิบัติในขั้นแรก จำเป็นต้องทำของเราให้เต็มที่ก่อน ต้องระมัดระวังให้เต็มที่ก่อนจะไปถึงระดับนั้นได้ ไม่ใช่เห็นบางคนทำได้ แล้วทำไมเราทำไม่ได้ เหมือนกับช้างสามารถแบกข้าวสารได้ทีละหลายกระสอบ เราไปแบกแบบนั้นก็โดนทับตาย..!

ถาม : ข้อประพฤติในพรหมจรรย์ สำหรับคนมีครอบครัว อยากขอคำแนะนำ ?
ตอบ : รักษาเป็นเวลา หรือไม่ก็เอาอย่างพระมหากัสสปะกับนางภัททกาปิลานี ถึงจะอยู่ด้วยกันก็แยกกันอยู่

ถาม : ต้องให้ตัวเขารักษาด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าความต้องการไม่เท่ากัน เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน

ถาม : ถ้าเราเดินผ่านไปผ่านมา ชนผู้คน หรือไปโดนตัวเขา แล้วเกิดจิตกำหนัด ?
ตอบ : ถ้าหากไม่ประกอบด้วยเจตนา โทษก็น้อย

ถาม : แต่ไม่ได้ผ่านไปเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็เหมือนกับพระ ถ้าถูกต้องหญิงโดยจิตกำหนัดก็ผิดโดนสังฆาทิเสส ถ้าไม่มีจิตกำหนัดท่านปรับอาบัติทุกกฎที่ต่ำลงมา

เถรี
18-02-2011, 10:33
ถาม : หมอดูบอกว่า คนปัจจุบันยังไม่ใช่คู่แท้..?
ตอบ : จะเชื่อเขาทำไม? อยู่ที่เราประพฤติตัวของเราเอง ถ้าความประพฤติของเราไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว ต่อให้ได้เนื้อคู่ดีอย่างไร ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้

เราต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปเชื่อดวง พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องมีสมชีวิธรรม ๔ มีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีศรัทธาเสมอกัน มีการบริจาคให้ทานเสมอกัน อย่างไรก็อยู่กันได้

เถรี
18-02-2011, 10:34
ถาม : ที่บ้านมีหิ้งพระหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีพระที่วางชั้นตรงข้ามหันไปทางทิศตะวันตก
ตอบ : ทำไมไม่เอาไปไว้ที่เดียวกัน ?

ถาม : รกมากเลยค่ะ ชั้นไม่พอ
ตอบ : หาใหม่อีกหิ้งหนึ่ง อยู่ใกล้ ๆ กัน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก

เถรี
18-02-2011, 10:55
ถาม : เวลาขึ้นไปบนพระนิพพาน เราควรจะมองอารมณ์ ?
ตอบ : อยู่ตรงนั้นให้นานที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ สมัยก่อนผมก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะจิตไม่เคยชินกับความละเอียดระดับนั้น ผมจึงใช้วิธีสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา โชคดีที่ผมสวดมนต์ได้มาก ฉะนั้น..ตราบใดที่จิตยังมีงานทำอยู่ ก็จะอยู่ตรงนั้น และหาวิธีอย่างไรก็ได้ให้คุณอยู่ได้นานที่สุด

เถรี
18-02-2011, 10:57
ถาม : ถ้าทำนิมิตแล้วอธิษฐานให้ใหญ่ก็ได้ให้เล็กก็ได้ การอธิษฐานให้ใหญ่ให้เล็ก ความตั้งใจต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ก็เหมือนกันนั่นแหละ อธิษฐานคือความตั้งใจ เวลาคุณนึกต้องใช้ความตั้งใจไหมเล่า ? ถ้าสามารถนึกให้เล็กให้ใหญ่ ให้มาให้ไป ก็คืออธิษฐานนั่นแหละ

ถาม : ก็คือการที่เราจินตนาการฝึกกสิณหรือครับ ?
ตอบ : ก็ขอใช้ผล ถ้าใช้ผลได้ก็แปลว่าของจริง ถ้าใช้ผลไม่ได้ก็เป็นแค่จินตนาการ ของอย่างนี้ทดสอบกันได้

