ลัก...ยิ้ม
11-08-2010, 10:28
การพึ่งตนเองด้วยปัญญา
กับการตัดกรรมของพระฉันนะ
ในวันเดียวกันนั้นเพื่อนของผมท่านมีปัญหาคาใจ แต่ไม่กล้าทูลถามพระพุทธองค์ สมเด็จองค์ปฐม ก็ทรงเมตตามาตรัสสอนว่า
๑. “แค่เจ้าคิดตถาคตก็รู้แล้ว จักต้องพูดเพื่อประโยชน์อันใด ไม่มีการตรัสพยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องของท่านฤๅษีต่อไปอีก ให้เจ้ารู้อยู่แต่ในธรรมปัจจุบัน เจ้าพึงศึกษาและเรียนรู้เข้าไว้ เพื่อจักทำให้อารมณ์จิตเป็นสุข”
๒. “ธรรมนี้เพื่อช่วยอารมณ์จิตของเจ้าเอง เหมือนอย่างกับที่องค์สมเด็จปัจจุบัน ทรงตัดกรรมให้กับพระฉันนะ ให้ละจากธรรมในอดีตที่เป็นสหชาติกับพระองค์ลงเสีย ให้ละจากธรรมอนาคตทั้งหมดที่มุ่งหวังจากพระทุกองค์ ในความเกื้อกูลเนื่องด้วยความเป็นสหชาตินั้น พระฉันนะยึดอดีตไม่ได้ เพราะขันธ์ ๕ ขององค์สมเด็จพระจอมไตรทรงปรินิพพานไปแล้ว จักยึดอนาคตเพื่อพึ่งใครก็ไม่ได้ เพราะถูกสั่งลงพรหมทัณฑ์ คือ อยู่แต่ผู้เดียว จึงอยู่กับธรรมปัจจุบันอันเดียวดายนั้น เป็นการบีบบังคับให้พระฉันนะต้องพึ่งตนเอง”
๓. “การคิดและพิจารณาธรรมอยู่ในปัจจุบันนั้น คือ การพึ่งตนเองด้วยปัญญา โดยยึดอริยสัจ คือ ทุกขสัจเป็นที่ตั้ง ในที่สุดพระฉันนะก็จบกิจได้ด้วยธรรมปัจจุบันนั้น เห็นสภาพความเป็นจริงของขันธ์ ๕ ที่เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ยึดถืออะไรไม่ได้ เห็นสภาพความเป็นจริงของกิเลสที่เป็นเจ้านาย ครอบงำอารมณ์ของจิตที่ทำให้ตกเป็นทาสของมัน ทำให้จิตเคลื่อนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อพิจารณาถึงที่สุดพระฉันนะก็หมดทุกข์ เห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรอยู่ที่พระนิพพานอย่างชัดเจน ดังนั้นเมื่อบรรลุถึงธรรมวิมุติแล้ว พระฉันนะก็คิดถึงคุณและโทษของการอยู่ว่า จักมีประโยชน์หรือไม่ เมื่อเห็นว่าเป็นโทษก็ยอมละทิ้งขันธ์ ๕ เพื่อไปนิพพานดังกล่าว ตถาคตจักถามเจ้าดูว่า พระฉันนะฆ่าตัวตาย เพราะอาลัยในขันธ์ ๕ หรือไม่” (ก็ตอบว่า ไม่อาลัย)
๔. “ใช่ เพราะท่านหมดอารมณ์ที่จักอาลัยแล้ว ต่างกับคนที่ฆ่าตัวตายเพราะมีอารมณ์ไม่รักก็ชัง จึงไม่พ้นทุกข์ ตถาคตยกเรื่องนี้ให้เจ้าได้คิดพิจารณา พระที่ท่านได้พระอรหัตผล เพราะตัดความรักอาลัยในขันธ์ ๕ หมดจากอารมณ์เบียดเบียนกายและจิตแล้วจึงพ้นทุกข์ ขอให้เจ้าศึกษาธรรมในปัจจุบันให้ดี ๆ ละจากธรรมที่เป็นอดีตและอนาคตเสีย”
