PDA

View Full Version : หมายังมีชีวิตอยู่ มันโมทนาได้หรือ?


ลัก...ยิ้ม
11-11-2010, 14:02
หมายังมีชีวิตอยู่ มันโมทนาได้หรือ?

ที่มาหรือต้นเหตุของธรรมจุดนี้เกิดจาก หลวงปู่วัย จัตตาลโย ท่านเตือนแม่ชี ชอ.ช้าง ความว่า

๑. “จงอย่าประมาทในความตาย หมายความว่าขณะนี้ร่างกายมันเจ็บป่วยอยู่ กายมันจะพังเมื่อไหร่ก็ได้ ทำไมจึงไม่เอาจิตเกาะพระธรรม อันเป็นนิพพานสมบัติ”

๒. “ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องเห็นว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่มีค่าเหนือยิ่งกว่าพระธรรมหรือนิพพานสมบัติ และนิพพานสมบัตินี้จะไม่เกิดกับผู้มีความประมาทได้เลย”

๓. “อย่าลืม สุดยอดของพระไตรปิฏกก็คือ ความไม่ประมาท ๘๔,๐๐๐ บทที่พระองค์ตรัสสอนไว้ ย่อแล้วเหลือประโยคเดียว คือ จงอย่าประมาทนั่นเอง”

๔. “ผู้ที่ร่วมไปกับแม่ชี ชอ.ช้าง เกิดสงสัยว่า หมาที่ยังมีชีวิตอยู่ มันโมทนาได้หรือ? หลวงปู่ท่านก็สอนว่า “เอ็งนี่มันดูถูกหมาเกินไป อาศัยพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณ ทำไมมันจะโมทนาไม่ได้ หมาวัดท่าซุงโมทนาได้อย่างไร หมาวัดหลวงปู่ก็โมทนาได้อย่างนั้น”

ลัก...ยิ้ม
12-11-2010, 08:44
ในคืนวันนั้น สมเด็จองค์ปฐมก็ทรงพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ ดังนี้

๑. “การที่เจ้าสงสัยว่า สุนัขจักโมทนาผลบุญได้หรือไม่นั้น เท่ากับเจ้าสงสัยในอานุภาพของพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณด้วย” (เพื่อนผมก็กราบขอขมาพระองค์ท่าน) แล้วทรงตรัสว่า “อย่างนี้เรียกว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เจ้าดูสภาพกายในของสุนัขตัวนี้สิ” ทรงพระเมตตาให้เห็นภาพเทวดาที่มีเครื่องประดับแพรวพราวทั้งตัว ยืนพนมมือซ้อนภาพสุนัขอยู่

๒. ทรงตรัสว่า “สัตว์เดรัจฉานมิใช่สัตว์ในมหานรก ถ้าหากผู้ทำบุญทำกุศลมีความฉลาด ในการขอพึ่งบารมีพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณ เป็นสื่อการอุทิศผลบุญกุศลนั้นให้แก่สัตว์เดรัจฉาน ก็ย่อมทำได้ และมีผลที่สัตว์เดรัจฉานตัวนั้นจักโมทนาได้”

๓. “แม้การสื่อภาษาจิต โดยอาศัยพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโน โดยผ่านภาษาสมมุติในคนและสัตว์เดรัจฉานก็ย่อมทำได้ เพราะภาษาจิตเป็นภาษาหลัก สื่อจิตถึงจิตได้โดยไม่ติดภาษาสมมุติ และไม่ติดกายสมมุติอันเป็นกฎของกรรมที่จิตแต่ละดวงไปจุติติดอยู่ตามนั้น”

๔. “การอาศัยพึ่งบารมีพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณ ซึ่งวิมุติแล้ว ธรรมสมมุติก็ไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางได้แต่ประการใด แต่ทุกประการจักต้องไม่พ้น คือ เกินวิสัยกฎของกรรม จึงจักช่วยได้”

๕. “กฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอและให้ผลไม่ผิดตัวด้วย เมื่อพวกเจ้าเข้ามาในเขตพระพุทธศาสนาแล้ว จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม กฎของกรรมแต่อดีตชาติที่จักส่งผลกระทบร่างกายนี้ มันยังตามมาอีกมาก ไม่ว่าจักเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม กฎของกรรมย่อมเที่ยงอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น จงอย่าประมาทในกรรม อย่าสร้างกรรมใหม่อันเป็นอกุศลให้เกิดทางกาย วาจา ใจ ให้ระมัดระวังจิต อย่าหวั่นไหวในผลของกรรมเก่าที่จักส่งผลสนองมาในปัจจุบัน”

ลัก...ยิ้ม
15-11-2010, 10:25
๖. “โลกธรรม ๘ ที่เกิดขึ้นแก่จิตของพวกเจ้าได้ เพราะเป็นผลกรรมที่พวกเจ้าล้วนกระทำเอาไว้เอง สิ่งเหล่านี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ หนีอย่างไรก็ไม่พ้น ขอให้พวกเจ้าจงทำใจหรือเตรียมใจเอาไว้เสมอ ให้ยอมรับผลของกฎแห่งกรรมนั้น”

๗. “อย่าโวยวาย มีกรรมอันใดเกิด จงนำมาพิจารณาให้เห็นกรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ทุกอย่างเป็นทุกข์ เพราะการกระทำของเราเองมาแต่อดีตทั้งสิ้น ไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ นี่เป็นเหตุให้พวกเจ้าได้เข้าใจถึงอริยสัจให้ลึกซึ้งยิ่ง ๆ ขึ้น โดยอาศัยการไตร่ตรองพิจารณาถึงกฎของกรรมนี้”

๘. “แม้แต่การมีร่างกายก็เป็นผลจากกฎของกรรม ต้นเหตุของกรรมมาจากความทะยานอยาก อยากมีร่างกายโดยอาศัยจิตมีตัณหา ๓ ประการ พวกเจ้าจึงต้องทุกข์เพราะกรรมของร่างกาย คือ ธาตุ ๔ พร่องอยู่เป็นนิจ สร้างความไม่สบายกาย ไม่สบายใจให้แก่จิตที่อาศัยอยู่ตลอดเวลา นี่ก็เป็นอริยสัจ มีทุกข์เพราะการกระทำของจิตที่ติดตัณหา จึงเป็นเหตุให้มีร่างกายที่มีแต่ความทุกข์ คือ ความไม่เที่ยงแฝงเร้นอยู่ตลอดเวลา”

๙. “อยากพ้นไปเสียจากสภาวะกฎแห่งกรรม อยากพ้นทุกข์ของการมีร่างกาย กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ตถาคตเจ้าทั้งหลายตรัสไว้ดีแล้ว ให้กำหนดรู้ถึงเหตุแห่งกรรมนั้น และดับซึ่งต้นเหตุแห่งกรรมนั้น จึงจักพ้นกฏแห่งกรรมนั้นได้”

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com