เถรี
19-02-2011, 10:06
ถาม : กำลังใจที่เกิดจากตัวอคติ จะใช้วิธีการอย่างไรในการตัดตัวอคติเหล่านี้ ?
ตอบ : สติ..ถ้าสติเท่าทันก็หยุดให้ได้ก่อน หลังจากนั้นก็ใช้ปัญญาพิจารณา ให้เห็นว่าทั้งเขาและเราก็ทุกข์อยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น..เราจะไปรัก โกรธ เกลียด กลัว เขาหรือไม่ก็ตาม ท้ายสุดก็ต่างคนต่างตาย คิดพิจารณาแบบนี้บ่อย ๆ จะค่อย ๆ ปลดตัวอคตินี้ออกไปได้

เถรี
19-02-2011, 10:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาหารการกินสมัยนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากการเร่งปุ๋ยเร่งฮอร์โมนกันมาก ทำให้ตกค้างมาถึงเด็กรุ่นใหม่ เด็กรุ่นใหม่จึงโตเร็วเพราะเท่ากับโดนฮอร์โมนเร่งไปในตัว ในเมื่อโตเร็ว วงจรชีวิตก็จะสั้นไปด้วย

คนรุ่นใหม่ ๆ ยิ่งโตเร็วเท่าไร ก็จะยิ่งอายุสั้นมากเท่านั้น เราลองนึกถึงลูกหมา สามสี่เดือนก็เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว เด็กสมัยนี้แปดเก้าขวบเริ่มดูเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ต่อไปพวกที่อายุ ๖๐ ขึ้นไปจะกลายเป็นวัตถุโบราณ เพราะเดี๋ยวนี้เกณฑ์อายุเฉลี่ยแค่ ๖๓ ปีเท่านั้นเอง"

เถรี
19-02-2011, 10:58
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องเหล็กไหลให้ฟังว่า "มีคนถามหลวงปู่บุดดาเกี่ยวกับเรื่องเหล็กไหลว่า "หลวงปู่เคยเห็นเหล็กไหลไหม ?" หลวงปู่บอกว่า "เคยสิ" "เคยเห็นที่ไหนครับ ?" "ที่หัวลำโพง เดี๋ยวมันก็ไหลไปเหนือ เดี๋ยวมันก็ไหลไปใต้"

ส่วนอีกรายหนึ่งถาม หลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่า ตอนนั้นท่านยังเป็นพระครูวิชาญไชยคุณอยู่ ยังไม่ได้เป็นท่านเจ้าคุณพระมงคลชัยสิทธิ์ พอไปถามท่านเรื่องเหล็กไหล ท่านบอกว่า "ไอ้เรื่องที่ทำให้ยึดติดไม่หลุดพ้น เอ็งจะถามไปทำไมวะ..?"

แต่ตอนที่อาตมาถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านกลับบอกให้ฟัง สรุปว่า เหล็กไหลทั้งหมดในปัจจุบันไม่ใช่เหล็กไหลของแท้ เหล็กไหลของแท้ดูง่ายมาก เพราะจะมีรัศมีสว่างเป็นของตัวเอง อยู่ในที่มืดก็สว่าง

วิธีทดสอบ ก็คือ เอาน้ำเดือด ๆ ใส่แก้ว หย่อนเหล็กไหลลงไป น้ำร้อนจะกลายเป็นน้ำเย็นเหมือนมาจากตู้เย็น แต่อย่าให้เหล็กไหลตกดินนะ ตกดินเมื่อไร จะหายไปต่อหน้าต่อตาเลย..!

เหล็กไหลมีหลายสีด้วยกัน จะมีสีน้ำตาลอ่อนออกเหลือง (สีท้องปลาไหล) สีเข้มแบบเมฆพัตร (เหมือนสีปีกแมลงภู่) สีเขียวเหลืองแบบเมฆสิทธิ์ (เหมือนสีปีกแมลงทับ) มีหลายต่อหลายท่านเอาเมฆสิทธิ์เมฆพัตรมา แล้วคิดว่าเป็นเหล็กไหล เพราะสีตรงตำรา ส่วนชนิดที่มีพลังงานสูงสุดจะเป็นสีเงินเหมือนปรอทหรือตะกั่ว