กับการตัดกรรมของพระฉันนะ
ในวันเดียวกันนั้นเพื่อนของผมท่านมีปัญหาคาใจ แต่ไม่กล้าทูลถามพระพุทธองค์ สมเด็จองค์ปฐม ก็ทรงเมตตามาตรัสสอนว่า
๑. “แค่เจ้าคิดตถาคตก็รู้แล้ว จักต้องพูดเพื่อประโยชน์อันใด ไม่มีการตรัสพยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องของท่านฤๅษีต่อไปอีก ให้เจ้ารู้อยู่แต่ในธรรมปัจจุบัน เจ้าพึงศึกษาและเรียนรู้เข้าไว้ เพื่อจักทำให้อารมณ์จิตเป็นสุข”
๒. “ธรรมนี้เพื่อช่วยอารมณ์จิตของเจ้าเอง เหมือนอย่างกับที่องค์สมเด็จปัจจุบัน ทรงตัดกรรมให้กับพระฉันนะ ให้ละจากธรรมในอดีตที่เป็นสหชาติกับพระองค์ลงเสีย ให้ละจากธรรมอนาคตทั้งหมดที่มุ่งหวังจากพระทุกองค์ ในความเกื้อกูลเนื่องด้วยความเป็นสหชาตินั้น พระฉันนะยึดอดีตไม่ได้ เพราะขันธ์ ๕ ขององค์สมเด็จพระจอมไตรทรงปรินิพพานไปแล้ว จักยึดอนาคตเพื่อพึ่งใครก็ไม่ได้ เพราะถูกสั่งลงพรหมทัณฑ์ คือ อยู่แต่ผู้เดียว จึงอยู่กับธรรมปัจจุบันอันเดียวดายนั้น เป็นการบีบบังคับให้พระฉันนะต้องพึ่งตนเอง”
๓. “การคิดและพิจารณาธรรมอยู่ในปัจจุบันนั้น คือ การพึ่งตนเองด้วยปัญญา โดยยึดอริยสัจ คือ ทุกขสัจเป็นที่ตั้ง ในที่สุดพระฉันนะก็จบกิจได้ด้วยธรรมปัจจุบันนั้น เห็นสภาพความเป็นจริงของขันธ์ ๕ ที่เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ยึดถืออะไรไม่ได้ เห็นสภาพความเป็นจริงของกิเลสที่เป็นเจ้านาย ครอบงำอารมณ์ของจิตที่ทำให้ตกเป็นทาสของมัน ทำให้จิตเคลื่อนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อพิจารณาถึงที่สุดพระฉันนะก็หมดทุกข์ เห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรอยู่ที่พระนิพพานอย่างชัดเจน ดังนั้นเมื่อบรรลุถึงธรรมวิมุติแล้ว พระฉันนะก็คิดถึงคุณและโทษของการอยู่ว่า จักมีประโยชน์หรือไม่ เมื่อเห็นว่าเป็นโทษก็ยอมละทิ้งขันธ์ ๕ เพื่อไปนิพพานดังกล่าว ตถาคตจักถามเจ้าดูว่า พระฉันนะฆ่าตัวตาย เพราะอาลัยในขันธ์ ๕ หรือไม่” (ก็ตอบว่า ไม่อาลัย)
๔. “ใช่ เพราะท่านหมดอารมณ์ที่จักอาลัยแล้ว ต่างกับคนที่ฆ่าตัวตายเพราะมีอารมณ์ไม่รักก็ชัง จึงไม่พ้นทุกข์ ตถาคตยกเรื่องนี้ให้เจ้าได้คิดพิจารณา พระที่ท่านได้พระอรหัตผล เพราะตัดความรักอาลัยในขันธ์ ๕ หมดจากอารมณ์เบียดเบียนกายและจิตแล้วจึงพ้นทุกข์ ขอให้เจ้าศึกษาธรรมในปัจจุบันให้ดี ๆ ละจากธรรมที่เป็นอดีตและอนาคตเสีย”