PDA

View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๔


เถรี
25-01-2011, 20:42
ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่ถนัดของตน ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ที่เราชอบใจ

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติธรรมประจำต้นเดือนมกราคมวันที่สองของพวกเรา ตามที่คุณหมอนพพร (พ.อ. น.พ.นพพร กลั่นสุภา) ได้แจ้งให้พวกเราทราบว่า จะมีการสร้างพระรูปสมเด็จองค์ปฐม เพื่อนำไปประดิษฐานที่บนพระบรมธาตุดอยตุง

อยากจะบอกกล่าวกับพวกเราว่า ตามที่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงมานั้น หลวงพ่อย้ำอยู่เสมอว่า พุทธานุสติพาเราเข้าสู่พระนิพพานได้ง่ายที่สุด เนื่องจากว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่ได้อยู่ในที่แห่งใดเลยนอกจากพระนิพพาน

การที่เราได้เห็นพระองค์ท่านในที่ต่าง ๆ นั้น นั่นเป็นฉัพพรรณรังสีที่พระองค์ท่านเปล่งไปแทนพระองค์ท่านเอง เหมือนกับพระองค์ท่านเสด็จไปยังที่นั้น ๆ แต่พระวรกายที่แท้จริงก็อยู่บนพระนิพพาน

ดังนั้น..ท่านใดก็ตามที่ปฏิบัติ ถ้ายังไม่มั่นใจตนเองว่าจะใช้กรรมฐานกองใด ก็ให้ใช้อานาปานุสติ คือการระลึกถึงลมหายใจเข้าออกควบกับ พุทธานุสติ คือนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

โดยการใช้คำภาวนาว่า พุทโธก็ดี นะมะพะธะก็ดี สัมมาอะระหังก็ดี หรือบางท่านอาจจะภาวนาอิติปิโสฯ ทั้งบทเลยก็ได้ การที่เรายึดพุทธานุสติเป็นที่พึ่งนั้น ถ้าหากว่ากำลังใจของเรามั่นคงอย่างแท้จริง เมื่อเราเสียชีวิตลงไป เราจะได้ไปสุคติอย่างแน่นอน

แต่ถ้ากำลังใจเราไม่มั่นคง อำนาจของพุทธานุสติก็ยังคงตามส่ง ให้เราเกิดไม่พ้นไปจากเขตของพระพุทธศาสนา และถึงกำลังใจจะแย่มาก ๆ ก็จะได้เป็นอย่าง มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร

เถรี
26-01-2011, 16:38
ในอดีตชาติ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเคยสร้างพระพุทธรูปเอาไว้ มาในชาติปัจจุบันนี้ ท่านไม่เคยสร้างความดีใด ๆ ในทาน ศีล ภาวนามาก่อนเลย เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยใกล้จะตาย ผู้เป็นพ่อก็นำไปทิ้งไว้ที่ระเบียงบ้าน

องค์สมเด็จพระภควันต์เสด็จผ่านมาบิณฑบาต ฉัพพรรณรังสีของพระองค์ท่านกระทบไปถึง มัฏฐกุณฑลีเห็นเข้าก็เกิดความรู้สึกว่า "โอ้หนอ.. ใคร ๆ เขาลือกันว่า พระสมณโคดมมีความสามารถเหลือเกิน ถ้าพระองค์ท่านได้มารักษาเรา ก็คงจะหายจากโรคที่เป็นอยู่" จิตน้อมนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพเพียงแค่นี้ แล้วก็สิ้นชีวิต

ทำให้กรรมต่าง ๆ ที่ทำมาตั้งแต่ต้นนั้น โดนอุปฆาตกรรมฝ่ายกุศลตัดทิ้งจนหมด เหลือแต่บุญกุศลในพุทธานุสติ ส่งผลให้ท่านไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก และยังมีโอกาสที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ได้เสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดา ทำให้ท่านได้ฟังอุณหิสวิชยสูตรกลายเป็นพระโสดาบัน พ้นจากอบายภูมิโดยสิ้นเชิง

นี่คืออำนาจของพุทธานุสติ ตั้งแต่ต่ำสุดจนสูงสุด ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงเคยกล่าวไว้ว่า พูดเท่าไรก็ไม่จบ หรือเรียกว่า ฝอยท่วมหลังช้างก็ไม่จบ

ในเมื่อเรามีโอกาสที่จะได้สร้างรูปเปรียบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะพระบรมรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมนั้น เป็นอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่มหาศาลที่สุด

พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ได้กล่าวเอาไว้ว่า การสร้างรูปสมเด็จองค์ปฐมนั้น แม้แต่พระพุทธเจ้าทุกองค์ก็ยังพลอยยินดีและโมทนาด้วย อานิสงส์อันยิ่งใหญ่นี้ ถ้าเราไม่ได้ทำอนันตริยกรรมทั้ง ๕ คือ เว้นเสียจากการฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภท คือยุสงฆ์ให้แตกกันแล้ว

พระยายมราชก็จะช่วยพยายามประคับประคองกำลังใจของเรา ให้เกาะอยู่ในด้านดีก่อนตาย เพื่อที่จะได้ไปเสวยบุญกุศลอันยิ่งใหญ่นี้ก่อน

เถรี
27-01-2011, 14:50
เราจึงได้เห็นว่า ที่องค์สมเด็จพระชินวรทรงตรัสไว้ว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณไม่ได้ นั้นเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าเราได้สร้างพระรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมแล้ว จิตใจของเรายึดเกาะอยู่ตลอดเวลา

เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิต จิตเราไม่นิยมยินดีในร่างกาย ไม่ปรารถนาการเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้อีก ตั้งใจว่าถ้าเราตายลงไป ขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียว ถ้าใจของท่านสามารถตัดได้เด็ดขาดอย่างนี้ ท่านก็จะหลุดพ้นไปพระนิพพานได้

ขณะเดียวกัน บุญกุศลที่ท่านทำนั้น ก่อนที่ท่านจะสร้างพระบรมรูปสมเด็จองค์ปฐม มีความยินดี มีความปีติ เต็มอกเต็มใจที่จะทำ ในระหว่างที่มีโอกาสร่วมสร้าง ก็มีความยินดี มีความปีติเป็นอย่างยิ่ง เมื่อสร้างไปแล้ว ก็มีความยินดี มีความปีติเป็นปกติ และเมื่อระลึกถึงบุญกุศลที่ได้ร่วมสร้างพระบรมรูปของสมเด็จองค์ปฐมนี้เมื่อไร ก็เกิดความยินดี เกิดความปีติ ขึ้นเมื่อนั้น ก็แปลว่า ท่านได้สร้างกุศลในพุทธานุสติอันยิ่งใหญ่ ยากที่จะหาสิ่งใดเปรียบปานได้

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกองบุญการกุศล ซึ่งเราทุกคนมีโอกาสน้อยนักที่จะได้สร้าง ก่อนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงของเรา จะเปิดเผยถึงพระนามขององค์สมเด็จพระปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราไม่เคยมีใครรู้จักพระองค์ท่านมาก่อนเลย แต่เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อนำมาเปิดเผยให้พวกเรารู้จัก เหมือนกับชักนำให้พวกเรารู้จักกับพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม ก็ได้รับการสร้างเป็นจำนวนมากต่อมากด้วยกัน หลายต่อหลายวัดไม่ได้สร้างเพียงพระองค์เดียว แต่ว่าสร้างหลาย ๆ พระองค์ เพียงแต่ว่าการสร้างนั้น บางทีวัตถุประสงค์ในการสร้างก็แตกต่างกันไป

เถรี
28-01-2011, 09:55
การที่เราจะได้ร่วมสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมในครั้งนี้ เป็นการสร้างเสริมกุศลบารมีของเราให้รวมตัวกัน อันดับแรก ก็คือ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองและความสามัคคีของประเทศชาติ

อันดับที่สอง ก็คือ การสร้างบุญกุศลในเรื่องของพุทธานุสติ เพื่อเป็นที่ยึด ที่เกาะ ที่นำทางเราไปสู่ความหลุดพ้น อันดับที่สาม ก็คือ เป็นการเร่งรัดผลบุญของเราให้มารวมตัว เพื่อหวังความหลุดพ้นอย่างจริงจังในชาติปัจจุบันนี้ ไม่ต้องไปรอโอกาสในกาลข้างหน้า

ดังนั้น...เราทั้งหลายจะเห็นว่า พุทธานุสตินั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าถึงพระนิพพานได้ง่ายอย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้ว่าไว้จริง ๆ ในการปฏิบัติของเรา เราจึงควรยึดอานาปานุสติ คือลมหายใจเข้าออก เพื่อสร้างกำลังสมาธิให้ทรงตัว มีกำลังในการช่วยตัดกิเลส

และขณะเดียวกันก็ให้ยึดพุทธานุสติเป็นหลัก โดยเฉพาะการยึดพุทธานุสติในการที่ได้สร้างสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องปลื้มใจ เป็นเครื่องยินดีของพวกเรา

บรรดาลูก ๆ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ได้มีโอกาสหล่อสมเด็จองค์ปฐมองค์แรก ซึ่งปัจจุบันก็คือองค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่วิหารสมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุงนั้น ทุกคนรู้ดีว่าตนเองมีความปลาบปลื้มขนาดไหน นึกถึงเมื่อไรก็รู้สึกว่าบุญกุศลนั้น ยังอิ่มเอมเต็มใจของตนเองอยู่ตลอดเวลา

นึกถึงเมื่อไรก็มีความมั่นใจว่า ชีวิตนี้เราตายลงไปเมื่อไร เราไม่พลาดลงสู่อบายภูมิแน่ เพราะว่าเราไม่ได้ประกอบอนันตอริยกรรม ๕ ตายลงไปเมื่อไร โอกาสที่เราไปพระนิพพานมีเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ถ้าเรายิ่งสามารถตัดกิเลสเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปได้ โอกาสที่เราจะเวียนว่ายตายเกิดก็เหลือน้อยเต็มที ส่วนใหญ่ก็จะรวบรัดตัดตรงเข้าสู่พระนิพพานไปเลย

ดังนั้น..วันนี้ขอให้พวกเรายึดลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจอยู่ ให้กำหนดรู้ลมหายใจไป ถ้ายังมีคำภาวนาในพุทธานุสติใด ๆ ที่เรายึดอยู่ ก็ให้กำหนดรู้คำภาวนาควบคู่กันไป

ถ้าหากว่าลมหายใจหายไป หรือคำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดใจรู้อยู่อย่างเดียว อย่าอยากให้ลมหายใจกลับมา ขณะเดียวกันก็อย่ากลัวว่าลมหายใจจะหายไป ให้กำหนดความรู้สึกรู้ตามไปดังนี้ จนกว่าจะได้รับสัญญานบอกว่าหมดเวลา

พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๔