ถ้าเจอเหล็กไหล ให้ตั้งใจขออนุญาตเจ้าที่ที่เฝ้าอยู่ ขอพิสูจน์ว่าเป็นของแท้หรือเปล่า ? แล้วจุดเทียนลนดู ถ้าเป็นของแท้ พอเหล็กไหลโดนไฟจะยืดลงมาเหมือนน้ำตาเทียน แต่จะไม่ขาดหรอก ยืดเท่าเส้นด้ายก็ไม่ขาด พอเราเลิกลน เอานิ้วแตะ เหล็กไหลจะหดกลับไปเหมือนเดิม หน้าตาเดิมเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

ถ้าไม่ใช่เจ้าของอนุญาตหรือเขาจะมาด้วย จะเอามาไม่ได้ โยมคนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดชื่อเลิศ อยู่เพชรบูรณ์ เขาพยายามขายเหล็กไหลมาหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เพราะเหล็กไหลไม่ยอมไปอยู่กับคนอื่น"

เถรี
19-02-2011, 11:21
"เหล็กไหลนี้อัศจรรย์ตรงที่ว่า ในรัศมีที่เขาคลุมถึง ไฟฟ้าไม่สามารถทำงานได้ ทำให้กล้องถ่ายรูปทุกชนิดถ่ายภาพเหล็กไหลของแท้ไม่ได้ เครื่องยนต์ทุกชนิดไม่ทำงาน อาวุธปืนทุกชนิดยิงไม่ออก อาวุธมีดทุกชนิดเหมือนกับไม่มีคม เชือดแล้วลื่นไปเฉย ๆ

แต่เหล็กไหลของนายเลิศก้อนนี้ไม่เหมือนของชาวบ้านเขา แค่ดูก็รู้แล้ว เพราะฉะนั้น..เทวดาที่เฝ้าเหล็กไหลก็เหมือนกับคน ตรงที่แต่ละองค์มีนิสัยไม่เหมือนกัน สำหรับเหล็กไหลก้อนนี้มีนิสัยแปลก เนื่องจากว่าวันหนึ่งโจรไปปล้นควายบ้านนายเลิศ โจรยิงนายเลิศไม่ออก แต่นายเลิศยิงออก ปกติแล้วในรัศมีที่เหล็กไหลคลุมถึง ไม่ว่าเราหรือเขาจะยิงไม่ออกทั้งนั้น แต่ก้อนนี้ไม่เหมือนชาวบ้านเขา

จริง ๆ แล้วนายเลิศไม่ใช่เจ้าของเหล็กไหล นายเลิศเขามีเพื่อนเป็นชาวม้ง นายเลิศไปเยี่ยมเพื่อนม้งที่ทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อนกำลังป่วยหนักอยู่ ไปเฝ้าไข้อยู่สองวันกว่า วันที่สามเพื่อนก็เสียชีวิต นายเลิศก็พยายามค้นเผื่อเจอข้อมูลว่าเพื่อนมีญาติพี่น้องที่ไหนบ้าง ค้นไปค้นมาเจอหิ้งไม้ไผ่มีสำลีอยู่ห่อหนึ่ง แล้วห่อนั้นมีแสงสว่าง ๆ เท่าเม็ดถั่วเขียว นายเลิศเห็นว่าน่าจะเป็นของดี ก็เก็บใส่กระเป๋าไป เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

คนแรกที่ติดต่อซื้อเหล็กไหลกับนายเลิศ คือ ฝรั่งที่ฐานบินโคราช ฝรั่งเขารู้ว่าคนไทยมีของดี เขาขออนุญาตว่าใครมีวัตถุมงคลที่ยิงไม่ออก ให้เอาไปขายให้เขาได้ เขารับซื้อราคาหมื่นดอลล่าร์สมัยนั้น คนอื่น ๆ เอาของดีไปให้ฝรั่งทดลองดู ปรากฏว่าเขาฝรั่งยิงพังหมด"

เถรี
19-02-2011, 11:56
"พอนายเลิศได้ยินว่าทหารอเมริกันเขารับซื้อวัตถุพวกนี้อยู่ นายเลิศก็นึกถึงของชิ้นนี้ขึ้นมาได้ จึงทดสอบเองก่อน เอาเหล็กไหลไปวางไว้ที่จอมปลวก แล้วใช้ปืนลูกซองยิงก็ยิงไม่ออก ไม่แน่ใจ..อาจจะเป็นเพราะว่าจอมปลวกขลัง ก็ย้ายที่ใหม่ พอเอาเหล็กไหลไปวางไว้ที่จุดไหนก็ยิงไม่ออกอีก ก็ยังไม่แน่ใจ...กระสุนอาจจะเก่าจนหมดอายุก็ได้ จึงไปยืม .๓๘ ของกำนันมา พอมายิงก็ยิงไม่ออกอีก นายเลิศจึงชวนกำนันไปเป็นเพื่อน เพื่อไปติดต่อกับฝรั่ง

นายเลิศเขารอบคอบมาก เขาขอให้ฝรั่งวางเงินค่ายิงสามหมื่นบาท ถ้ายิงพังจะไม่เอาเรื่อง ถ้ายิงไม่ออกขอค่ามัดจำสามหมื่น ปรากฏว่าฝรั่งใช้ปืนอะไรก็ยิงไม่ออก ฝรั่งจึงมอบเงินให้สามหมื่น แล้วตกลงซื้อขายกันสองล้านบาท ให้นายเลิศไปรออยู่ที่โรงแรม เขาเปิดโรงแรมชั้นหนึ่งให้เลย พรุ่งนี้จะพาไปเปิดบัญชีธนาคารแล้วโอนเงินให้

พอรุ่งเช้า เหล็กไหลหายไปไหนไม่รู้ เขาไม่ยอมไปด้วย ฝรั่งก็หาว่านายเลิศเล่นแง่ ทางนายเลิศก็สาบานว่าเปล่า ทีนี้นายเลิศเขาให้เมียถักเชือกหุ้มเหล็กไหลให้ เวลาถักเชือกก็จะมีห่วงคล้องให้ด้วย ปรากฏว่าห่วงก็ยังอยู่ดี ด้ายถักที่หุ้มก็ยังเป็นห่ออยู่ตามปกติ แต่เหล็กไหลไม่มีแล้ว ฝรั่งจึงยอมเชื่อจริง ๆ

เวลาผ่านไปอาทิตย์กว่า ๆ เหล็กไหลก็กลับมาอยู่ที่เดิม ที่บ้านนายเลิศ คือ ถ้าเหล็กไหลมาก็จะเห็น เพราะมีแสงสว่างเรือง ๆ ตั้งแต่นั้นมา ใครไปขอซื้อนายเลิศขายทั้งนั้น เขาบอกว่าใครมีวิชาดีไปเอาได้เลย เขาอยากขายมาก เพราะฐานะตัวเองก็ไม่ได้ร่ำรวย แต่ขายไม่ออกสักที"

เถรี
19-02-2011, 12:12
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยที่อยู่เกาะพระฤๅษีพวกอาตมาอาศัยบะหมี่สำเร็จรูปเป็นหลัก พอมารับสังฆทานจากกรุงเทพฯ ก็จะเป็นอาหารหรูหราฟู่ฟ่าไปเลย หลังจากนั้นกลับไปที่เกาะ บะหมี่ซองก็จะเป็นหลักเหมือนเดิม

จึงมานึกว่า เราทำบุญมาไม่สม่ำเสมอ เพราะถ้าเราทำบุญสม่ำเสมอก็ต้องได้ในลักษณะเท่า ๆ กันหรือใกล้เคียงกันทุกวัน นี่บทมีกินก็กินกันปางตาย บทไม่มีจะกินก็เจอแต่บะหมี่สำเร็จรูปเป็นอาทิตย์ ๆ เลย

อย่างวันนี้ อยู่ ๆ ก็มีน้ำพริกมา ๖-๗ ถ้วยพร้อม ๆ กัน บทจะไม่มีบางทีสามวันก็ไม่มีน้ำพริกเลย ฉะนั้น..เรื่องของการทำบุญต้องสม่ำเสมอ ถ้าไม่สม่ำเสมอเดี๋ยวจะเจอแบบอาตมา"

เถรี
19-02-2011, 12:25
"อาตมาเป็นคนแปลกมาตั้งแต่เด็ก เพราะไม่มีอาหารอะไรที่รู้สึกอร่อยจนอยากจะกินซ้ำ ตั้งแต่เด็กก็เป็นอย่างนี้ สมัยมาทำงานที่กรุงเทพฯ ใครเขาว่าอาหารอร่อยก็ไปกินดู ก็ไม่เห็นจะอร่อยกับเขาตรงไหน

ตอนนั้นหูฉลามนายเก๊า ถ้วยนิดเดียวราคาหกร้อยบาท เท่ากับค่าแรงอาตมาตั้งหลายวัน ลองไปกินดูไม่เห็นจะอร่อยตรงไหน ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อคาบูกิ เปิดครั้งแรกที่โรงแรมอินทรา ก็อุตส่าห์ขึ้นไปลองกิน ไม่รู้ว่าญี่ปุ่นเขากินได้อย่างไร จืดเป็นบ้าเลย อาตมาเห็นมีซีอิ๊วญี่ปุ่นก็ใส่ ชิมไปก็ไม่เค็ม หวานปะแล่ม ๆ ใส่ไปครึ่งขวดก็ยังหวานปะแล่ม ๆ อยู่ ตกลงว่าอาหารญี่ปุ่นหารสเค็มไม่ได้ อยู่ทะเลกันอย่างไรก็ไม่รู้ ? กลายเป็นซื้อความรู้ไป

อะไรที่เขาว่าอร่อยไปลองมาหมดแล้ว ประเภทซูเปอร์ราดหน้า สมัยนั้นจานละ ๖๐ บาท ใส่หมูชิ้นหนึ่งเกือบเท่าฝ่ามือ เราก็ลองไปชิมดู ผลสรุปว่าบางร้านที่ไปกินส่งเดชอร่อยกว่าเชลล์ชวนชิมเยอะเลย มีก๋วยเตี๋ยวรถเข็นอยู่เจ้าหนึ่ง อยู่ใต้สะพานลอยพระโขนง ใครกินแล้วไม่สั่งเพิ่ม รับประกันได้ว่า จะต้องลิ้นตะเข้จริง ๆ จนกระทั่งหลายคนระแวงว่าเขาใส่กัญชาหรือเปล่า ? เพราะถ้าผสมกัญชาลงไป กินอะไรก็จะอร่อยไปหมด

จึงแปลกใจว่า ตั้งแต่เด็กมาไม่เคยคิดอยากจะกินอะไรซ้ำ อาหารบางอย่างก็รู้สึกว่าอร่อยนะ แต่ก็อร่อยแค่ครั้งนั้น แต่ถึงขนาดให้ตะกายไปหามากินใหม่ก็ไม่ไป แต่โยมบางคนเป็นตายอย่างไรก็ต้องไปกินให้ได้ เคยขึ้นรถยนต์โยมบางคน เขามีแต่แผนที่ร้านเชลล์ชวนชิม แสดงว่าไปทุกที่ ตรงไหนว่าอร่อยเขาไปทั้งนั้น

เราจะเห็นว่า ในเรื่องของกิเลสแต่ละคนแพ้ไม่เหมือนกัน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ เป็นกิเลสที่ดึงร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏสงสาร แต่ละคนแพ้ไม่เท่ากัน คนแพ้รูปก็ทำสถิติสะสมอีหนูไปเถอะ คนแพ้รสเห็นว่ามีอาหารที่ไหนอร่อยต้องไปที่นั่น ต่อให้ป่วยเป็นเบาหวานก็จะไป หมอห้ามแค่ไหนก็จะกิน

ส่วนใหญ่อาตมาลองครั้งเดียวก็เลิก ไม่มีอะไรให้ประทับใจกับเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะพิซซ่า ในชีวิตนี้ได้ฉันพิซซ่าอร่อยครั้งเดียวที่กุฏิหลวงปู่มหาอำพัน เพราะมีน้ำปลาพริกอยู่ถ้วยหนึ่ง อาตมาเทราดลงไปหมดเลย หลังจากนั้นก็ไม่เคยฉันพิซซ่าที่ไหนอร่อยอีก"

เถรี
19-02-2011, 12:34
"ในชีวิตแทบจะไม่เคยปรุงเครื่องปรุงรส เหตุที่ไม่เติมก็เพราะว่า ถ้าเติมแล้วอร่อยแปลว่าเป็นฝีมือเราทำเอง ถ้าอาหารอร่อยต้องอร่อยเพราะฝีมือคนทำ แต่ถ้าเติมแล้วอร่อยก็เป็นเพราะเราทำเอง จึงเคยชินกับการฉันที่ไม่ต้องเติม

มาระยะหลัง ๆ อาหารไทยเสียรสชาติหมด เด็ก ๆ ก็เสียลิ้น เพราะรสชาติออกหวานไปหมด ขนาดแกงส้มก็หวาน น้ำพริกก็หวาน ชิมแล้วหมดอารมณ์ ปกติอาหารไทยของเราจะมีของหวานตามหลังอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..อาหารไทยจึงไม่ใช่อาหารรสหวาน นอกจากบางชนิดอย่างขนมจีนน้ำพริกหรือแกงบอน จะมีหวานนำนิดหน่อย

ถ้าใครบอกว่าอาหารชาววังรสหวาน อย่าไปเชื่อเชียว ชาววังลิ้นท่านประณีตกว่าเราเยอะ เปรี้ยวหวานมันเค็มของท่านจะครบรสกว่าเรา เพราะมีเวลาในการประดิษฐ์ประดอยมากกว่า แต่เขาไปลือว่ากินหวานเป็นต้นตำรับชาววัง เสียหายไปหลายแสน อาตมาเคยวิ่งเล่นในวัง ไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย"

ถาม : เรื่องอาหารทำให้คนติดได้ง่าย พระพุทธเจ้าจึงให้คนพุทธจริตพิจารณากองนี้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นแพ้อะไร รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ เป็นต้น คนที่ติดเรื่องกลิ่นเราจะเห็นว่า น้ำหอมแพงแค่ไหนเขาก็สะสม ขวดเท่านิ้วก้อยราคาเกือบหมื่นก็ซื้อมาสะสมเพราะชอบกลิ่น พอถึงเวลาบริษัทมีชื่อเสียงผลิตน้ำหอมกลิ่นใหม่ เป็นตายเขาก็ต้องไปลองให้ได้

เถรี
19-02-2011, 12:41
สุนทรภู่บอกว่า อันรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร ก็แปลว่า เวียนตายเวียนเกิดกันไม่รู้จบ ในพระอภัยมณีมีอะไรดี ๆ เยอะเลย เพียงแต่ว่าเราจะสังเคราะห์ออกมาได้หรือเปล่า ? หรือคนอ่านจะมีกำลังใจเข้าถึงได้แค่ไหน ? ไม่อย่างนั้นจะติดแค่อรรถรสหรือเนื้อหาเฉย ๆ ไม่ได้ดูถึงหลักธรรมหรือข้อคิดสอนใจที่แฝงเอาไว้

ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย.......ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย....................จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย


พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสใด ก็สู้เพศตรงข้ามไม่ได้


พระจันทรสว่างกลางโพยม..................ไม่เทียมโฉมนางงามพี่พราหมณ์เอ๋ย
แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย.........ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน

เจ้าพราหมณ์ฟังวังเวงในเพลงปี่..............ป่วนฤดีเสนาะในฤทัยหวาน
หวั่นประหวัดสตรีฤดีดาล....................ก็ซาบซ่านเสียวสดับจนหลับไป

เถรี
20-02-2011, 01:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "อยากจะให้ไปหาหนังสือของหลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ เล่มที่เขาถ่ายสำเนาลายมือหลวงปู่ลงไปทั้งเล่ม ลองไปอ่านดู ท่านเขียนเป็นเล่ม ๆ ลายมือแทบจะไม่เพี้ยนเลย แสดงออกว่าท่านสมาธิดีมาก คนที่สมาธิดี จดจ่อกับงานตรงหน้า ลายมือจะบอกได้ชัด

หลวงปู่หล้าท่านเขียนด้วยมือเป็นเล่ม ๆ ลองไปหาดูว่าจะหาได้ไหม ? ถ้าอาตมามีเวลาว่าง จะถ่ายสำเนาสมุดจดงานตอนเรียนให้ดู เคยเอาให้เด็ก ๆ ดู เด็กเขาบอกว่า "หลวงพ่อ..นี่ไม่ใช่สมุดจดงาน นี่เป็นสมุดคัดลายมือ..!" อาศัยว่าความจำแม่น เวลาอาจารย์พูด อาตมาเรียบเรียงอยู่ในหัวหมดแล้ว เวลาเขียนจึงไม่ต้องรีบเขียน ทำให้เขียนแล้วอ่านง่าย"

เถรี
20-02-2011, 01:14
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "มีอยู่ปีหนึ่งที่เกาะพระฤๅษี พระและโยมกำลังทำวัตรเช้ากันในโบสถ์ อยู่ ๆ มีเสียงครืน..! โบสถ์ไหวทั้งหลัง อาตมาก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ? จึงกำหนดใจดู เห็นเทวดาองค์เบ้อเริ่ม ๘ องค์ จึงถามว่า "มาทำอะไรกัน ?"

ท่านตอบว่า "เอาของมาฝากหน่อยครับ"
"ของ ๆ คุณเป็นอะไร ?"
"ทองไม่กี่ตันครับ" เทวดาเอาทองมายัดไว้ใต้โบสถ์

"ห้ามฝากเปล่า ๆ ต้องคิดดอกเบี้ยค่าฝากด้วย"
"คิดอย่างไร ?"
"ช่วยหาเงินให้อาตมาสร้างวัดด้วย"

อาตมาก็สบาย ท่านเองงานก็เบาลง ไม่ต้องระมัดระวังคอยเฝ้า เพราะทองอยู่ใต้โบสถ์ไปแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียว คือ ไปไล่ต้อนคนให้เข้าวัดมาทำบุญเท่านั้น"

เถรี
20-02-2011, 01:21
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการฟังเพลงว่า "เรื่องของการฟังเพลง ถ้าขาดสติก็จะไหลตามเพลงไป แล้วก็จะเกิดจิตสังขารปรุงแต่ง กลายเป็นรักชอบไปโดยปริยาย

มีอยู่สมัยหนึ่งอาตมาเปิดเพลงทั้งวัน ฟังแล้วไม่ปรุงตามไป พยายามที่จะอยู่กับปัจจุบันธรรมตรงหน้า จนกระทั่งบรรดาพี่ ๆ ที่วัดท่าซุงคาดว่า "ไอ้เล็กตายแน่..เปิดเพลงหน้าห้องหลวงพ่อ..!" เพราะอาตมาเฝ้าเวรอยู่หน้าห้องท่าน เปิดเพลงฟังไปด้วย แต่หลวงพ่อไม่ดุสักคำ จนกระทั่งพระรูปอื่นท่านว่าอาตมาเป็นเด็กเส้น

แต่ความจริงไม่ใช่ หลวงพ่อท่านรู้ว่าอาตมากำลังทำอะไร พอรู้ว่าเราสู้เพลงนี้ไม่ได้ อาตมาก็เปิดฟังจนกว่าจะสู้ได้ เปิดฟังแล้วก็ภาวนาสู้ แต่ด้วยความเคยชินมาก่อน ภาวนาไปได้สักพักก็เผลอไปกับเนื้อเพลงแล้ว"

เถรี
20-02-2011, 01:29
"ถ้าใครเคยอ่านเรื่องแม่สานเมืองลับแล ตลอดเวลาที่อาตมาอยู่ในป่าห้าวันห้าคืน ใจสงบนิ่งเองจนไม่ต้องภาวนา เพราะรู้ว่าในป่ามีอันตรายมาก เราจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ กำลังใจก็ทรงตัวเองโดยอัตโนมัติ

พอตอนเดินทางออกจากป่า อาตมาจำทางได้ว่า เหลือระยะทางอีกไม่เท่าไรก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว จิตคลายออกตอนไหนก็ไม่รู้ แทนที่จะอยู่กับการภาวนา อยู่กับความสงบ อยู่กับการนิ่งที่เป็นอุเบกขารมณ์ ก็ไปเที่ยวดูฟ้าดูดิน

บรรยากาศตอนนั้นเป็นป่าดงดิบทึบมาก มีไอความชื้นอยู่มากเหมือนเมฆเหมือนหมอก แดดส่องลงมามากไม่ได้เพราะต้นไม้บังหมด ก็ส่องลงมาเป็นลำ ๆ ตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย พอเห็นภาพนั้น เพลงก็ขึ้นมาในใจเองเลย "ดวงตะวันลับทิวแมกไม้ ใจพี่ก็หาย หายลับไปกับตะวัน.." แทนที่จะภาวนากลายเป็นร้องเพลงไปเสียนี่

ไม่รู้ท่านใดจ้องไว้แล้ว คงจะรอจังหวะอยู่ ถีบตูมเดียว..! ตกลงไปในลำธารเลย เปียกตั้งแต่หัวถึงเท้า แล้วเดือนพฤศจิกายนหนาวจะตายชัก เดินสั่นออกมาด้วยความหนาว กว่าจะตากผ้าแห้งได้ก็เป็นชั่วโมง สมน้ำหน้าตัวเองจริง ๆ..!"

เถรี
20-02-2011, 01:37
"ถ้าหากเราแพ้รูป แพ้รส แพ้กลิ่น แพ้เสียง แพ้สัมผัส ตัวไหนก็ตาม ต้องพยายามสู้จนกว่าจะเอาชนะให้ได้ แต่การที่เราจะสู้จนชนะได้ บางอย่างก็อันตรายเกินไป อย่างเราแพ้รูปจะสู้ให้ชนะก็แปลว่า เราต้องไปประจัญกับเพศตรงข้าม ซึ่งไม่รู้ว่าแพ้กันมากี่แสนชาติแล้ว โอกาสที่จะไปลุ้นแทบจะไม่มีเลย เพราะฉะนั้น..เลี่ยงได้ก็เลี่ยงไปก่อน คนไหนที่พอคิดว่าสู้แล้วไม่อันตรายมาก ค่อยไปทดลองดู

อย่างตอนนั้นอาตมาแพ้เสียงคุณวงจันทร์ ไพโรจน์ ก็เอามาเปิดฟัง แพ้เสียงคุณลัดดา ประวัติวงศ์ ก็เอามาเปิดฟัง ตอนหลังมีคุณสุนทรี เวชานนท์เพิ่มมาอีกคน ตายละวา...นึกว่ารอดแล้ว ยังมีโผล่มาอีก

ฟังจนใจไม่ไหลตามเพลงได้ บางทีก็นั่งร้องเพลงเองเลย ร้องเพลงแล้วสังเกตใจว่าไหลตามเพลงไปหรือไม่ ? มีอารมณ์คล้อยตามไปหรือไม่ ? ยังคิดยังชอบ ยังจินตนาการปรุงแต่งตามเพลงไปเรื่อยหรือเปล่า ? จนกระทั่งมั่นใจว่าสู้ได้แล้วแน่ ๆ อาตมาจึงได้เลิกฟัง

เรื่องพวกนี้บางทีขึ้นอยู่กับการฝึกหัดของพวกเราเอง เพราะความอยากดีจริง ๆ ในเมื่อเราแพ้สิ่งนี้เราก็ต้องชนะให้ได้ นี่เป็นมานะอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่เป็นมานะในด้านที่ดี เป็นความพอใจในการปฏิบัติธรรม เราต้องสู้ให้ได้ ถ้ายังสู้ไม่ได้ ไม่เลิกเด็ดขาด"

เถรี
20-02-2011, 01:39
ถาม : ฟังเพลงบางทีเหมือนกับเป็นสมาธิ ฟังวนอยู่เพลงเดียว
ตอบ : เป็นสมาธิเหมือนกัน แต่เป็นมิจฉาสมาธิ คือไปทำให้เรายึดติดและปรุงแต่ง

สมาธิ มีทั้งสัมมาสมาธิ (สมาธิในทางถูกต้อง) สามารถลด ละ เลิก ในนิวรณ์ โดยเฉพาะกามนิวรณ์ได้ และมิจฉาสมาธิ สร้างสมาธิเกิดขึ้นมาจากกิเลสเหล่านี้

เถรี
20-02-2011, 01:40
:msn_smilies-22: เก็บตกเดือนนี้หมดแล้วค่ะ :msn_smilies-22: