PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๓


เถรี
02-08-2010, 15:15
ถาม : เวลานั่งสมาธิแล้วจะมีอาการประหลาด ๆ อย่างตอนเลื่อนฌานขึ้นไป จะคล้าย ๆ กับว่าเราเผลอ แล้วก็จะมีภาพแปลก ๆ บางทีก็เป็นภาพสะพาน บางทีก็เป็นภาพคนกำลังสู้กับสัตว์ประหลาด แต่ถ้าเราไม่สนใจมองภาพแล้วก็ภาวนาไป ก็จะล่วงข้ามไปฌานต่อไปได้ค่ะ แต่ถ้าเราไปรู้สึกว่ากำลังฟุ้งซ่านแล้ว มีการตกใจ แล้วดึงกลับมาที่ลมหายใจ ก็จะคาอยู่ที่เดิม จะไม่ไปต่อค่ะ
ตอบ : นั่นเท่ากับถอยหลังเสียด้วยซ้ำ

ถาม : แล้วภาพนั้นคืออะไรหรือคะ จะว่าฟุ้งซ่านก็ไม่ใช่ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก นั่นเป็นนิมิต ถ้าเราไปให้ความสนใจมารเขาก็ขวางเราได้สำเร็จ ถ้าเราไม่ให้ความสนใจ มารเขาขวางไม่ได้ เราก็ไปต่อ ถือเป็นเรื่องปกติ

ถาม : หนูก็นึกว่าเป็นการฟุ้งซ่าน ยังสงสัยว่าทำไมข้ามไปได้ ก็เลยไม่เข้าใจค่ะ
ตอบ : ซ้อมการทรงฌานให้คล่องกว่านี้ ประเภทว่าจะข้ามชั้นจะลดชั้นเมื่อไร ต้องให้ได้อย่างใจเรานึกเลย แล้วช่องว่างระหว่างนั้นไม่มี ภาพจะปรากฏไม่ทัน แต่ถ้าหากว่าเรายังเข้าฌานออกฌานช้าอยู่ ยังต้องรอระยะเวลาอยู่ ภาพพวกนี้ก็จะแทรกได้

ถาม : ทำอย่างไรถึงพวกนี้จะไม่เกิดขึ้น ?
ตอบ : ซ้อมใหม่ เข้าฌานออกฌาน ขึ้น ๆ ลง ๆ...ลง ๆ ขึ้น ๆ เอาให้คล่องชนิดนึกเมื่อไรต้องได้เมื่อนั้น

เถรี
02-08-2010, 15:25
ถาม : ปกติถ้าออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ต้องเป็นฌาน ๔ เท่านั้นหรือเปล่าคะ เป็นฌาน ๓ ปลาย ๆ ได้หรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นฌาน ๔ อย่างเดียว แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคนเราจะเข้าใจผิด การฝึกมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลัง ถ้าไปได้ก็เป็นฌาน ๔ ส่วนครึ่งกำลังที่ว่าเป็นแค่ตอนที่เป็นอุปจารสมาธิ แล้วทิพจักขุญาณเกิดขึ้นเท่านั้น

ถ้าหากว่าเราเห็นภาพก็เป็นอุปจารสมาธิ แต่ถ้าเรากำหนดจิตไปถึงตรงนั้นได้ นั่นเป็นกำลังของฌาน ๔ แล้ว แต่ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ได้บอก เพราะกลัวว่าลูกศิษย์จะไปฟุ้งซ่านอยู่ตรงนั้น

เพราะฉะนั้นเราจะสังเกตได้ว่า คนที่ฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังแล้ว ถ้าไปฝึกเต็มกำลัง มักจะไม่ค่อยได้อะไรกับใคร คำว่าไม่ค่อยได้อะไรกับใครก็คือว่า แยกแยะความแตกต่างไม่ออก

ความแตกต่างจะอยู่ตรงที่ว่า พอไปฝึกเต็มกำลังความคล่องตัวมีมากขึ้นนิดหน่อย ความชัดเจนมีมากขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น เพราะว่าการไปครึ่งกำลังก็คือฌาน ๔ เหมือนกันจนชินแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องต่อรองให้เป็นฌาน ๓ หรอกจ้ะ เพราะที่จริงก็เป็นฌาน ๔ นั่นแหละ

ถาม : แต่ว่าพอตัวเองถึงจุดนั้น ก็จะเด้งออกไปทุกทีเลยค่ะ
ตอบ : ก็ไปสิ ใครเขาห้ามเล่า ?

ถาม : เห็นบอกว่าจะมีการทรงสมาธิสูงสุด แล้วเลื่อนออกมาพิจารณา
ตอบ : อันนั้นเสียเวลา ไม่ทันกิน ไม่ทันพิจารณาเขาก็ออกไปกันแล้ว

ถาม : หนูก็ถอยออกมาพิจารณาไม่ได้นะสิคะ เพราะเด้งออกไปแล้ว
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้อง เราก็พิจารณาตอนเด้งออกไปแล้วว่า ร่างกายไม่ใช่ของเราจริง ๆ เป็นคนละตัวกันเลย

เถรี
02-08-2010, 15:33
ถาม : เวลาที่ออกไปส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าสติจะน้อยลง มักจะทรงอยู่ได้ไม่นาน แสดงว่าสมาธิน้อยไปใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช้วิธีที่อาตมาเคยทำ ไปสวดมนต์ถวายพระท่านเยอะ ๆ ให้ใจเราผูกอยู่บนพระนิพพานตรงนั้นว่า ถ้าสวดยังไม่จบเราจะไม่เลิก พอมีงานก็จะอยู่ตรงนั้นไปได้เรื่อย ๆ

ความจริงกำลังจิตของเรายังหยาบอยู่ ไม่ใช่กำลังของพระอริยเจ้าอย่างแท้จริง จึงยังไม่ชินกับพระนิพพานหรือระดับภพภูมิสูง ๆ เพราะฉะนั้นเวลาเราไปก็เหมือนกับไม่เคยชิน เหมือนจะโดนยันกลับอยู่ตลอดเวลา ต้องใช้กำลังไปต้านอยู่

คราวนี้ถ้าจิตมีงาน..ก็จะอยู่ได้ ถ้าไม่มีงาน..ไม่ทันรู้ตัวเราก็ลงมาแล้ว ใครที่ไปแล้วกลัวกลับไม่ได้ ขอประกันว่ากลับทุกรายแหละ เลิกกลัวได้แล้ว ประเภทกลัวว่าไปแล้วกลับไม่ได้ เพราะไม่ทันคิดจะกลับเราก็ลงมาเองแล้ว..!

ถาม : เวลาไปปกติหนูจะจับภาพพระ แล้วก็ไป แต่ทีนี้หนูจะไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนกันแน่
ตอบ : ให้รู้ว่าตรงหน้าเรามีพระก็ใช้ได้ ไม่ต้องไปสนใจว่าตรงไหน ตีขลุมไปเลยว่าพระท่านอยู่นิพพาน

ถาม : คนที่เขาอยู่โคตรภูญาณนี่เขาถอยได้ไหมคะ ?
ตอบ : โคตรภูญาณจะไม่มีการถอยแล้วจ้ะ ถ้าไม่คาอยู่กับที่ก็บุกขึ้นหน้าอย่างเดียว

กำลังใจที่รักในนิพพานจะไม่ถอยแล้ว รู้จักของดีที่สุดแล้วเรื่องอะไรจะถอยไปเอากรวดเอาทราย เขาก็มุ่งไปหาโคตรเพชรกันทั้งนั้น

ถาม : แล้วถ้าบังเอิญตายก่อนก็ไม่มีสิทธิ์ลงนรกแล้วหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ไม่มีสิทธิ์ เผลอคิดก็ไปเหมือนกัน เรื่องของนรกนี่ประมาทไม่ได้ เราชำนาญมาเยอะ ทางนรกนี่ถางเตียนโล่งสำหรับเราเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าประมาทจะลงเอาง่าย ๆ

เถรี
02-08-2010, 15:36
ถาม : เปลี่ยนรถใหม่ค่ะ เพราะคันเก่าซ่อมไม่ไหว ขายแล้วซื้อคันใหม่
ตอบ : ขายเป็นเศษเหล็กไปเถอะ เพราะถ้าอยู่กับเราก็ต้องเสียค่าต่อทะเบียน

อย่าไปยึดติดผูกพันอะไรมากมาย ถ้าขนาดของใช้ยังยึดติดผูกพันอยู่ อย่างอื่นก็จะไปไม่รอด ถือว่าเอาของใหม่มา ของเก่าก็หมุนเวียน เข้าสู่กลไกของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะถ้าหมดสภาพแล้วก็อนัตตาแน่ ๆ

เถรี
02-08-2010, 16:11
ถาม : ถ้าจะให้มาอยู่กับสติเฉพาะหน้า หนูรู้สึกว่ายากมาก เพราะว่าบางครั้งจะต้องใช้กำลังสมาธิสูงสำหรับข่มไว้ เรารู้ว่าท้ายที่สุดแล้วไม่ว่ากรรมฐานกองไหน หรือวิปัสสนาญาณอย่างไร ก็ต้องมาลงตรงนี้ คืออารมณ์เฉพาะหน้าจริง ๆ

พอรู้ว่าอะไรจะเข้ามา ก็จะเป็นการตัดไปเลย ตัด..ตัด..ตัด ยิ่งนานเข้า สังเกตว่ายิ่งตัดบ่อย ๆ ก็จะตัดเร็วขึ้น ท้ายสุดแล้วก็จะไปหยุดกิเลสตรงนั้น จะไปดับกิเลสตรงนั้น หยุดการปรุงแต่งของกิเลส
ตอบ : ถูกต้องตรงเป๊ะเลย ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ

ถาม : แต่ก็ยากเพราะจิตมีการดิ้นรน มีการส่าย
ตอบ : พอเผลอก็หลุดจากตรงนั้นไปด้วย

ถาม : ใช่ค่ะ เรารู้ว่าท้ายสุดแล้วการปฏิบัติจะต้องไปลงตรงนี้ พอเรารู้จิตก็ยิ่งดิ้นไปใหญ่
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้าตอนไหนที่กำลังของเราดีกว่าก็ไปจ่ออยู่ตรงนั้น ทำแต้มของเราไปเรื่อย ถ้าตอนไหนความฟุ้งซ่านมีกำลังกว่า ดิ้นไปทางอื่นได้ ก็ปล่อยไป

อย่างน้อยเราชนะสัก ๕ : ๔ ก็ยังดี เพราะอย่างไรเราก็ชนะ ดูอย่างสเปนชนะ ๑ :๐ มาเกือบทุกนัด เขาก็ยังได้แชมป์ จะเห็นว่าสเปนไม่ได้เอาแต้มเยอะเลย

ถาม : เรารู้กระทั่งว่า ถ้าเราจะคิดต่อหรือฟุ้งซ่านต่อไป ผลจะไปเกิดเป็นอะไร และรู้ว่าการคิดนั้นเกิดจากอะไร จะรู้เหตุรู้ผลไปเลย แล้วก็จะตัดไปเลย
ตอบ : นั่นแหละคือสิ่งที่ต้องการ เพราะว่าทันทีที่เราคิด เราจะรู้ว่าคิดด้านนี้ดีอย่างไร แล้วคิดด้านนี้เป็นโทษอย่างไร เห็นโทษแล้วเราก็จะสละส่วนที่เป็นโทษ แล้วเก็บแต่ในส่วนที่เป็นประโยชน์เท่านั้น อาตมาว่าพูดเรื่องนี้มาหลายสิบปีแล้วนี่หว่า นี่เราเพิ่งจะคลำเจอ..!

ถาม : หนูเห็นว่าบางครั้งเวลามองโลก ก็จะพลิกมุมไปเลย บางคนมองเห็นว่าสิ่งนี้เป็นโทษไร้สาระ แต่เราสามารถหยิบสิ่งนั้นเอามาเป็นสิ่งที่เป็นสาระ หรือเป็นประโยชน์ได้ หรือสิ่งที่คนอื่นเห็นเป็นสาระ....
ตอบ : เราก็เห็นโทษของสิ่งนั้นได้

ถาม : ใช่ค่ะ เหมือนกับคนที่หยิบสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเรียกว่าเป็นสิ่งสมมติมาพลิกให้เป็นอะไรก็ได้ แล้วแต่ที่เราต้องการ
ตอบ : เอ้า..สาธุ..!

ถาม : แต่ก็คิดได้พักเดียว
ตอบ : เอาน่า..อย่างน้อยก็มองเห็นแล้ว อย่างน้อยอาตมาก็จะได้รู้ว่าที่ทำมาไม่เสียเปล่า มีคนเห็นบ้างแล้ว

ถาม : บางครั้งหนูก็เห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเรา แม้กระทั่งจิตของตัวเอง หนูก็ยังเห็นละเอียดว่าไม่ใช่เรา แต่หนูก็เห็นอย่างนั้นแค่อาทิตย์เดียว
ตอบ : ได้ตั้งเยอะ ใหม่ ๆ อาตมาเห็นได้แค่แวบเดียว

ถาม : แล้วพอกำลังสมาธิเราลดลง ปัญญาเราก็ลดลงตาม
ตอบ : อย่างที่อาตมาบอกว่า คำตอบเกือบทุกอย่างอยู่ที่สมาธิ ปัญญาเป็นแค่ส่วนต่อท้ายเท่านั้น ถ้าคุณไม่แข็งแรงพอ คุณไม่สามารถจะหยิบอาวุธขึ้นมาได้หรอก แล้วก็ใช้การอะไรไม่ได้ รีบไปบรรเลงต่อ อย่างนี้ค่อยชื่นใจหน่อย

ย้อนกลับไปดูหนังสือกระโถนฯ เล่มเก่า ๆ ที่อาตมาพูดน่าจะเจอนะ บางเรื่องพูดมานานแล้ว เพียงแต่ว่าพูดไป ๆ เหมือนกับตักน้ำรดหัวตอ ถึงได้บอกว่า ไม่ได้ต้องการอะไรหรอก หัวตอไม่งอก ให้แค่เปียก ๆ ก็ยังดี นี่เห็นใบงอกขึ้นมาใบหนึ่งแล้ว ค่อยชื่นใจหน่อย

เถรี
02-08-2010, 17:38
ถาม : อ่านหนังสือเล่มนี้ไม่ค่อยเข้าใจค่ะ หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่า พระสกิทาคามีท่านพิจารณาก็เข้าถึงฌานสี่ เคยได้ยินแต่ว่าต้องทรงอนาคามี ถึงจะ..
ตอบ : สกิทาคามีตอนปลายกำลังสมาธิเท่ากับอนาคามีตอนต้นแล้ว อนาคามีต้องได้ฌานสี่เท่านั้น จะเป็นฌานสี่ที่เกิดจากการพิจารณาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นฌานสี่ที่เกิดจากนั่งสมาธิอย่างเดียว

ถาม : แล้วกำลังเท่ากันหรือเปล่า ?
ตอบ : กำลังจะสูงกว่าโสดาบัน เพราะว่าในเรื่องของราคะกับโทสะ ถ้ากำลังไม่ถึงฌานสี่เราเอาไม่อยู่ ประเภทที่เราจะต้องรั้งม้าริมหน้าผาให้หยุดก่อน แล้วหลังจากนั้นเราก็ค่อย ๆ จับ ปรับเปลี่ยนทิศทางให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น..กำลังต้องได้ระดับฌานสี่ ไม่อย่างนั้นเอาไม่อยู่ เพราะกิเลสสองตัวนี้แสบสุด ๆ

ถาม : แล้วสกิทาคามีที่ท่านบอกว่า จำเป็นต้องใช้ฌานสี่ในการใช้ปัญญาพิจารณา แล้วมีเป็นหยาบ มีละเอียดด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเป็นระดับเดียวกัน พูดง่าย ๆ ว่า ก็คือพระโสดาบันนั่นแหละ พระโสดาบันที่ทรงฌานสี่ได้ก็จะเป็นเอกพีชี เป็นสกิทาคามี หรือเป็นอนาคามีตอนต้น

ถาม : แต่ยังไม่เข้าโคตรภูหรือคะ ? เพราะว่าถ้าเป็นอนาคามีตอนต้น แต่ก็ยังละไม่ได้
ตอบ : นั่นเป็นส่วนของสกิทาคามีผล แต่ว่าจะอยู่ในส่วนของอนาคามีมรรคก็ได้ อนาคามีมรรคก็อยู่ระหว่างโคตรภูกับในส่วนของอนาคามีผล พูดง่าย ๆ ว่า พยายามทำฌานสี่ให้ได้ แล้วอะไร ๆ จะง่ายขึ้นอีกเยอะเลย

อาตมาตอนแรกก็ตั้งใจเอาแค่ปฐมฌาน หลังจากที่รบกับกิเลสมาหลายปี จนกระทั่งรู้สึกว่า ชีวิตนี้ได้แค่พระโสดาบันก็โคตรเท่แล้ว..คุ้มจริง ๆ นะ ลำบากแค่ไหนก็ตาม ถ้าเราปิดอบายภูมิได้ ก็สบายแล้ว แรก ๆ เราก็หวังแค่นี้ แต่คนได้คืบก็มักจะเอาศอก พอได้แล้วก็รุกคืบหน้าต่อไป

ถาม : ถ้าทรงฌานสี่โดยการใช้ปัญญาพิจารณามาก่อน แล้วค่อยไปเสริมในกรรมฐาน ?
ตอบ : ไม่ต้องเสริม ถ้าเป็นฌานสี่ก็พอแล้ว แต่ส่วนใหญ่พวกเราจะไม่ชำนาญในการพิจารณา ในเมื่อไม่ชำนาญแล้วโอกาสที่จะพิจารณาจนจิตเป็นฌาน เป็นวิปัสสนาลาภีบุคคลจึงหายาก ก็ต้องเป็นฌานลาภีบุคคล โดยการเอาสมาธิเข้ามาช่วย จนกระทั่งกำลังสูงพอแล้วคลายมาพิจารณา

หลวงพ่อฤๅษีท่านอธิบายไม่ผิดหรอกจ้ะ เพียงแต่ถ้าเราคลำไม่ถึงก็จะงง ๆ หน่อย

เถรี
02-08-2010, 17:51
ถาม : อภิญญาลาภีบุคคล นี่เป็นอย่างไร ?
ตอบ : คือบุคคลที่ทรงอภิญญา ได้แค่อภิญญาห้าก็เป็นอภิญญาลาภีบุคคลแล้ว

อภิญญาห้าข้อแรกอย่างไรก็พอหาได้ แต่อภิญญาข้อที่หกนั้นหายากมาก


หมายเหตุ : อภิญญาข้อที่หก คือ อาสวักขยญาณ : การทำลายอาสวะ (กิเลส) ให้หมดสิ้นไป

เถรี
02-08-2010, 20:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "พรรษานี้พระผู้ใหญ่ในสายมหานิกายถือว่าอยู่ในระดับวิกฤต อย่างหลวงพ่อวัดสระเกศก็อยู่โรงพยาบาล หลวงพ่อวัดชนะสงครามผ่าตัดเนื้องอกในตับ กลับมาแล้ว แต่ละวันก็พักผ่อนมากกว่ารับคน เพราะร่างกายยังไม่ไหว กลายเป็นว่า ผู้ที่อาวุโสสูงสุด ก็คือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ต้องรับงานหนักในตอนนี้

สมัยก่อนในวงการพระท่านเรียกแบบกันเองว่า "ปู่พุฒ ตาช่วง ลุงยม พ่อเกี่ยว" เขาเรียกกันอย่างนี้ไม่ใช่ไม่เคารพนะ แต่เรียกแบบรักสนิทเลย

ตอนนี้ปู่พุฒ (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณาราม) ท่านไปแล้ว ตอนไปอายุ ๑๐๓ ปี

ตาช่วง (สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ) อายุ ๘๗ ปี ตอนนี้รับบทหนักที่สุด

ลุงยม (สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม) อายุ ๘๕ ปี เพิ่งผ่าตัดเนื้องอกที่ตับมา กำลังพักฟื้น

พ่อเกี่ยว (สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ) อายุ ๘๓ ปี ยังอยู่โรงพยาบาล รอให้แข็งแรงกว่านี้ค่อยกลับวัด"

เถรี
03-08-2010, 00:51
พระอาจารย์บอกว่า "ความจริงมีของอยู่ชุดหนึ่ง เป็นไข่มุกสีทอง ขนาดน่าจะอยู่ราว ๆ ๑๔ ม.ม. มีอยู่ ๗ เม็ดด้วยกัน ปกติไข่มุกสีทอง จะเป็นทองเหลือบ ๆ แต่ชุดนี้เป็นสีทองค่อนข้างเข้ม มีใบประกาศนียบัตรรับรองความแท้มาพร้อมเลย

ตอนแรกว่าจะเอาไปปลดหนี้ แต่เงินสำหรับปลดหนี้วัดหนองหญ้าปล้อง น่าจะได้เกินที่ต้องการแล้ว รอเอาไปปลดหนี้วัดอื่นดีกว่า จะคิดให้แพงหูดับไปเลย..!"

เถรี
03-08-2010, 01:00
พระอาจารย์บอกว่า "คำว่าของแปลก เป็นเพราะว่าเรายังไม่เคยเห็น ของอะไรถ้าเคยเห็นแล้วก็จะไม่แปลก ทุกอย่างปกติธรรมชาติเขามีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ก็เลยเห็นเป็นของแปลก

อย่างหนังสือพิมพ์เอาไปลงข่าว ต้นตาลประหลาดออกดอกทั้งต้น เขารู้จักต้นตาลแต่ไม่รู้จักต้นลาน พอเห็นต้นลานไม่มีใบ มีแต่ดอก ก็ถ่ายรูปมาลงหนังสือพิมพ์ ตื่นเต้นกันใหญ่ว่าเป็นต้นตาลประหลาด

หรืออย่างกล้วยผา ตรงโคนต้นจะโตเหมือนกับโอ่ง เขาก็เอามาลงว่าเป็นกล้วยประหลาด คนที่ไม่รู้จักกล้วยผาก็แห่กันไปขอหวยกันใหญ่ แต่อาตมาเห็นมาจนเบื่อแล้ว

แปลว่า ของที่เขาไม่เคยเห็นก็เป็นของประหลาด ถ้าเขาเห็นแล้วก็จะหมดความประหลาดไปเอง เพราะปกติของธรรมชาติเขามีอยู่แล้วอย่างนั้น"

เถรี
03-08-2010, 01:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันตรัสรู้ก็คือวันจบปริญญา แต่ว่าปริญญาของพระพุทธเจ้าเป็นปริญญาจริง ๆ

เพราะว่า ปริ แปลว่า รอบ , อัญญา แปลว่า รู้ , ปริญญา คือ รู้รอบ รู้ทั่ว

อย่างพวกเรานี่จบปริญญาเอกก็รู้ไม่หมดหรอก รู้แค่ตรงที่เรียนมา"

เถรี
03-08-2010, 01:17
ถาม : ที่บ้านปลวกขึ้น เราจะมีวิธีไล่อย่างไร ?
ตอบ : เป็นแค่ทางเดินหรือเป็นรังใหญ่ ?

ถาม : มันกินเข้ามาถึงในบ้านแล้ว
ตอบ : ถ้ากินถึงข้างในแล้ว โอกาสที่จะไล่โดยที่ปลวกไม่ตายนี่ก็ยากแล้ว แต่ถ้าหากว่าเป็นรังใหญ่หรือทางเดินยังพอได้อยู่

ถาม : ถ้าเขายังไม่ได้กินเข้ามา ยังทำเป็นแค่รังใหญ่หรือทางเดิน เราจะไล่อย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเป็นทางเดิน เลือกเอาวันที่อากาศร้อน ๆ ไปเขี่ยทางเดินออก เอาน้ำมันโซล่าราดไว้ตรงจุดที่ขึ้นจากพื้นดิน ปลวกก็จะไม่ขึ้นมาอีก เพราะเวลาอากาศร้อนปลวกจะหนีลงไปใต้ดินที่เย็นกว่า ถ้าเป็นรังใหญ่ก็ราดบนรังไปเลย เวลากลิ่นน้ำมันลงไปถึง ปลวกจะย้ายหนีไปเอง แต่เราต้องทนเหม็นน้ำมันหลายวันหน่อย...

เถรี
03-08-2010, 01:23
ถาม : พระปิดตาของท่านเป็นพระปิดตาเงินล้านจริงหรือเปล่า ? รู้สึกว่าออกแนวบู๊ ๆ อย่างไรก็ไม่รู้ คล้องคอแล้วรู้สึกอยากลุย..!
ตอบ : เขาเรียกว่าเผื่อให้ ต้องดูสิว่าคนทำนิสัยเป็นอย่างไร..!

ถาม : ผมว่าแล้ว คล้องแล้วรู้สึกอยากบู๊
ตอบ : จะทิ้งนิสัยเดิมก็ไม่ใช่ที่ แบบเดียวกับคนแขวนพระปิดตามหาลาภหลวงปู่โต๊ะ โดน ๑๑ ม.ม.ยิงจนหมดแม็กแล้วยังไม่รู้สึกอะไรเลย นั่นมหาลาภนะ..!

เถรี
03-08-2010, 13:30
ถาม : การกำหนดจับภาพกสิณต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : แรก ๆ หลับตานึกถึง เราจะจำภาพได้ชั่วคราว พอภาพหายไปก็ลืมตาดูใหม่ กำหนดจำ นึกถึงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลับตาหรือลืมตาเห็นได้เท่ากัน แล้วก็ตั้งใจประคองภาพนั้นเอาไว้

คุณมองดูนี่ (ท่านหยิบหนังสือขึ้นมา) หลับตาลงแล้วเราจะนึกถึง จะเห็นได้ครู่หนึ่ง พอภาพเลือนไป ก็ลืมตามองดูแล้วหลับตานึกถึงใหม่ จนกระทั่งระยะเวลาที่จำภาพได้จะยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นอุคคหนิมิต คือ ติดตาติดใจ สามารถที่จะเห็นได้ทุกเวลา

ถาม : แล้วเรื่องการกำหนดลมหายใจ ?
ตอบ : จำเป็นต้องใช้ ถ้าไม่กำหนดลมหายใจ นิมิตกสิณจะไม่มีวันทรงตัวได้เลย นิมิตทรงตัวได้เพราะสมาธิแน่นขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ ถ้าไม่กำหนดลมหายใจสมาธิก็ไม่สามารถที่จะทรงตัวแน่นขึ้นไปได้

ถาม : ต้องทำทั้งสองอย่างควบ ?
ตอบ : ทั้งสองอย่างรวมกัน ความรู้สึกส่วนหนึ่งกำหนดอยู่ที่รูป ความรู้สึกส่วนหนึ่งกำหนดอยู่ที่ลมหายใจพร้อมคำภาวนา

ถาม : กว่าจะทำได้รู้สึกช้า
ตอบ : ช้าก็ต้องยอม เพราะกติกาเขาเป็นอย่างนั้น ค่อย ๆ ทำไป อะไรที่รีบร้อน สุกเอาเผากินมักไม่ได้เรื่อง

เถรี
03-08-2010, 17:48
ถาม : ไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดได้แล้ว แต่เนื่องจากอยู่ไกล ก็เลยไม่ได้กลับไปฝึกอีก แล้ว..?
ตอบ : กลับไปซ้อมเองบ่อย ๆ การที่ฝึกกับครูเป็นแค่แนวทางเท่านั้น พอได้แนวแล้วต้องซ้อมเองบ่อย ๆ จึงจะมีความคล่องตัว ถ้าไม่หมั่นซ้อมบ่อย ๆ ก็เสื่อม

เถรี
03-08-2010, 18:01
ดร.เก้า (ดร.ชาญวิทย์ ทัศน์แก้ว) ได้พาเพื่อนชาวเยอรมันมากราบพระอาจารย์ เพื่อนชาวต่างชาติคนนี้สงสัยว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตนเอง ผลกรรมจึงส่งผลให้แตกต่างกันไป แต่ทำไมคราวที่เกิดสึนามิ หลายคนจึงตายเพราะคลื่นสึนามิพร้อม ๆ กัน ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย

พระอาจารย์จึงอธิบายว่า "เขาเคยสร้างกรรมร่วมกันมา อย่างเช่นเคยอยู่ในกองทัพที่ไปตีบ้านตีเมืองเขาพร้อม ๆ กัน พอถึงวาระ กรรมนั้นก็จะย้อนกลับมาให้คนหมู่มากกลุ่มนี้ได้รับกรรมนั้นพร้อมกัน

จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านอธิบายเรื่องกรรมไว้ชัดเจนมาก มีทั้งเป็นไปตามเวลา ยักเยื้องไปตามความหนักเบา พระองค์ท่านเปรียบเหมือนกับการที่เราปลูกต้นไม้ ส่วนที่เป็นครุกรรมก็เหมือนกับเพาะถั่วงอก ๔ ชั่วโมงก็ได้กินแล้ว ส่วนที่เป็นอปราปรเวทนียกรรม เหมือนกับการปลูกไม้ผล ต้อง ๔ - ๕ ปี เป็นอย่างน้อย จึงจะมีผลให้กิน"

เถรี
03-08-2010, 18:06
พระอาจารย์สอน ร.ท.สรวง น้ำฟ้า ว่า "จำไว้เลยว่า เรื่องของการปฏิบัติกรรมฐานนั้น รู้แล้วต้องละ ถ้าประเภทรู้แล้วว่าใครเป็นเนื้อคู่ของเรา แล้วตะเกียกตะกายไปหา...นั่นบ้า..!

นั่นเป็นอดีตผ่านมาแล้ว ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องไปจมปลักอยู่กับคนเก่า ๆ หาเอาใหม่สิวะ..!"

เถรี
03-08-2010, 18:17
ถาม : เราทำบุญอะไรมาจึงมีอาจารย์ที่เก่งและฉลาด ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเรื่องของการสร้างบุญแบบนี้ไม่ได้มีความจำเพาะเจาะจง แต่การที่เราอยู่ในช่วงสร้างบุญบารมี เราได้สร้างร่วมกับท่านมา

ในเมื่อเราได้สร้างร่วมกับท่านมา โอกาสที่ท่านและเราจะมาอยู่ในลักษณะต้องให้การสงเคราะห์ ส่งเสริมซึ่งกันและกันก็จะบังเกิดผล ก็ต้องถือว่าเราโชคดีที่ได้ทำร่วมกับท่านมาตั้งแต่แรก

ถาม : การที่เราได้ทำทั้งบุญด้วยและทำบาปด้วย ถ้าเราเป๋ไปเป๋มาออกนอกลู่นอกทาง เหมือนเด็กตาบอดคลำทาง ท่านจะช่วยให้เราได้อานิสงส์ในส่วนของความดีไหมคะ ?
ตอบ : พระดูในส่วนที่ดี แต่ไม่ได้ดูในส่วนที่ไม่ดี เราจะเคยชั่วอย่างไรมาท่านไม่ได้มองตรงนั้น แต่ท่านจะมองว่าในจุดที่ว่า เรามีความดีอะไรที่ท่านจะหนุนให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วท่านก็จะช่วยในจุดนั้น

การทำชั่วเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปอยู่แล้ว แต่ถึงเวลาให้รู้จักทำดีให้มากกว่าชั่วก็แล้วกัน

เถรี
03-08-2010, 18:44
ถาม : เราจะบังคับให้ละวิตก วิจาร ในเวลาภาวนาได้อย่างไร ?
ตอบ : ตัวสมาธิที่สูงขึ้นจะทำให้ละไปเอง เป็นไปเอง ไม่ใช่บังคับ เรามีหน้าที่กำหนดตามดู ตามรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาของเราไปเรื่อย ๆ ถ้าจิตฟุ้งซ่านไปอารมณ์อื่น ก็ดึงกลับมา พอถึงเวลารวมตัวแน่นเข้าเป็นสมาธิที่สูงขึ้น คำภาวนาหรือลมหายใจจะค่อย ๆ หมดไปเอง

ไม่ใช่เราไปบังคับ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปเสียเวลาหาเหตุ ทำให้ถึงแล้วก็จะเป็นเอง

เถรี
03-08-2010, 18:53
พระอาจารย์บอกว่า "งานลอยกระทงเดือนพฤศจิกายนที่วัดท่าขนุน อนุญาตให้เล่นพลุได้ตามใจชอบ ใครจะเอาพลุมาเล่นที่วัดก็ได้ ไม่ว่ากัน ห้ามเล่นประทัดยักษ์อย่างเดียว

เถรี
03-08-2010, 18:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลักปฏิบัตินั้น เราต้องทำบ่อย ๆ ซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็เก่งไปเอง
อยากจะพูดเก่งให้พูดบ่อย ๆ อยากจะอ่านหนังสือเก่งให้อ่านบ่อย ๆ อยากจะทำกรรมฐานเก่งก็ให้ทำบ่อย ๆ"

เถรี
03-08-2010, 23:08
ถาม : ให้ลูกสองคนนั่งสมาธิ ทีนี้จะมีคนหนึ่งช้ากว่า ควรจะเพิ่มเวลาไปเรื่อย ๆ หรือรอคนที่ช้ากว่า
ตอบ : รอเขาหน่อย ตอนนี้ให้เขานั่งได้กี่นาทีแล้ว ?

ถาม : นาทีครึ่งค่ะ
ตอบ : นาทีครึ่งสำหรับเด็กก็เยอะมากแล้ว

ถาม : ถามลูกว่านั่งแล้วเป็นอย่างไร ลูกบอกว่าเห็นภาพพระ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : บอกลูกว่า หนูจำภาพพระเอาไว้ แล้วนึกถึงให้ได้ตลอดเวลา จะกันแม่ตีได้ ถ้าวันไหนหนูนึกถึงภาพพระได้ แล้ววันนั้นแม่จะตีหนูไม่ลง

เวลาจะเกลี้ยกล่อมอะไรลูก เราต้องรู้ใจเขา ว่าเขาต้องการอะไร คราวนี้เขาจะเชื่อ แต่ถ้าเราลืมไปแล้วว่าตอนเด็กเราต้องการอะไร เวลาเราพูดไปเขาก็ไม่ค่อยฟังเราหรอก

เถรี
03-08-2010, 23:10
ถาม : จะทำอย่างไรให้ลูกชายเขารักเรียน ขยันเรียน ?
ตอบ : สมัยก่อนที่อาตมาขยันเรียน แม่ก็ไม่ได้บอกอะไรมาก แม่บอกว่า "แม่ไม่รู้หนังสือ ทำอะไรก็เสียเปรียบเขา" แม่บอกแค่นี้ ฉะนั้น..ถ้าโง่ทั้งแม่ทั้งลูก เดี๋ยวจะเดือดร้อนกันไปใหญ่ เมื่อได้ยินแม่บอกดังนั้น จึงเห็นความสำคัญของการเรียนมาก

จริง ๆ แล้วสมัยที่เรียน แม่มีลูก ๑๒ คน แม่ส่งเรียนหมดเลย แม่พูดอยู่เสมอว่า "แม่ไม่รู้หนังสือ ทำอะไรก็เสียเปรียบเขา" แล้วเราก็เห็นอย่างนั้นจริง ๆ ทางบ้านถูกเขาโกงที่ดินไปหลายไร่ เพราะเขาออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ของเรา เราไม่รู้ว่าถ้าไม่คัดค้าน ครบ ๑๐ ปีก็จะกลายเป็นของเขา จึงกลายเป็นความฝังใจว่าเราต้องรู้ ถ้าไม่รู้เดี๋ยวจะเสียเปรียบเขาเหมือนกับแม่

เถรี
03-08-2010, 23:19
พระอาจารย์บอกว่า "คนทั่วไปยิ่งอยู่นานไป ความต้องการก็ยิ่งมากขึ้น รัก โลภ โกรธ หลง ก็มากขึ้นไปด้วย โอกาสที่จะทำผิดทำพลาดก็มีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ดังนั้น รีบไปนิพพานเสียแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่า"

เถรี
04-08-2010, 11:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "จำเอาไว้ อำนาจเป็นยาเสพติดอย่างหนึ่ง บุคคลที่ขาดสติเสร็จทุกราย

การกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วว่า ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เห็นภัยในวัฏสงสาร ย่อมไม่มีวันเบื่อ ที่ยังไม่มีก็พยายามไขว่คว้ามาให้มี มีแล้วก็พยายามดิ้นรนรักษาไว้ ความจริงเป็นทุกข์ทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่เขาไม่เห็น นับว่าเป็นทิฏฐิวิปลาส เห็นของที่ไม่ดีว่าดี

ถาม : สัญญาวิปลาส คืออะไร ?
ตอบ : สัญญาวิปลาส คือ จำผิด จำว่าของไม่ดีว่าเป็นของดี อย่างเช่นอสุภสัญญา สภาพร่างกายมีความไม่ดีไม่งาม เป็นปกติ แต่ไปหมายจำว่าเป็นสุภสัญญา คือ เห็นว่าร่างกายมีความดีความงาม

อัตตสัญญา สภาพร่างกายไม่ใช่ตัวตนที่ยึดถือมั่นหมายได้ แต่ไปจำว่าร่างกายเป็นตัวตนของเรา

นิจจสัญญา สภาพที่ไม่เที่ยงก็ไปจำว่าเที่ยง

สรุปแล้วสัญญาวิปลาส ก็คือ จำผิด แต่เราฟังดูแล้วน่ากลัว โดยเฉพาะจิตตวิปลาส คิดผิด คิดผิดแทนที่จะเป็นสัมมาทิฐิก็กลายเป็นมิจฉาทิฐิ เราฟังดูแล้วเหมือนจิตตวิปลาส คือ เป็นบ้า แต่จริง ๆ แล้วก็นับว่าบ้าเหมือนกัน เพียงแต่เป็นการบ้าในธรรม คนทั่ว ๆ ไปเขาเห็นว่าเป็นปกติ แต่บุคคลที่เข้าหาธรรมะจะเห็นว่าบ้า เพราะออกนอกลู่นอกทาง

ถาม : ทิฏฐิวิปลาสกับจิตตวิปลาสต่างกันอย่างไร?
ตอบ : ทิฏฐิวิปลาส จเห็นผิด แต่จิตตวิปลาส คิดผิด ทิฏฐิก็แปลตรง ๆ ว่าความเห็น มีการฟันธงแล้วและธงก็หักไปแล้ว แต่จิตตวิปลาสนี่ยังแค่คิดเท่านั้น

ถาม : น่ากลัว
ตอบ : น่ากลัวทุกตัวแหละ เพราะวิปลาสแปลว่าไม่ถูกต้อง บาลีเขาเขียนเป็น วิปัลลาส

เถรี
04-08-2010, 11:39
พระอาจารย์กล่าวถึงการเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงปู่สายให้ฟังว่า "ในห้องของหลวงปู่ ยังไม่ได้ไปแตะต้องอะไรเลย เพราะว่าไม่อยากให้เปลี่ยนไปจากสภาพที่ท่านเคยใช้งาน ตรงข้างฝามีกระดาษอยู่แผ่นหนึ่ง หนีบคลิปติดเอาไว้ เขียนว่า

ลำพอง ช่วยดูโลงกระจกให้ด้วย
มิถุนา ๓๔

หลวงปู่ให้เตรียมโลงกระจก (โลงแก้ว) ตั้งแต่ตอนนั้น และท่านก็มรณภาพเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๓๕

หลักฐานชัด ๆ เป็นลายมือท่านเอง ท่านบอกโยมลำพองที่เป็นทายกวัดในช่วงนั้นให้หาโลงกระจก ก็แปลว่าท่านนอกจากจะรู้เวลามรณภาพแล้ว ยังตั้งใจทิ้งสังขารไว้ให้พวกเราด้วย

อาตมาตั้งใจว่าถ้าปรับทำศาลาการเปรียญหลังเก่าเป็นหมู่เรือนไทยแล้ว ด้านบนศาลาจะจัดเป็นพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ เอาพวกข้าวของเครื่องใช้ในห้องของท่านไปตั้งแสดง"

เถรี
04-08-2010, 11:58
ในช่วงเข้าพรรษานี้ จะเห็นได้ว่ามีพระหลายรูปที่ยกพานธูปเทียนมากราบขอขมาพระอาจารย์

พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "สามีจิกรรม การทำในสิ่งที่ดี ๆ ต่อกัน บางคนเรียกทำวัตรพระผู้ใหญ่ ช่วงเข้าพรรษามีระเบียบอย่างหนึ่งว่า พระภิกษุหรือสามเณรถ้าไปจำพรรษาในที่ไกล ต้องมารายงานตัวกับอุปัชฌาย์อาจารย์ เพื่อให้รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน ใกล้ไกลอย่างไร อยู่กับใครบ้าง ขาดเหลืออะไรที่พอจะให้อุปัชฌาย์อาจารย์ช่วยเหลือได้บ้าง ก็จะมาบอกกล่าวกัน

ส่วนใหญ่นิยมตั้งแต่ช่วงแรม ๑ ค่ำ ไม่เกินแรม ๑๕ ค่ำ ก็คือ ครึ่งเดือนแรกเข้าพรรษา ภาษาพระเรียกว่า ทำวัตรพระ ภาษาชาวบ้านพูดง่าย ๆ ว่า มารายงานตัวกับอาจารย์"

เถรี
04-08-2010, 17:52
ถาม : ที่ท่านเอ็ดผมเรื่องไปหาหลวงพ่อมนัส เพราะว่าผมตั้งกำลังใจผิดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เปล่า

ถาม : เพราะอะไรครับ ?
ตอบ : เพราะว่าพระป่วยไม่ควรจะไปกวนท่าน

ถาม : แต่เพื่อนเขานัดกับท่านไว้แล้วครับ?
ตอบ : ก็ไปสิ ไม่ได้ห้าม

ถาม : ฝากของไปแทนแล้วครับ
ตอบ : ไปเองก็ได้ ไหน ๆ จะรับกรรมแล้ว ก็รับเองให้เต็ม ๆ ไปเลย..!

เถรี
04-08-2010, 18:24
ถาม : แสงจากกายของคนบางทีมีสีขาว สีแดง สีน้ำเงิน แตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : เป็นไปตามสภาพจิตและอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของร่างกาย

ถาม : ไม่มีความหมายใช่ไหมครับ ว่าคนนี้สีแดงเป็นคนอย่างไร ?
ตอบ : มีเหมือนกัน

ถาม : แล้วส่วนใหญ่สีแดงหมายความว่าอย่างไรครับ?
ตอบ : ต้องดูเอง เพราะสีแดงยังมีหลายระดับ ถ้าหากแดงในด้านไม่ดีก็มีนิสัยมุ่งร้ายคนอื่น แต่ถ้าในด้านดีก็เป็นคนชอบอะไรท้าทาย ประเภทอภิญญาสมาบัติ

ถาม : แล้วเขียวล่ะครับ ?
ตอบ : ไปถามคนที่มีความสามารถในการอ่านภาพออร่าจะดีกว่า

เถรี
04-08-2010, 18:27
ถาม : ศีล ๕ กับศีล ๕ บวกกรรมบถ ๑๐ ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : ก็เพิ่มมาอีก ๕ ข้อ

ถาม : แล้วอานิสงส์จะได้อะไรเพิ่ม ?
ตอบ : เพิ่มอีกมหาศาลเลย เพราะกรรมบถ ๑๐ นอกจากบังคับกายแล้วยังบังคับวาจาและความคิดด้วย กรรมบถ ๑๐ นี่ห้ามพูดโกหก ห้ามพูดเพ้อเจ้อ ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดส่อเสียดด้วย ขณะเดียวกันทางใจก็ห้ามโลภ ห้ามโกรธ ทำให้เป็นสัมมาทิฏฐิด้วย

ถาม : ศีล ๘ เล่าครับ ?
ตอบ : ศีล ๘ สำหรับผู้ประพฤติธรรมขั้นสูงแล้ว ต้องการความละเอียดของจิตมากขึ้น

เถรี
04-08-2010, 18:45
ถาม : ในการปฏิบัติกรรมฐานเบื้องต้นเพื่อการปูทางให้มีศีล มีสมาธิที่สมบูรณ์เพื่อให้เกิดปัญญาในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต การทำสม่ำเสมอในครั้งแรกของการทำกรรมฐานก็คือ เปิดเทปบวงสรวง แล้วตั้งใจว่าเราจะนั่งกรรมฐานวันละ ๑๐ นาทีเป็นอย่างน้อย ทำอย่างนี้ติดต่อกันสม่ำเสมอ หรือว่านึกอยากจะทำก็ทำได้เลยเจ้าคะ ในกรณีสำหรับผู้ฝึกใหม่ ?
ตอบ : ผู้ฝึกใหม่ควรจะมีระยะในการปฏิบัติที่แน่นอนเอาไว้ทุกวัน แต่สำหรับคนเก่าแล้วควรจะใช้เวลาทั้งวันให้เป็นการปฏิบัติ

ถาม : คำว่าคนเก่าก็คือ..?
ตอบ : หมายความว่ามีความคล่องตัวแล้ว ฝึกจนคล่องแล้ว เพราะว่าบุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจริง ๆ เรื่องรัก โลภ โกรธ หลงจะมาทดสอบอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น..ถ้าเราไม่ได้เตรียมไว้ทั้งวัน ก็อาจจะโดนกิเลสยันหงายท้องได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

แต่สำหรับคนใหม่ ๆ มารเขายังเห็นว่าไม่เท่าไร เรายังมีเวลาหายใจอยู่ ก็ใช้ทำสม่ำเสมอสักเช้าครั้งเย็นครั้ง แต่ถ้าเราไปคิดว่าเรากินเช้าครึ่งชั่วโมง กินเย็นครึ่งชั่วโมง เวลาที่เหลือก็ไม่ต้องกิน มีหวังอดตายเลย

ถาม : ถ้าฝึกไปสม่ำเสมอ แล้วช่วงเวลาที่ว่างระหว่างวันก็เอาใจจับพระ
ตอบ : ควรจะทำอย่างนั้น คราวนี้เรามาดูว่า ๒๔ ชั่วโมงเราอยู่กับภาพพระได้กี่ชั่วโมง ? ถ้ายังขาดทุนอยู่ก็พยายามเพิ่มให้มากขึ้น

ถาม : แล้วถ้ากรณีเรารู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิด แต่พอถึงเวลาก็ผิดอีก ผิดแล้วผิดเล่า
ตอบ : เริ่มต้นใหม่ อย่าไปเสียเวลาจมปลักอยู่กับเรื่องเหล่านั้น ข้อผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่เรายังสติไม่สมบูรณ์ แต่ทันทีที่รู้ตัวว่าผิดก็เริ่มต้นใหม่..รู้ตัวว่าผิดก็เริ่มต้นใหม่

มัวแต่ไปเสียดายเวลากับสิ่งที่ทำอยู่ตรงนั้น เราจะไม่ได้อะไร แต่ถ้าเราเริ่มต้นใหม่เท่ากับเราก้าวเดินต่อไป

ถาม : ถึงแม้ว่าในระหว่างที่ทำผิด เราก็มีสติรู้อยู่ว่าผิด ก็ยังทำ
ตอบ : ที่ทำไปแล้วให้เลิกคิด ตั้งใจทำใหม่ให้ถูกก็พอแล้ว

เถรี
05-08-2010, 10:30
เถรีบอกพระอาจารย์ไปว่าเพิ่งอ่านหนังสือเรื่อง ช้องหมู : มฤตยูเขี้ยวตัน จบไป พระอาจารย์จึงบอกว่า ถ้ามีโอกาสจะเขียนนิมิตกรรมตอน"ไอ้เขี้ยวตัน" ให้อ่านกัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับนิมิตของท่านเอง ที่จะเกิดขึ้นหลังการป่วยทุกครั้ง เพื่อให้ทราบว่าการป่วยครั้งนั้นเกิดจากเศษกรรมอะไรในอดีต

" ตอนที่อาตมาไปฟัดกับเสือ เพิ่งจะรู้ว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นมีความคิดเหมือนกับคนทุกอย่าง เพียงแต่ว่าปรัชญาในการดำเนินชีวิตของสัตว์เดรัจฉานไม่เหมือนกับคน เพราะปัญญาเขายังไม่ถึงมนุษย์

ปรัชญาของการดำเนินชีวิตสัตว์เดรัจฉานก็คือ ผู้เข้มแข็งกว่าย่อมได้เปรียบ ถ้าคนไหนเข้มแข็งกว่า คนนั้นอยู่รอดได้ ถ้าเราเองไม่ได้นิมิตเห็นตอนที่เกิดเป็นสัตว์ ก็จะไม่เข้าใจเลยว่า สัตว์นั้นคิดเหมือนคนทุกอย่าง แถมยังฉลาดมากเสียด้วย สามารถวางแผนล่อเสือได้

ตอนนั้นเกิดเป็นจ่าฝูงหมูป่า หนังเหนียวเพราะมีของดีคู่ตัว คือ เขี้ยวตัน มีบริวารอยู่ร่วมพันได้ แต่ปรากฏว่ามีเสือตัวแสบอยู่ตัวหนึ่ง คอยย่องตามขบวน เผลอเมื่อไรก็คว้าลูกน้องเราเผ่นไปกิน ผ่านไปสองสามวัน ถ้าไม่มีกิน ก็มาใหม่อีก

พอโดนเสือคาบลูกน้องไปบ่อย ๆ เข้า จะไปตามล่าก็ไม่ได้ เพราะหมูมีกลิ่นแรงโดยธรรมชาติ ถ้าเสือได้กลิ่นก็จะเลี่ยง เพราะเสือไม่คิดจะสู้ คิดแต่จะกินอย่างเดียว

ฝูงหมูป่าก็หากินไปเรื่อย ๆ พอดีไปเจอเขตใหม่ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน เป็นหุบเขา ลักษณะเหมือนประตูผา พอเข้าไปข้างในพื้นที่กว้างเป็นสิบไร่เลย รอบข้างเป็นหน้าผาตัดชัน พอตัวเองเห็นเข้าดังนั้นความคิดบอกเลยว่า "ต้องเล่นงานเสือที่ตรงนี้"

จึงต้อนลูกฝูงทั้งหมดมา ไล่ให้ไปหากินตรงท้ายหุบ แล้วก็ซุกอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องออกมา ตัวเองก็พาลูกน้องระดับรอง ๆ ๗-๘ ตัวมาแอบซุ่มดูอยู่ สองวันแรกเสือก็ยังเงียบ พอวันที่สามเสือหิวทนไม่ไหวก็ย่องออกมาตามหาหมู

แต่เสือไม่รู้ว่าทางด้านที่หมูอยู่เป็นหน้าผาตัด เข้าแล้วออกไม่ได้ มีทางเข้าออกทางเดียว พอล้ำเข้าไปด้านใน หมูก็เข้าล้อมตีเสือ สู้กันจนท้ายที่สุดหมูก็ได้รุมยำใหญ่กินเสือ จะเห็นได้ว่า สัตว์ก็มีการวางแผนเหมือนกับคน"

เถรี
05-08-2010, 17:34
ถาม : คาถานะมะพะธะ ท่องสลับไปสลับมา เพื่ออะไร ?
ตอบ : เพื่อให้ใจเป็นสมาธิ คนที่ใจไม่เป็นสมาธิท่องสลับกันก็มักจะผิด หลังจากที่เป็นสมาธิแล้วจะเอากำลังไปใช้อะไรก็ได้

ถาม : นะมะพะธะแปลว่าอะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาคำแปลอธิบายสามวันก็ไม่หมด โดยเฉพาะจำที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้ด้วย "คาถาห้ามแปล แปลแล้วไม่ขลัง"

ถาม : ผมอยากรู้ที่มาที่ไปของนะมะพะธะ
ตอบ : เกิดจากท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง เมื่อมองไปยังจักรวาลทั้งหมดแล้ว เห็นว่าแต่ละจักรวาลนั้น พลังงานที่แผ่พุ่งออกมา และสามารถที่จะเชื่อมโยงเข้าหากันได้ ท่านก็เลยกำหนดรูปหรือลักษณะของกาแลกซี่นั้น ๆ มาเป็นตัวอักขระ เขาเรียกว่า นะปฐมกัป จะเริ่มจากจุดนั้นมา

เสร็จแล้วก็เอามาสั่งสอนพวกโง่ ๆ อย่างเราให้รู้ตามท่าน เพื่อจะได้เอาไปใช้งานได้

เพราะฉะนั้น..เสียเวลาอธิบาย เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่ไม่รู้ แต่พูดไปก็เท่านั้น ฟังตรงนี้ก็ลืม ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เพียงแต่บอกให้รู้ว่า "ถามอะไรมากูก็รู้ แต่ที่ไม่ตอบเพราะไม่มีประโยชน์..!"

เถรี
05-08-2010, 17:38
พระอาจารย์กล่าวต่ออีกว่า "จะว่าไปแล้ว เรื่องเหล่านี้พวกดาราศาสตร์เขาก็ถึงได้ แต่ก็เป็นแค่บางส่วน เพราะว่าสิ่งที่เขาเห็นเป็นเฉพาะจุด ไม่ใช่ภาพรวม แต่ว่าพรหม เทวดา หรือพระผู้ทรงอภิญญา ท่านมองออกไปจะเห็นภาพรวมของจักรวาลทั้งหมด"

เถรี
05-08-2010, 18:09
พระอาจารย์กล่าวถึงเทคโนโลยีว่า "เรื่องของเทคโนโลยีนั้นเป็นเรื่องจำเป็น เพราะว่าเป็นส่วนช่วยให้โลกเจริญขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็อย่าให้ถึงกับเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเรา

เป็นห่วงเด็กรุ่นใหม่ ๆ ว่า ถ้าขาดคอมพิวเตอร์แล้วจะไม่มีอะไรเหลืออยู่ในหัวตัวเอง เพราะอะไร ๆ ก็ให้คอมพิวเตอร์เก็บข้อมูลแทน แล้วตัวเองก็ไม่จำ กลายเป็นสมองกลวง ถ้าอยู่ ๆ เกิดพายุสุริยะขึ้นมา ข้อมูลโดนลบเกลี้ยงทั้งโลก ก็เสร็จเรียบร้อยเลย ทำอะไรไม่เป็นอย่างแน่นอน..!

แค่รุ่นพวกเรา ที่อาตมาเคยไปพาเที่ยวบึงลับแลเมื่อ ๑๐ - ๒๐ ปีก่อน ไปกัน ๑๗ - ๑๘ คน เราก็เห็นว่าเยอะดี จะให้ช่วยเราทำงานแทน ถามว่า "ใครหุงข้าวเป็นบ้าง ?" เขาถามกลับมาว่า "เสียบปลั๊กตรงไหน ?" สรุปแล้วก็คือพระต้องไปหุงข้าวให้เขากิน..!

พอเรายอมให้เทคโนโลยีเป็นทุก ๆ อย่างในชีวิตแล้ว สมรรถภาพก็เสื่อมไป เดี๋ยวนี้ต้มยำทำแกงก็ไม่เป็น เพราะมีประเภทสำเร็จรูปใส่ห่อมาให้เลย เทลงหม้อก็ใช้ได้ หรือไม่ก็อุ่นในเตาไมโครเวฟก็กินได้แล้ว สบายจังเลย

นึกถึงที่พระยามารเขาคุย เขาบอกเราว่า "เสียเวลาที่ท่านจะไปสอน เพราะผมครอบซ้ำไปอีกหลายชั้นแล้ว" ฟังดูแล้วน่าท้อนะ แต่ขอโทษ..ท้อได้แต่ไม่ถอย..!

สมัยก่อนเขาว่า "ด้วยหน้าที่ชีวิตรับผิดชอบ คือคำตอบที่รบอยู่มิรู้สิ้น" ที่รบไม่เลิกเพราะมันเป็นหน้าที่ ในเมื่อเป็นหน้าที่ก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด"

เถรี
05-08-2010, 18:52
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องอาหารให้ฟังว่า "สมัยนี้เผลอไม่ได้ อาหารส่วนใหญ่มักจะผสมเหล้ากันเยอะ โดยเฉพาะเด็กรุ่นหลัง มีช็อกโกแลตไส้บรั่นดี กินช็อกโกแลตแล้วเมาหัวทิ่มไปเลย หรือไม่ก็เค้ก เป็นเค้กแต่ก็มีส่วนผสมของบรั่นดี โดยเฉพาะลูกเชอร์รี่ที่ประดับหน้าเค้ก เขาแช่บรั่นดีมาด้วย เจอไปลูกเดียวก็หน้าแดงแล้ว

มีระยะหนึ่งครูแดงซื้อไอศกรีมมาถวาย เราเปิดขึ้นมาก็หงายท้องตึง บอกว่า "เฮ้ย..นี่เหล้านี่หว่า" เขาก็บอกว่า "ไม่ใช่เหล้าค่ะ..รัม" เราบอกว่า "ยายบ้า..จำไว้เลยว่ารัมของฝรั่งก็คือเหล้า แถมเป็นเหล้าเถื่อนด้วย..!" เขาบอกว่า "ตายแล้ว..กินไปมากเห็นว่าอร่อยก็เลยเอามาถวายพระ"

ถาม : อย่างอาหารจีน พวกกระเพาะปลาน้ำแดง ?
ตอบ : ไม่ต้องห่วงหรอก ส่วนใหญ่มีส่วนผสมของเหล้า ยังดีว่าในส่วนของอาหารที่เป็นอาหารร้อน พอลงไปแล้วแอลกอฮอล์โดนความร้อนมันระเหยไปเกือบหมด แต่ก็ยังเป็นเหล้าอยู่ดี แต่พวกเย็น ๆ อย่างพวกไอศกรีม มีแอลกอฮอล์อยู่เต็ม ๆ เลย

เคยเห็นคนกินกล้วยแล้วเมาไหม ? กล้วยอะไรก็ได้ พอเริ่มมีเครือ เขาก็เจาะโคนต้น เอาลูกแป้งสำหรับหมักเหล้ายัดเข้าไป แล้วก็อุดรู ต้นกล้วยก็ดูดขึ้นไปเลี้ยงลูก สุดยอดจริง ๆ พอถึงเวลากล้วยแก่ก็เก็บมาบ่มเสียอย่างดี แบ่งกันกินคนละลูกสองลูกก็เดินเซแล้ว

มีคนสันนิษฐานว่า เหล้าเกิดจากลิง ลิงจะรู้ก่อน คือ พวกผลไม้ต่าง ๆ ที่เกิดจากต้นจะมีจำนวนมาก พอสุกก็จะร่วงพร้อม ๆ กัน ถ้าต้นไม้มีคาคบเป็นโพรงอยู่ เวลาร่วงลงไปก็ไปหมักรวมกัน

พอหมักได้ที่ กลิ่นก็จะออก พวกที่เจอก่อนก็พวกลิงพวกค่าง กินแล้วติดใจก็ไปกินกันบ่อย พอเสียงเอะอะเกรียวกราว คนสงสัยก็ไปดู แล้วก็ลองกินบ้าง พอกินเสร็จคนเรารู้จักคิดว่าของอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ก็เก็บผลไม้มาลองหมักดู เลยเป็นต้นกำเนิดของเมรัย ยังไม่ใช่สุรานะ เมรัยเกิดจากการหมัก ถ้าสุราต้องกลั่น

เถรี
05-08-2010, 19:12
พระอาจารย์กล่าวสอนในเรื่องความสกปรกของอาหารว่า "ถ้าใครเคยไปดูเขาหมักเหล้าองุ่นแล้ว ที่คิดจะกินเหล้าองุ่นอยู่อีก ก็คงจะหมดอารมณ์ เพราะเหล้าองุ่นที่ได้รสชาติที่สุด ต้องย่ำด้วยตีน..! ถึงเวลาก็เหยียบ ๆ

เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วอาหารมีพื้นฐานจากความสกปรก ปีนี้หลวงตาปรีชา กลับมาจำพรรษาที่วัดท่าขนุนด้วย เขาบวชรุ่นเดียวกับท่านกอล์ฟ ก็แปลว่าสิบกว่าพรรษาแล้ว

สมัยที่ยังจำพรรษาด้วยกันที่เกาะพระฤๅษี สอนเรื่องกรรมฐาน ท่านก็บอกว่า "อาจารย์ครับ..อาหารอื่นผมพอจะพิจารณาได้ว่าสกปรก แต่พวกผลไม้สีสันน่ากิน ดูแล้วไม่เห็นว่าสกปรกตรงไหน ?" ก็เลยบอกว่า "คุณคิดง่าย ๆ ก็แล้วกันว่า ผลไม้ที่เราเอามากิน ก็คือผลไม้ที่กำลังเน่า เพียงแต่ว่าคนเราฉลาด รอให้เน่ากำลังดีแล้วก็กิน ถ้าเน่าเกินนั้นก็จะไม่กิน"

ตอนที่เน่ากำลังได้ที่ จริง ๆ แล้วก็คือการแปรสภาพ ถ้าเน่า ดำ ช้ำกว่านั้น เราก็จะไม่กิน เรารอตอนที่กำลังเหลืองอร่ามจึงกิน แปลว่าเรากำลังกินของเน่านั่นแหละ หรือไม่ก็พิจารณาดูว่าผลไม้เกิดจากปุ๋ยที่เป็นซากพืชซากสัตว์ที่เป็นความสกปรกก็ได้"

เถรี
05-08-2010, 19:25
เช้าวันเสาร์ มีคนนำพระประธานทรงเครื่องจักรพรรดิประดับเพชรมาถวายแด่พระอาจารย์ ท่านแนะนำให้พวกเราอธิษฐานเวลาทำบุญว่า
"อธิษฐานสามอย่างง่าย ๆ
๑. เกิดใหม่อย่าให้พ้นไปจากเขตพระพุทธศาสนา
๒. ถ้าจะตายขอให้ภาพพระนี้อย่าหลุดพ้นไปจากใจของเรา
๓. ตายแล้วขอไปพระนิพพาน"

เถรี
05-08-2010, 19:45
พระอาจารย์บอกว่า "พระประธานองค์นี้ พอย้ายบ้านใหม่จะเอาไปเป็นพระประธานที่นั่น (บ้านวิริยบารมี) เป็นเรื่องของธรรมะจัดสรร ตั้งใจจะไปสั่งช่างเนียรอยู่พอดี ตอนนี้ไม่ต้องสั่งแล้ว

เรื่องแบบนี้ที่ใช้คำว่า ธรรมะจัดสรร คือ วาระบุญจะลงตัวพอดี ระยะหลังจึงไม่ได้กล้าคิดอะไร คิดแล้วมักจะได้ ต้องระมัดระวังความคิดตัวเองเป็นพิเศษ

ต้องระวังสองอย่างอยู่ด้วยกัน อย่างแรกก็คือ ถ้าเราคิดในสิ่งที่ไม่สมควรแล้วมา เดี๋ยวจะเสียพระ อย่างที่สองก็คือ จะพาให้หลงตัวเองได้ง่าย ๆ ว่าคิดแล้วได้ดั่งใจ..คิดแล้วได้ดั่งใจ เดี๋ยวจะคิดว่าตัวเองดี"

เถรี
05-08-2010, 20:04
พระอาจารย์กล่าวถึงในเรื่องของศาสนาอิสลามว่า "หลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ เจ้าคณะภาค ๑๔ วัดสามพระยา ท่านบอกว่า ถ้ามีโอกาสให้ซื้อที่ดินไว้บ้าง เพราะศาสนาอิสลามเปลี่ยนแผนเป็นการซื้อที่ โดยจะซื้อให้ได้จังหวัดละสามหมื่นไร่เป็นอย่างน้อย แล้วหลังจากนั้น ถ้าคนไทยไม่มีที่ทำกิน ไปขอที่ทำกินเขาเมื่อไร ต้องเปลี่ยนศาสนาเป็นศาสนาเขาจึงจะได้

พอนึกถึงจุดนี้ ก็เลยนึกถึงพระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง ระยะนี้พระครูไพโรจน์ท่านนำสร้างพระประธานองค์ใหญ่ ๆ ตามวัดต่าง ๆ พระประธานขนาดหน้าตัก ๑๐ เมตร (ประมาณ ๒๑ ศอก) ท่านบอกว่า "ผมสร้างเอาไว้ตรงไหนก็ตาม อิสลามเห็นก็ต้องรู้ว่าเป็นเขตศาสนาพุทธ ถ้าจะทำลาย ก็ต้องระเบิดหรือทุบกันขนานใหญ่นั่นแหละจึงจะหมด"

ก็เลยกลายเป็นว่า ในเรื่องการสร้างพระพุทธรูป ท่านพระครูไพโรจน์มีแนวคิดเดียวกับท่านเจ้าคณะภาค ก็คือเพื่ออยู่ในลักษณะต้านการรุกรานของอีกศาสนาหนึ่ง แต่ของท่านทำสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาให้ชัดเจนไว้ โดยเฉพาะพระใหญ่ ๆ คนเห็นก็ชื่นใจ ถึงเวลาก็อยากไปกราบไปไหว้"

เถรี
06-08-2010, 13:52
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "ปีนี้ปิดบัญชีกฐินปลดหนี้หลวงพ่อ ๔๐ ศอกที่วัดหนองหญ้าปล้อง แล้วจะมาขยับมากฐินปลดหนี้หลวงพ่อ ๕๐ ศอก ที่วัดพระพุทธบาทเขาน้อยต่อ

พระอาจารย์วันชาติท่านบอกว่า "หางบให้ผมหนึ่งล้านพอ" แล้วที่เหลือท่านจัดการได้ ของท่านมาพร้อมโดยเฉพาะที่เป็นพระเป็นเณร ฝีมือเยี่ยมยอดมากเลย ทำพระออกมาแต่ละองค์เห็นแล้วจำติดตาไปเป็นเดือน"

เถรี
06-08-2010, 16:13
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เรื่องเสกพระต้องยกให้หลวงตาเจิม วัดบางนมโค

หลวงตาเจิม วัดบางนมโค เคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่พักหนึ่ง เพราะหลวงปู่ปานท่านไม่ยอมเป็นเจ้าอาวาส เนื่องจากท่านเห็นว่าต้องมาเสียเวลาเกี่ยวกับงานตามสายบังคับบัญชา หลวงตาเจิมก็ต้องเป็นเจ้าอาวาสแทน

คราวนี้หลวงตาเจิมท่านมีความสามารถพิเศษ คือ เขียนยันต์สวยมาก ถึงเวลาใครอยากได้ยันต์ก็ให้หลวงตาเจิมเขียน แล้วเอาไปให้หลวงปู่ปานเสก ในเมื่อหลวงตาเจิมเป็นเจ้าอาวาส ก็มีคนศรัทธามากเหมือนกัน เขาไปให้หลวงตาเจิมรดน้ำมนต์

โดยเฉพาะถ้าเป็นช่วงหลวงปู่ปานไม่อยู่วัดเป็นเดือน ๆ อย่างไปสร้างวัดที่เขาสะพานนาค หรือไม่ก็ไปสร้างวัดที่เขาวงพระจันทร์ ลพบุรี บางทีไป ๒-๓ เดือนกว่าจะกลับ หลวงตาเจิมก็ต้องรับบทหนัก

ชาวบ้านนั้นแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าคุณเป็นเจ้าอาวาสต้องทำได้ทุกอย่าง ต้องเป็นหมด หลวงตาเจิมก็ปรารภกับหลวงพ่อฤๅษีว่า ท่านเองไม่เก่งเรื่องน้ำมนต์ หลวงพ่อท่านบอกว่ามีวิธี

ถ้าหลวงตาอยากจะทำน้ำมนต์ให้ขลัง ก็เอาพระพุทธรูปมาองค์หนึ่ง จับท่านวางนอน หลับตานึกถึงท่าน แล้วก็ภาวนาขอให้ท่านลุกขึ้นนั่ง ถ้าทำสำเร็จเมื่อไร หลวงตารดน้ำมนต์อย่างไรก็ขลัง

หลวงตาเจิมก็เห็นว่าเข้าท่า ก็ไปเอาพระมา ตกกลางคืนก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ หลับตาภาวนาบนชานกุฏิ เอาพระตั้งไว้บนขอบระเบียง หลับตาภาวนาไปเรื่อย ๆ หลวงพ่อท่านอยากจะแกล้งหลวงตาเจิม ท่านก็ย่องไปจับองค์พระตั้งขึ้น"

เถรี
06-08-2010, 16:21
"พอหลวงตาเจิมลืมตาขึ้นมาเห็นพระตั้งขึ้น ก็ดีใจว่าตนเองทำได้ เอาอีกครั้ง จับพระวางนอนลงใหม่ คราวนี้กำลังใจของท่านได้ที่แล้ว พอหลับตาลงพระก็ตั้งขึ้นทันทีเลย

ท่านมาบอกกับหลวงพ่อว่าทำได้แล้ว หลวงพ่อก็บอกว่า ต้องทำให้ได้หลายองค์พร้อม ๆ กัน หลวงตาเจิมก็เอาใหม่ เอาพระมาหลาย ๆ องค์ ตอนแรกกำลังใจยังไม่มั่นใจก็ไม่ตั้ง หลวงพ่อกับเพื่อนก็แอบไปยกตั้งให้ พอหลวงตาเจิมลืมตาขึ้นมาพระตั้งอีก กำลังใจก็ฟู คราวนี้วางกี่ร้อยองค์ตั้งได้หมดเลย

หลวงพ่อก็แนะนำหลวงตาเจิมว่า ต่อไปจะรดน้ำมนต์ให้ใคร ให้เขาอธิษฐานขอพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วก็เอามาวางไว้ตรงหน้าตัวเอง ถ้าหากรดน้ำมนต์แล้วหาย ขอให้พระพุทธรูปตั้งขึ้น ทีนี้ก็เหลือแต่ฝีมือหลวงตาเจิมที่จะอธิษฐาน

พอคนป่วยจับพระพุทธรูปวางนอนแล้วพระตั้งขึ้นมา กลายเป็นว่าหลวงตาเจิมไม่ต้องรดน้ำมนต์ก็แทบจะหายดีแล้ว ต่อมาหลวงตาเจิมเลยรดน้ำมนต์ให้ชาวบ้านกันอุตลุดเลย

กลายเป็นว่าของบางอย่างตั้งใจที่จะแกล้งเอาสนุก ๆ กลายเป็นว่าทำแล้วได้ประโยชน์

เจ้าอาวาสสมัยก่อนเขาเรียกว่า สมภาร มาจากสม+ภาระ แปลว่า เสมอด้วยภาระ ต้องแบกทุกเรื่องในวัดเอาไว้หมด หลวงพ่อท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโคอยู่ ๕ - ๖ ปี เหนื่อยใจเต็มทีก็ลาออก"

เถรี
07-08-2010, 23:04
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องภัยพิบัติว่า "เรื่องของภัยพิบัติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศของเรา วาระนั้นเลื่อนแล้วเลื่อนอีก เพราะว่ามีพระที่ทรงความดีท่านสละตนเอง เพื่อเปลี่ยนวาระกรรมนั้น พูดง่าย ๆ ว่ายืดเวลาให้เราทำความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

เพราะฉะนั้น..เราจะไปคิดว่าภัยยังไม่เกิดแล้วไปประมาทเข้า เกิดเมื่อไรเดี๋ยวจะตั้งหลักไม่ทัน ยิ่งปีนี้แล้วพระผู้ใหญ่ขนาดหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ นอนโรงพยาบาลยาวเลย ท่านเป็นโรคใหม่ที่หมอเองก็เกือบจะหมดปัญญา เป็นเชื้อหวัดนี่แหละ แต่ทำลายปอดด้วย กว่าจะรู้ตัวท่านก็หมดสภาพ หมอบอกว่าถ้าไปช้าสักสิบนาทีหรือยี่สิบนาทีก็อาจจะไปเลย ประมาณสองเดือนแล้วท่านเพิ่งจะเริ่มฟื้นตัว หมอบอกว่าถ้าจะเอาให้เหมือนเดิมต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณสี่เดือน

ฉะนั้น..ในเรื่องวาระกรรมต่าง ๆ พระที่ท่านทรงคุณความดี ท่านสละตัวของท่านเองเพื่อส่วนรวม แต่ถ้าเราไม่คิดจะช่วยท่านทรงความดีไว้เลย ก็จะกลายเป็นภาระของท่านคนเดียว ถ้าท่านแบกไม่ไหวเมื่อไร เราก็รับเละไป

เพราะฉะนั้น..มีโอกาสให้เร่งทำในเรื่องของศีล สมาธิ และปัญญาให้กำลังใจเราสูงเข้าไว้ ถึงแม้จะช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ให้รักษาตัวเองได้ จะได้ไม่เป็นภาระแก่คนอื่นเขา เตือนได้เท่านี้แหละ บอกได้คำเดียวว่า "มาแน่" จะช้าจะเร็วก็มาแน่"

ถาม : ถ้าปฏิปทาที่เราร่วมแรงร่วมใจกันทำความดี จะมีผล...?
ตอบ : อย่างนั้นแหละดีแล้ว อย่างน้อย ๆ ได้ร่วมกันสร้างความเย็นให้เกิดขึ้นสักจุดก็ยังดี จะได้แบ่งเบาภาระของพระไปจุดหนึ่ง

เป็นพระแล้วพูดเกินวาระกรรมไม่ได้ ได้แต่ใบ้ ๆ ให้ฟัง ใครตีหวยถูกก็โชคดีไป ถ้าตีหวยไม่ถูก ไปรู้เอาตอนหวยออกก็ตั้งหลักไม่ทัน

เถรี
07-08-2010, 23:57
ถาม : เพื่อนเป็นมะเร็งลำไส้ จะผ่าตัดวันพรุ่งนี้ ควรจะทำบุญอย่างไร ?
ตอบ : บอกให้เขารีบปล่อยชีวิตสัตว์เยอะ ๆ พวกปลาหรือสัตว์อะไรที่เขาขายให้ฆ่าโดยเฉพาะ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ขออานิสงส์นี้ส่งผลให้ปลอดภัย

ถาม : ทำวันนี้ได้เลยหรือคะ ?
ตอบ : ต้องรีบทำก่อนผ่าตัด

ถาม : ต้องปล่อยกี่ตัว ?
ตอบ : กี่ตัวก็ทำไปเถอะ ถ้าเป็นอาตมาก็เหมาแม่ค้าหมดเป็นราย ๆ ไปเลย

เถรี
08-08-2010, 00:29
พระอาจารย์เล่าเรื่องผีให้ฟังว่า "สมัยแรก ๆ ที่บวชอยู่วัดท่าซุง ด้วยความที่ตั้งใจจะเจริญกรรมฐานให้ได้มากที่สุด ทุกวันก็ต้องรีบตื่นแต่เช้า ตอนนั้นใช้นาฬิกาปลุกสามเครื่องวางไว้เครื่องละมุม ไกลจากจุดที่ตัวเองนอน กะว่าถ้านาฬิกาดัง พอเราคลานไปกดให้เงียบ จะต้องหายง่วงแน่เลย แต่ถ้าอยู่ใกล้ ๆ มือ เรายกมือไปปิดเครื่องนิดเดียวก็ได้แล้ว อาจจะทำให้ไม่ยอมตื่น

แต่วันหนึ่งนาฬิกาปลุกเหลืออยู่แค่สองเครื่อง สาเหตุมาจากผี ตอนนั้นผีมาแกล้ง วางมวยกับผีกันอุตลุด เราเตะผีเสียเต็มที่ แต่ไปโดนนาฬิกาปลุกพังไปเลย ตอนเตะก็ว่าเตะผีนะ แต่ไปโดนนาฬิกาแทน พวกนี้เขารู้ความคิดของเรา ในเมื่อรู้ความคิดของเรา เราจะทำอะไรเขารู้หมด เขาจึงหลบทัน

ตอนไปอยู่ที่ตึกกองทุน ชอบใจตรงที่ว่าห้องพักมีเยอะ มีอยู่ ๘ ห้องใหญ่ ๆ ส่วนตรงกลางเป็นโถงใหญ่ สามารถเดินจงกรมได้สบาย เราก็เดินจงกรมไปจนกระทั่งหมดแรง ถ้าเหนื่อยไม่ไหวตรงไหนก็นอนตรงนั้น ซึ่งแถวนั้นไม่ต้องห่วง ผีดุทุกห้อง..!

มีอยู่คืนหนึ่งประมาณตีสองกว่า ๆ กำลังนอนตะแคงขวาสีหไสยาสน์อย่างดีเลย แต่ว่านอนหันหลังให้ประตูทางเข้า ปรากฏว่ามีนักเลงดีย่องมาตอนไหนไม่รู้ เดินทีตึกไหวทั้งหลัง..! ยวบ..ยวบ ตามจังหวะเดินเลย ตึกคอนกรีตเสริมเหล็กไหวทั้งหลังนี่ก็เกินไปนะ ก็รู้ว่าเขาแกล้งเราอีก

อาตมานอนภาวนาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ กะว่าพอจังหวะยวบสุดท้าย เท้าเราถึง ก็หมุนตัวเตะเลย..! ปรากฏว่าที่เดินมาเป็นลูกแมวตัวเล็กนิดเดียว เขากระโดดข้ามเท้าเราอย่างนิ่มนวล แล้วเดินออกไปประตูหลัง หันกลับมายิ้มให้ เคยเห็นแมวยิ้มไหม ? เห็นแล้วจะสยอง..! แล้วเขาก็เดินทะลุประตูหลังหายไป..!

น่าเตะจริง ๆ เลย ลูกแมวบ้าอะไรเดินทีตึกไหวทั้งหลัง เขาแกล้งอย่างนั้นทุกวัน เกิดมาเป็นที่รักของผีก็อย่างนี้แหละ ถูกผีแกล้งได้ทุกวัน"

เถรี
08-08-2010, 13:06
"แรก ๆ ที่ไปอยู่ก็ขอเขาว่า ให้ช่วยปลุกเวลา ๐๒.๕๕ น. ด้วย จะได้ตื่นขึ้นมาเจริญกรรมฐานก่อน ปรากฏว่าวันนั้นเพลียจัด ทำงานมาทั้งวัน ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะไปกว้านเรือแม่ใหญ่ขึ้นคาน

พี่ชลอ (พระครูปลัดชลอ วิมโล วัดศาลพันท้ายนรสิงห์) ท่านโหนจนหมดแรงแล้ว เราก็ต้องไปช่วยทำต่อ กว้านมาได้ทีละนิ้ว ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ กว่าจะเชิญท่านแม่ขึ้นแท่นได้ก็เหนื่อยจนหมดแรง

หมดสภาพ กลับไปนอนแผ่หลาอยู่ที่ห้อง เวลา ๐๒.๕๕ น. เขาก็ปลุกตามเวลาของเขา พอเขาปลุกตามเวลา เราก็บอกว่า "ไม่ไหวโว้ย ขอนอนอีกหน่อยเถอะ" ได้เลย..เขาให้กระบองอันเบ้อเร่อ ฟาดมาเต็ม ๆ กลางศีรษะ..! บอกให้ปลุกก็ปลุกตามเวลา ปลุกแล้วไม่อยากจะตื่นพ่อเลยฟาดซะ..! โหดจริง ๆ

พวกนี้เวลาปลุกเขาจะจับขากระตุก ถ้าคนไม่รู้จะคิดว่ากล้ามเนื้อขาเกร็งแล้วขาสะบัดเอง แต่จริง ๆ แล้ว เขาจับกระชากขึ้นมา อย่างไรก็ต้องตื่น แต่ตื่นแล้วจะลุกหรือเปล่านั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง"

เถรี
08-08-2010, 13:15
ถาม : อ่านหนังสือเจอ เขาบอกว่าถ้าจะชำระหนี้สงฆ์ในชาตินี้ ให้สร้างพระ ๑๒ นิ้ว..?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ แค่ ๑๒ นิ้วยังชำระไม่ได้ การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ต้องสร้างพระอย่างน้อยหน้าตัก ๔ ศอก ก็แปลว่า ๒ เมตร หรือ ๘๐ นิ้วขึ้นไป แล้วถ้าไม่ได้ปิดทองพระ ก็ชำระหนี้สงฆ์ได้เฉพาะเจ้าภาพคนเดียว แต่ถ้าสร้างแล้วปิดทอง กี่คนที่ร่วมบุญมาก็ถือว่าเป็นเจ้าภาพทั้งหมด มีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ได้ทุกคน

ถาม : ขอร่วมบุญสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ด้วยค่ะ
ตอบ : ห้ามเป็นหนี้สงฆ์ใหม่นะ..ชำระหนี้สงฆ์แล้วก็พยายามระมัดระวังไว้ อย่าไปทำเข้าอีก

เถรี
08-08-2010, 13:46
ถาม : อยากได้ลูกเจ้าค่ะ
ตอบ : ลองไปบนท่านปู่พระอินทร์ดูสิจ๊ะ ตั้งเครื่องบวงสรวงเข้าสักชุดหนึ่ง บอกกับท่านปู่พระอินทร์ว่า "เทวดาหรือนางฟ้าท่านใดที่ต้องการจะเกิดมาเพื่อสร้างบารมี ขอให้มาเกิดกับเรา และขอให้ช่วยครอบครัวของเราเจริญรุ่งเรืองขึ้นด้วย"

ถาม : เครื่องบวงสรวงมีอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : ในหนังสือสมบัติพ่อให้ของวัดท่าซุงน่าจะมี ลองไปดูเอาในนั้นแหละจ้ะ

เถรี
08-08-2010, 13:56
ถาม : ผมกำหนดจิตไปรับยันต์เกราะเพชรที่วัด ตอนนี้ยังอยู่หรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ได้ผิดศีล ยันต์ก็ยังอยู่ ถ้าคุณไม่กินเหล้า ไม่ลักขโมย ยันต์ก็ยังอยู่แน่ ๆ

เถรี
08-08-2010, 14:05
พระอาจารย์กล่าวถึงทรัพย์แผ่นดินว่า "จริง ๆ แล้วพวกบรรดาทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ในบ้านเมืองเรามีเยอะมาก แต่ที่ยังขึ้นมาไม่ได้เพราะคนของเรายังมีศีลมีธรรมไม่พอ ถ้าขึ้นมาก็จะเป็นของคนที่มีอำนาจแค่ไม่กี่คน

อย่างนั้นก็ไม่ใช่สมบัติของคนทั้งประเทศ ทรัพย์แผ่นดินจะต้องเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งประเทศ

จะเห็นได้ว่า อาตมาไปดูเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว จนป่านนี้ยังเอาออกมาไม่ได้ รอไปเถอะ พอน้ำท่วม คนไทยเหลือสัก ๗ - ๘ ล้าน จะได้ดูแลกันง่ายขึ้น ถึงเวลานั้นอาจจะเอามาใช้ประโยชน์ได้ เพราะพวกก้างขวางคอตายไปหมดแล้ว..!"

เถรี
08-08-2010, 14:36
ถาม : หนูเพิ่งเข้าใจที่ท่านบอกในเรื่องของการยอมรับกฎแห่งกรรม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นทำ เป็นไปโดยลีลากรรมเท่านั้น พอเห็นอย่างนี้ ก็ไม่เกิดเป็นการเพ่งโทษ หรือไปว่าร้ายตำหนิใคร เพราะไม่มีใครดีหรือไม่ดีอย่างไร พอเห็นตรงนี้แล้วทำให้เรารู้สึกสงบ ลดความวุ่นวาย เห็นความดับของเหตุนั้น อย่างน้อยหนูก็ยังเห็นและยืนยันได้ในส่วนที่ท่านทำมา
ตอบ : ชื่นใจ..อาตมาพูดปากเปียกปากแฉะมานาน อย่างน้อยก็มีคนเห็นบ้างแล้ว

พอวาระสุดท้ายก็ไม่มีใครดีใครชั่ว ทุกคนกำลังเป็นไปตามกรรม ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีใครให้ตำหนิ ในเมื่อไม่มีใครให้ตำหนิ เราก็ไม่ต้องไปสร้างเวรสร้างกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กับใคร

ไปนั่งมองต่อ พอนาน ๆ แล้วจะสนุก บางทีก็นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว คนอื่นเห็นว่าบ้าชัด ๆ เพราะเหมือนกับว่า ในขณะที่เรานั่งอยู่สบาย ๆ แต่คนอื่นกระโดดโลดเต้นของเขาไป กลายเป็นอะไรที่ตลก ๆ ไป

ถาม : ในขณะที่คนอื่นมองเห็นว่าสิ่งนี้แปลก เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น แต่เรากลับมองว่าธรรมดาที่เป็นอย่างนั้น เหมือนคนหมดความตื่นเต้นไปเลย
ตอบ : เมื่อวานบอกไปแล้วว่า ที่แปลกเพราะเรายังไม่เคยเจอ เจอแล้วก็เลิกแปลก

พอนาน ๆ ไป ความเป็นชายเป็นหญิง เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุธาตุสิ่งของก็จะไม่มี จะเห็นเหมือนกันหมด คือ สักแต่เป็นรูป เป็นนาม เป็นธาตุที่สมมติขึ้นมา

ที่มีจิตวิญญาณครองอาศัยก็แสดงอาการต่าง ๆ ออกไปตามแต่จิตวิญญาณที่ประกอบไปด้วยกรรมมาบงการ ที่ไม่มีจิตวิญญาณก็แสดงธรรมชาติของเขาให้เห็นว่า มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด

พอเห็นอย่างนั้นแล้ว ก็จะไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ทุกอย่างเป็นเหมือนกันหมด คือสักแต่ว่าเป็นรูปเป็นนาม สักแต่ว่าเป็นธาตุ เมื่อเป็นดังนั้น พวกราคะ โทสะ โมหะ ก็เลยเกิดไม่ได้ เพราะการปรุงแต่งไม่มี ทุกสภาพเหมือนกันหมด

ไปทำต่ออีกหน่อย ทำ ๆ ไป แล้วโลกนี้จะตีลังกากลับ เพราะเห็นอะไรในมุมที่เราไม่เคยเห็นเยอะแยะ ความเป็นธรรมดาในส่วนที่ปัญญาเรายังไม่ถึง เราก็จะมองข้ามไป พอถึงแล้ว มองเห็นแล้ว ทุกอย่างก็จะปรากฏเด่นชัดขึ้น ทีนี้เราก็ก็เลือกเอา อันนี้เพชร อันนี้พลอย อันไหนราคาแพงสุด เราก็คัดเลือกเอา จะได้ไม่ต้องแบกเยอะ

เถรี
08-08-2010, 23:45
พระอาจารย์กล่าวต่อในเรื่องทิฏฐิให้ฟังว่า "ในเรื่องทิฏฐินั้นก็แบบเดียวกับที่พระเจ้าปายาสิถามพระกุมารกัสสปะ แล้วพระกุมารกัสสปะท่านเปรียบเทียบให้ฟัง แต่พระเจ้าปายาสิก็ไม่ยอมละทิฏฐิ ท้ายที่สุดท่านก็เถียงข้าง ๆ คู ๆ ว่า ที่ไม่ยอมละทิฏฐิเพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าท่านมีทิฏฐิอย่างนี้ ถ้าไปละคนอื่นเขาก็ว่าเอาสิ..!

พระกุมารกัสสปะจึงบอกว่า "ดูก่อน..มหาบพิตร ชายสองคนไปเจออุจจาระแห้ง คิดว่าเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ก็เลยห่ออุจจาระแห้งกับผ้า แล้วทูนหัวไป พอเดินไปเจอกองปอมัดอยู่ ชายคนหนึ่งทิ้งอุจจาระแห้งแล้วแบกกองปอไป ส่วนชายอีกคนกลับไม่ยอมทิ้งอุจจาระแห้งนั้น

เดินไปอีกเจอกองป่าน ชายคนนั้นก็ทิ้งปอแล้วเอากองป่านไป ส่วนชายอีกคนก็ยังแบกห่ออุจจาระไว้ พอเดินไปอีกก็เจอป่านที่ทอเป็นผ้าแล้ว ชายอีกคนก็ทิ้งป่านแล้วแบกเอาผ้าไป ส่วนชายอีกคนก็ยังแบกกองอุจจาระไปตลอดทาง จนกระทั่งท้ายสุด เจอเงิน เจอทอง ชายอีกคนก็เอาเงินเอาทองไป

ส่วนชายที่แบกอุจจาระ พอเดินไปแล้วฝนตก อุจจาระก็ละลาย ทำให้ชายคนนั้นเหม็นไปทั้งตัว แต่ก็ยังไม่ยอมทิ้งอีก"

พระกุมารกัสสปะเปรียบเทียบว่า เหมือนกับพระเจ้าปายาสิ ที่ไม่ยอมละทิฏฐิ พระเจ้าปายาสิทรงพระสรวล ตรัสว่า "โยมเชื่อแต่แรกแล้ว แต่ที่ว่าดังนั้นเพราะอยากฟังท่านสมมติไปเรื่อย ๆ.." เพราะว่าพระกุมารกัสสปะสามารถที่จะสมมติได้วิจิตรชัดเจนมาก ฟังแล้วเห็นภาพพจน์ เข้าใจได้ทันทีเลย.."

เถรี
08-08-2010, 23:56
"พระเจ้าปายาสิเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นมาก เช่น ตายไปแล้วมีนรกมีสวรรค์จริงหรือไม่ ลองไปอ่านดูในปายาสิราชัญญสูตร ในพระสุตตตันตปิฎก

พระเจ้าปายาสิบอกว่าไม่เชื่อว่านรกมีจริง เพราะถ้าคนตายไปแล้วไปนรกจริง ให้กลับมาบอกด้วย รอคนแล้วคนเล่า ก็ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกท่าน

พระกุมารกัสสปะบอกว่า "ดูก่อน..มหาบพิตร ถ้าหากนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ พระองค์ท่านจับได้แล้ว ตัดสินประหารแล้ว ถ้าเขาขออนุญาตกลับไปบอกญาติหรือสานุศิษย์ต่าง ๆ แล้วจะกลับมาให้ประหาร พระองค์ท่านจะยอมปล่อยไปหรือไม่ ?" พระเจ้าปายาสิก็ตรัสว่า "ปล่อยไปไม่ได้หรอก มีแต่จะเร่งประหารเสียก่อน.."

พระกุมารกัสสปะกล่าวว่า "ลักษณะเดียวกัน ในนรกเขาลงโทษหนักกว่านี้อีก ใครเขาจะปล่อยออกมาให้มาบอกข่าวได้.." แล้วพระเจ้าปายาสิจึงกล่าวถึงพวกที่ไปสวรรค์ ไปสบายแล้ว "เราบอกแล้วว่าใครไปสวรรค์ให้กลับมาบอกข่าว แต่ก็ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกเลยสักคน.."

พระกุมารกัสสปะก็เปรียบเทียบว่า "เหมือนกับบุรุษตกลงไปในหลุมคูถ (หลุมอุจจาระ) พระองค์สั่งให้ราชบุรุษเอาตัวขึ้นมา อาบน้ำให้ตัวสะอาดเอี่ยม เปลี่ยนผ้าใหม่ให้ ประด้วยแป้งหอม น้ำมันหอม เอาพวงมาลัยสวยสดงดงามคล้องคอ แล้วบอกให้กระโดดลงไปในหลุมคูถตามเดิม จะมีใครกระโดดลงไปไหม ? ลักษณะเดียวกัน คนไปสวรรค์แล้ว เขามองเห็นว่าโลกนี้น่ารังเกียจประดุจหลุมอุจจาระ จึงไม่มีใครคิดที่จะย้อนกลับมา"

ท่านค่อย ๆ เปรียบทีละอย่าง..ทีละอย่าง ลองไปหาอ่านดู สำนวนโวหารท่านสุดยอด ในบาลีว่ากุมาระกัสสโปเถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก แปลว่า พระกุมารกัสสปะ ผู้เป็นใหญ่ในทางใช้ถ้อยคำอันวิจิตร คือ สามารถเปรียบเทียบได้สุดยอดมาก"

ถาม : มเหสีแปลว่าอะไร ?
ตอบ : แปลว่า เป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น..ผู้หญิงต้องเป็นใหญ่กว่า โบราณเขารู้ดี..! (หัวเราะ)

เถรี
09-08-2010, 09:58
พระอาจารย์เล่าเรื่องพระเจ้าปายาสิให้ฟังอีกว่า "พระเจ้าปายาสิอยากจะหาวิญญาณของคน ก็คือ ดวงจิต ถึงขนาดจับโจรมาใส่หม้อทั้งเป็น เอาหนังรัด เอาดินเหนียวพอกแล้วตั้งไฟจนกระทั่งเขาตาย เปิดดูก็ไม่เห็นมีวิญญาณ

บางทีก็จับมาเชือดทีละชิ้น ๆ รัดคอจนตายก็มี แล้วหาว่าวิญญาณอยู่ตรงไหนก็หาไม่เจอ พระเจ้าปายาสิก็เลยไม่เชื่อว่าจิตหรือวิญญาณมี ไปเกิดโลกใหม่ได้ก็ไม่เชื่อ

พระกุมารกัสสปะก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า อาจารย์ที่เป็นนักบวชสั่งลูกศิษย์ให้ก่อไฟเพื่อต้มน้ำ ลูกศิษย์ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า แค่สีไฟให้ติดก็ก่อไฟได้ แต่ลูกศิษย์ก็ผ่าฟืน ผ่าเพื่อหาว่าไฟมาจากไหน เพราะเห็นไฟมันติดมาจากฟืนเลยพยายามผ่าฟืนหาไฟ

ท่านเปรียบแต่ละอย่างภาพพจน์จะชัดเจนมาก ไปหาอ่านให้ได้ ถ้าไม่อ่านพระไตรปิฎกเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต"

เถรี
09-08-2010, 10:06
มีผู้หญิงคนหนึ่งมาจากประเทศอังกฤษ เธอเป็นคนไทยที่ไปเรียนอยู่ที่นั่น พระอาจารย์จึงสอบถามว่าไปอยู่ที่ไหนมา แล้วท่านจึงกล่าวว่า "ไปอยู่ต่างประเทศ นาน ๆ ไปบุคลิกจะเป็นฝรั่ง จึงได้ถามว่าไปอยู่ที่ไหนมา ?

ที่ว่าบุคลิกเป็นฝรั่ง ไม่ใช่ว่าหน้าตาเหมือน คือ บ้านเขาเราจะรู้สึกว่าเขากล้าแสดงออก ตรงไปตรงมา เคารพกฎหมายและความมีระเบียบ บุคลิกพวกนี้จะติดตัวมา จนกลายเป็นสมบัติของเราไปแล้ว

ต่อไปเราจะอยู่ประเทศไทยยาก เพราะเราจะทนความไม่มีระเบียบไม่ได้แล้ว ประเภทนัดตอนนี้แล้วอีกชั่วโมงยังไม่มา ได้ทะเลาะกันบ้านแตกแน่ แต่ต่างประเทศเขาตรงเวลาชนิดนาทีต่อนาที

บ้านเขามีส่วนดีของบ้านเขา บ้านเรามีส่วนดีของบ้านเรา แต่ทีนี้พอเราเคยชินกับที่หนึ่ง แล้วเอาไปวัดกับอีกที่หนึ่ง ก็จะเกิดข้อเปรียบเทียบที่ต่างกันมาก

ตอนที่ไปพม่าเมื่อ ๕ - ๖ ปีก่อน แรก ๆ อาตมารับเขาไม่ค่อยได้ เพราะเขาทำอะไรยืดยาดมาก เราต้องการจะเช่ารถตอนนี้ เขาบอกว่าวันนี้เป็นวันไม่ดี ออกรถไม่ได้ ให้รอก่อน พอถึงเวลารถวิ่ง เขาก็วนไปรับคนก่อน คือ ไหน ๆ ออกแล้วก็รับคนให้เต็มที่ นั่นเราเช่ารถเขามาแล้วนะ

วนแล้วหมู่บ้านนี้ไม่มี ก็วนไปหมู่บ้านอื่นอีก วนเสร็จย้อนกลับมาหมู่บ้านเดิม ถามว่ามีใครเปลี่ยนใจไหม ? คนเขาก็บอกว่ายังไม่ได้เตรียมตัวเลย คนขับรถก็บอกว่าไม่เป็นไร..รอได้..! สรุปแล้ววันทั้งวันเขาพาเราวิ่งไปได้แค่ ๒๒ ไมล์ แล้วเราก็ต้องไปค้างคืนกลางทาง

ถ้าสภาพจิตยอมรับ ไม่ดิ้นรนมาก เราก็จะอยู่ได้ แต่ถ้าดิ้นรนมาก เดี๋ยวก็เตลิดกลับไปต่างประเทศอีก"

เถรี
09-08-2010, 16:30
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องศรัทธาว่า "ในเรื่องของศาสนาทุกศาสนา ตัวศรัทธาจะต้องมาก่อนทุกอย่าง ถ้าขาดศรัทธาก็จะไม่เข้ามาสอบถาม ไม่เข้ามาศึกษา

ในเมื่อไม่มาสอบถาม ไม่มาศึกษา ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าศาสนาดีอย่างไร ฉะนั้น..เรื่องของศรัทธาจะต้องมาก่อน"

เถรี
09-08-2010, 16:41
ถาม : ช่วงนี้ผมดวงไม่ค่อยดีครับ
ตอบ : ภาวนาเยอะ ๆ แล้วจะดีเอง บุญของการภาวนาเป็นบุญใหญ่ จะช่วยให้ดีขึ้นได้เร็วที่สุด เร็วกว่าบุญอื่นทุกอย่าง

เถรี
09-08-2010, 17:03
ถาม : เวลาจะสอนเด็ก บางทีก็รู้สึกแน่น ๆ อึดอัด พอรู้สึกแน่น ๆ อึดอัด กลายเป็นว่าเนื้อหาที่สอนไป เด็กไม่เข้าใจ แต่พอสอนด้วยอารมณ์เป็นสุข เด็กก็เข้าใจในเนื้อหาที่สอน ตอนแรกหนูก็งง คิดว่าตนเองคงกินข้าวมากเกินไป
ตอบ : ไม่ใช่หรอก ถ้าอาการอย่างนั้นเกิดขึ้นแสดงว่ามีใครสักคนที่สงเคราะห์

ถาม : สงเคราะห์เขา ?
ตอบ : ใช่..อาจจะสงเคราะห์เด็กทั้งหมดก็ได้

ถาม : แต่ทำไมเราจึงรู้สึกอึดอัด ?
ตอบ : ถ้าคนไม่ช่างสังเกตจะไม่รู้สึก เพียงแต่สงสัยว่า ตั้งใจพูดอย่างหนึ่งแต่ทำไมกลายเป็นอีกอย่าง

ถาม : เป็นทุกคนหรือเปล่า ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็เป็นเรื่องเฉพาะคน แต่ถ้าคนช่างสังเกตก็จะรู้สึก ถ้าไม่ช่างสังเกตก็จะไม่รู้สึก ว่าทำไมวันนี้เราพูดอะไรไปเยอะแยะ ความจริงแล้วไม่ใช่เราพูด ใครก็ไม่รู้ยืมปากเราพูด

ถาม : บางทีอยู่เฉย ๆ แล้วง่วงมากเลย ปรากฏว่าเด็ก ๆ นั่งอยู่ก็ง่วง พอขึ้นเรื่องใหม่เด็กหายง่วง หนูก็หายง่วงไปด้วย
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก สอนเด็กได้ก็ใช้ได้

ก่อนเข้าพรรษาโรงเรียนอนุบาลเฟื่องฟ้าพาเด็กไปวัดท่าขนุนประมาณ ๑๐๐ คน เพิ่งจะรู้ว่าครูสอนเด็กอนุบาลต้องมีความอดทนมาก ๆ คือ พูดอะไรเด็กก็ไม่ฟังสักอย่าง เขาจะทำแต่สิ่งที่เขาชอบ ขนาดแบ่งเด็กออกเป็นสี ๆ แล้ว ก็ไม่ฟังหรอก เขาจะไปกับเพื่อนอย่างเดียว สีไหนก็จะไป

เถรี
09-08-2010, 17:22
มีโยมถวายของให้พระอาจารย์ วันต่อมาเขามาขอของคืน ในลักษณะผาติกรรมไป

พระอาจารย์เลยบอกว่า "แบบนี้เขาเรียกว่า ถวายแล้วตัดใจไม่ได้ เป็นพวกศรัทธาแบบหัวเต่า เดี๋ยวหดหัวเข้า เดี๋ยวโผล่หัวออกมา ศรัทธายังไม่แน่นอน"

เถรี
09-08-2010, 20:53
ถาม : ชักเริ่มไม่เหมือนคนอื่นเข้าทุกวันแล้ว เพราะไม่เอาเรื่องกับใคร ไม่อยากยุ่งกับใคร เหมือนอยู่ตัวคนเดียว
ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป พอไปอีกระดับหนึ่งก็จะเห็นว่า จริง ๆ แล้วคนเราไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว มีแต่คนที่เป็นไปตามวาระกรรมเขา แล้วเราก็จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับอนาคตของเขา

มีอะไรที่เราสามารถช่วยเหลือได้ก็ช่วยเหลือตามหน้าที่ของเรา พ้นจากนั้นแล้วเราก็ไม่ยุ่งกับเขา เราก็จะไม่แบกอารมณ์ของคนอื่น

ถาม : แล้วเราจะช่วยตัวเราเองอย่างไร เวลาที่อารมณ์ปรี๊ดขึ้นมา ?
ตอบ : หยุดไว้ให้ได้ก่อน

ถาม : รู้สึกว่าชอบเป็นอารมณ์ "ใช่" กับ "ไม่ใช่" ตลอดเวลา ท่านบอกให้มองเป็นกลาง ๆ บางครั้งก็มองออก บางครั้งก็มองไม่ออก ใช่อย่างนี้หรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน พอนาน ๆ ไปแล้วก็จะเริ่มกลมกลืน ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา

เถรี
09-08-2010, 21:10
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องอุเบกขาให้ฟังว่า "พระพุทธเจ้าของเราพระองค์ท่านเป็นสุดยอดของอัจฉริยะจริง ๆ

พรหมวิหาร ๔ ถ้าเรามีแต่เมตตากรุณาอาจจะแย่ เพราะว่าส่วนใหญ่เวลาช่วยคนอื่นไม่ได้แล้วใจจะหมอง พระองค์ท่านก็เลยประทานอุเบกขามาให้ด้วย แต่คราวนี้ คนที่จะใช้อุเบกขาเป็นต้องมีปัญญาจริง ๆ มีปัญญาอย่างเดียวไม่พอ จะต้องเด็ดขาดด้วย

เด็ดขาดในระดับตัดกิเลสฉับได้เลยยิ่งดี เพราะว่าถ้าไม่มีอุเบกขา คาดว่าคนดี ๆ คงจะบ้าอีกเยอะ ช่วยเขาไม่ได้แล้วก็มานั่งเสียอกเสียใจ ตีอกชกตัวเอง เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา ว่าทำไมเราช่วยเขาไม่ได้ ?

ในเมื่อมีตัวอุเบกขา แสดงว่าทุกอย่างมีคำตอบ เราเข้าใจแล้วว่าวาระเป็นอย่างนั้น แบบเดียวกับเมื่อวานที่โจเซฟ เขาบอกว่า กรรมเฉพาะตัวเขารู้ เขาเข้าใจ ว่าใครทำใครได้ แต่ประเภทที่โดนสึนามิ ตายทีเป็นแสน เขาทำกรรมอะไรกันมา ?

อาตมาก็บอกว่า พวกนี้เมื่อก่อนยกทัพไปตีบ้านตีเมืองเขา ถึงเวลาก็รับกรรมพร้อม ๆ กัน นั่นฝรั่งเขาถามนะ โจเซฟเขาเป็นชาวเยอรมัน มาครั้งนี้เขาลืมพาสปอร์ต ก่อนเดินทางก็ท้องเสีย มารเขาทดสอบกันขนาดนี้เลย

ในเรื่องของอุเบกขา จำเป็นต้องใช้ปัญญาช่วยเยอะมาก ๆ เพราะว่าถ้าไม่มีปัญญา เราก็ไม่รู้ว่าจะหยุดจะควรในวาระที่เหมาะอย่างไร"

เถรี
09-08-2010, 22:18
พระอาจารย์เล่าถึงภาพยนตร์เรื่อง ไต่เป็นไต่ตาย ( Vertical Limit ) ให้ฟัง ถึงการเสียสละของพ่อพระเอก ที่ยอมตัดสายเชือกในขณะปีนยอดเขา เพื่อให้ลูกของตนเองได้มีชีวิตรอด แล้วตนเองตกลงไปเสียชีวิตข้างล่าง เช่นเดียวกับเพื่อนของพระเอกในตอนท้ายเรื่อง ที่ยอมตัดสายเชือกเพื่อให้คนในคณะได้มีชีวิตรอดเช่นกัน

พระอาจารย์บอกว่า "ให้ลองไปหาหนังเรื่องนี้มาดู ดูแล้วคิดเป็นจะได้อะไรเยอะมาก เพราะลักษณะของการเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก เราจะต้องมีอุเบกขาให้ได้ระดับนั้น ยอมตัดใจ"ฉึบ" เดียวขาดเลย

เมื่อวาน ดร.เก้า (ดร.ชาญวิทย์ ทัศน์แก้ว) เขาบอกถึงสาเหตุที่พระพุทธเจ้าของเราตรัสรู้ก่อนพระศรีอาริยเมตไตรย โดยมีตำนานหนึ่งระบุไว้ชัดเลยว่า ตอนที่แม่เสือจะกินลูกตัวเอง พระพุทธเจ้าของเราตัดสินใจกระโดดลงไปให้เสือกินแทน ขณะที่พระศรีอาริย์ลังเลใจอยู่นิดเดียว ตัดสินใจไม่ทัน พระพุทธเจ้าท่านก็เลยตรัสรู้ก่อน

ตำนานพวกนี้บางทีในเถรวาทไม่มี ไปมีอยู่ในมหายาน แต่ ดร.เก้าเขาจบมาทางนี้โดยตรง เขาสืบค้นมาหมดทุกรูปแบบเลย"

เถรี
10-08-2010, 00:05
พระอาจารย์กล่าวต่อในเรื่องอุเบกขาว่า "อุเบกขา..ปล่อยได้..วางได้ ปล่อยวางด้วยปัญญานั้นหายาก ส่วนใหญ่แล้วปล่อยวางแบบหลวงพ่อชาท่านว่า "วางแบบควาย" คือ ใครจะอึดกว่ากัน

แต่ถ้าปล่อยวางด้วยปัญญาก็คือ ได้พยายามทุกวิถีทางแล้วแต่ไม่สามารถแก้ไขได้ ก็ต้องยอมรับ"

ถาม : ถ้าเรามีปัญญาในตัวอุเบกขา แล้วตัวที่เหลืออย่างเมตตา กรุณา มุทิตา กำลังจะเท่ากันกับตัวอุเบกขาหรือเปล่า ?
ตอบ : เท่ากันและผสานเป็นเนื้อเดียวกัน อุเบกขาก็ยังมีอุเบกขาด้วยความเมตตา อุเบกขาด้วยความกรุณา

ถาม : แล้วอุเบกขานั้น จะเลือกเอาตัวไหนมาใช้อย่างไร?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตอนนั้นว่าเป็นอย่างไร สมควรที่จะงัดตัวไหนขึ้นมาใช้

ถาม : บางทีรู้สึกว่าอุเบกขามากเกิน ก็ต้องไปดูตัวเมตตา กรุณา มุทิตา เมื่อวานเพิ่งเห็นว่าเป็นเรื่องที่ยากเหมือนกัน บางทีก็ต้องอาศัยสถานการณ์พาไป
ตอบ : สถานการณ์พาไปก็ยังดี ถ้าอารมณ์พาไปมักจะเละ..!

เถรี
10-08-2010, 00:18
ถาม : มีผู้มาทำบุญกุศลถวายสังฆทานในสามวันนี้ แต่ละครั้งเรานั่งอนุโมทนาทุกครั้ง ๆ กับพอครบสามวันแล้วเราขออนุโมทนาทีเดียวหมด จะได้เหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเอ็งมีชีวิตอยู่ไม่ถึงสามวันก็แปลว่าขาดทุน อย่างเช่นนั่ง ๆ อยู่เป็นลมตายไปเสียก่อน..ก็อด..!

ถาม : เห็นมีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อบอกว่า คนเป็นพระอรหันต์ แล้วขออนุโมทนาบุญท่าน ก็พ้นจากอบายภูมิ ก็เลยคิดว่าทำอย่างนั้นได้
ตอบ : รู้ทีหลังก็อนุโมทนาได้ จำไว้นะ..อย่าประมาท ถ้าเราประมาทคิดว่าโมทนาเย็นนี้ทีเดียว ถ้าวันนี้เราอยู่ไม่ถึงเย็นก็ได้

เถรี
10-08-2010, 00:48
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "เป็นธรรมดาของทุกสิ่งที่จะต้องไม่เที่ยง ถ้าอารมณ์ที่เราปฏิบัติได้ไม่ทรงตัว ก็แปลว่าเขากำลังแสดงความไม่เที่ยงให้เราเห็น

แต่คราวนี้จุดที่ต้องพึงสังเกตเลยก็คือว่า ที่ไม่ทรงตัวจริง ๆ เป็นส่วนของสมาธิหรือเป็นกำลังใจที่เราทรงได้ ? ถ้ารู้จักสังเกตก็จะเห็นว่า ส่วนใหญ่เกิดจากสมาธิตก สมาธิตกถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าเวลาเหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ หรือเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา สมาธิก็ต้องตกอยู่แล้ว แต่กำลังใจที่เราทำได้จะไม่ตก

ฉะนั้น..ถ้าใครจับจุดตรงนี้ได้ ก็จะไม่เสียเวลาไปคร่ำครวญอยู่กับของที่ไม่เที่ยง ความหนักแน่นหายไป แต่ความมั่นคงยังอยู่ ความหนักแน่นเกิดจากสมาธิ ความมั่นคงนั้นเป็นพื้นฐานของกำลังใจที่ปฏิบัติได้แล้ว

ฉะนั้น..ถึงจะสมาธิไม่หนักก็ช่าง ให้กำลังใจมั่นคงก็แล้วกัน หลายต่อหลายคนไปนั่งคลุ้มคลั่งว่าไม่น่าเลย หายไปอีกแล้ว ความจริงหายแค่สมาธิเท่านั้นเอง"

เถรี
10-08-2010, 13:28
ถาม : ถ้าผมอุปสมบทเป็นพระภิกษุ จะต้องเอาสร้อยพระออกใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องเอาออกก่อน เพื่อเป็นการป้องกันว่า เราขอถึงซึ่งไตรสรณาคมน์ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ ไม่ใช่บวชเข้ามาโดยที่ยังพกเครื่องรางของขลังที่ไม่ใช่พระอยู่ ซึ่งแปลว่าเรายังไม่ถึงไตรสรณาคมน์อย่างแท้จริง หลังจากที่บวชแล้วค่อยซุก ๆ เข้าไปใหม่ วันก่อนที่บวชทิดเก้า อุปัชฌาย์บอกว่า "ที่มือ ๆ" เขาจึงนึกได้ว่าที่มือเขายังใส่สายสิญจน์อยู่

ก็คือ ในเมื่อเราประกาศตนยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ท่านต้องการให้ยึดจริง ๆ จึงให้เอาของอื่นออกให้หมดก่อน แต่หลังจากนั้นเราค่อยไปยึดกันทีหลัง

นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง ที่พึ่งอื่นใดของเราไม่มียิ่งไปกว่า พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง ที่พึ่งอื่นใดของเราไม่มียิ่งไปกว่า พระธรรมเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง ที่พึ่งอื่นใดของเราไม่มียิ่งไปกว่า พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า

ท่านต้องการให้เข้าถึงคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ ก็เลยให้ปลดซะเกลี้ยง..!

เถรี
10-08-2010, 13:30
ถาม : ก่อนหน้านี้ก็กลัว ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำได้หรือพิจารณาได้จะหายไปหรือเปล่า ก็เลยลองคลายสมาธิออกมาดู ดูแล้วกลับเข้าไปใหม่
ตอบ : ลองได้ แต่ให้ลองด้วยความระมัดระวัง เพราะถ้าตกพรวดไป คราวนี้เราจะซมซานอยู่พักหนึ่ง รู้ทั้งรู้ว่าอันตรายแต่ก็ยังทำ..!

เถรี
10-08-2010, 13:36
พระอาจารย์ท่านกล่าวถึงความต้องการอาหารของร่างกายว่า "บางทีในสิ่งที่ร่างกายต้องการกับกิเลสต้องการ เป็นคนละอย่างกัน

บางครั้งธุดงค์อยู่ในป่านาน ๆ ร่างกายเราขาดสารอาหาร ต้องใช้คำว่า "โหย" ไม่ใช่ "หิว" หิวนี่กินแล้วหายหิว แต่ถ้าโหยกินแล้วไม่หาย เพราะร่างกายยังได้ไปไม่พอ

ตอนที่ไปธุดงค์อยู่ ๓๐ กว่าวัน เดินจากทุ่งใหญ่ ขึ้นอุ้มผาง แล้วลงไปห้วยขาแข้ง จากนั้นวนกลับมาอีกทีหนึ่ง ออกมาที่ริมเขื่อนศรีนครินทร์ มีโยมเขาเลี้ยง เขาหุงข้าวหม้อหนึ่ง มีปลาทอด มีน้ำพริกผักต้ม มีต้มยำ สามคนพ่อแม่ลูกคงจะรอกินต่อจากพระนั่นแหละ แต่ปรากฏว่าพระกวาดเกลี้ยงหม้อไม่เหลือข้าวสักเม็ด..!

เวลาร่างกายเราขาดสารอาหารมาก ๆ กินเข้าไปเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม กินไปได้เรื่อย ๆ ชูชกที่ท้องแตกตายก็เพราะอย่างนี้

มีอยู่เที่ยวหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านฉันเพลอยู่ ท่านบอกว่า "เฮ้ย..เล็ก ไปบอกป้านนทา ทำน้ำปลาพริกมาถ้วยหนึ่ง เร็ว ๆ" เราก็ไป ป้าแกอายุมากแล้ว แกก็ช้า กว่าจะซอยพริก กว่าจะทำเสร็จ เสียงหลวงพ่อมา "เร็วหน่อยโว้ย..อยากจนน้ำลายยืดแล้ว..!"

เราก็สงสัยว่าหลวงพ่อยังอยากอยู่หรือ ? เพิ่งมารู้ไม่นานนี้เองว่า ตอนนั้นร่างกายท่านต้องการ เพราะขาดสารอาหารไปเยอะ ใจท่านไม่ได้อยากหรอก"

เถรี
10-08-2010, 13:42
ถาม : เราจะจับสัญญาณความต้องการของร่างกายได้อย่างไร ?
ตอบ : ถ้ายกตัวอย่างอื่น ๆ ก็จะเห็นได้ยาก เอาคนที่อดบุหรี่ก็แล้วกัน กินข้าวเท่าไรไม่รู้จักอิ่มหรอก เพราะร่างกายโดนทำลายวิตามินต่าง ๆ ไปเยอะ โดยเฉพาะวิตามินซี เพราะฉะนั้น..คนที่อดบุหรี่จึงมักจะกินเอา ๆ กินจนอ้วน

แต่จริง ๆ ถ้าหากเขารู้ว่า ร่างกายโดนบุหรี่ทำลายวิตามินซีไปเยอะ ก็ซื้อวิตามินซีสักเม็ดละ ๒ มิลลิกรัม มาอมเล่น ๆ ไปทั้งวัน ก็จะไม่หิว เพราะร่างกายได้ของตรงกับความต้องการ แต่ในเมื่อไม่ได้ตรง ถึงเวลาก็ต้องไปเค้นเอาจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย

คนที่กินข้าวมีหรือที่จะกินมะนาวไปเป็นลูก ? ก็ไม่มี.. ในเมื่อไม่มีก็ไม่อิ่มสักที โหยอยู่ตลอดเวลา เลยต้องกินจนอ้วน

ฉะนั้น..ที่ร่างกายกับใจต้องการเป็นคนละอย่างกัน ใจต้องการบางทีเป็นกิเลสพาไป ร่างกายต้องการมีให้กินตามมื้อก็พอ แต่ถ้ากิเลสต้องการเราจะกินจุบกินจิบไปเรื่อย

จริง ๆ ถ้าไปต่างประเทศจะมีวินัยในการกินขึ้นอีกเยอะ บ้านอื่นเมืองอื่นเขาขายอาหารเป็นเวลา บ้านเรามีขายเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า มีกินได้ทุกตรอกทุกซอกทุกซอยเลย

บ้านเราถือว่ากินล้างกินผลาญ ที่เขาชอบเมืองไทยเพราะจะกินตรงไหนก็มี บ้านเขานี่เลยเวลาแล้วเขาปิดร้านไปเลย ต้องไปรอให้ร้านเขาเปิดถึงจะได้กิน

เถรี
17-08-2010, 09:53
ถาม : อย่างกรณีหลวงพ่อฤๅษีที่ท่านต้องการน้ำปลาพริก ?
ตอบ : ใจท่านไม่ได้อยาก เพียงแต่ร่างกายท่านขาดเยอะ ท่านอาจจะถ่ายท้องมาก ร่างกายก็เลยขาดธาตุเกลือ ขาดความเค็ม

มาถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงเรื่องในพระไตรปิฎก ที่ผู้ไปปฏิบัติธรรมในป่า พอถึงเวลาอยากเค็มอยากหวาน ก็ออกมาสู่โลกมนุษย์ นั่นคือร่างกายขาดสารอาหารมาก แต่บาลีแปลเป็นไทยว่า อยากเค็ม อยากเปรี้ยว อยากหวาน ก็เลยออกมาสู่โลกมนุษย์ ก็คือ เข้ามาในบ้านในเมือง เข้ามาเพื่อจะหาของกิน

ถาม : เราจะสามารถรู้ความต้องการของร่างกายได้อย่างไร ?
ตอบ : รู้ได้ ถ้าจิตมีความละเอียดพอ

ถาม : ต้องได้ระดับไหน ?
ตอบ : แค่ปฐมฌานละเอียดก็พอ

เถรี
17-08-2010, 11:00
ถาม : ในเรื่องการถือศีลแปด ถ้าเราเป็นครูสอนดนตรี หรือจำเป็นต้องฝึกซ้อมดนตรี จะผิดศีลหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าฟังเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน แล้วทำให้ขาดสติเพลิดเพลินไปกับดนตรีก็ผิดศีล ส่วนของเรานั้นเป็นอาชีพ ทำไปเถอะ..เวลาที่เหลือค่อยมารักษาศีลให้บริสุทธิ์

เถรี
17-08-2010, 12:05
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยนั้นพระที่มีความสามารถรองจากหลวงพ่อปาน ก็คือ หลวงพ่อเล็ก เกสโร วัดบางนมโค หลวงพ่อเล็ก วัดบางนมโค ท่านเป็นพระอาจารย์ ๑ ใน ๑๐๘ องค์ ที่เขานิมนต์มาพุทธาภิเษกพระ ๒๕ พุทธศตวรรษ

หลวงพ่อเล็กโดยศักดิ์แล้วเป็นลุงของหลวงพ่อฤๅษี (เป็นพี่ชายของแม่) ตอนที่แม่คลอดหลวงพ่อฤๅษี หลวงพ่อเล็กบอกว่า หลานคนนี้มาจากพรหม ให้ตั้งชื่อว่า "พรหม" ตอนหลังพอไปแจ้งนายทะเบียน นายทะเบียนบอกว่าชื่อสูงเกินไป เลยเปลี่ยนให้เป็นสังเวียน

พอหลวงพ่อฤๅษีไปอยู่วัดช่างเหล็ก เพื่อนร่วมรุ่นของท่านชื่อสำเนียง ส่วนหลวงพ่อชื่อสังเวียน ถึงเวลาอาจารย์เรียกมักจะขานรับผิดอยู่บ่อย ๆ ดังนั้น..พอได้ประโยคสามหลวงพ่อเลยเปลี่ยนเป็น พระมหาวีระ"

เถรี
17-08-2010, 12:09
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พระพุทธเจ้าได้บัญญัติศีลพระข้อหนึ่งว่า ห้ามพระทำผีหลอก ถ้าทำปรับอาบัติศีลขาด เพราะสมัยนั้นจะมีสามเณรที่บวชตั้งแต่อายุ ๗ ขวบอยู่หลายรูป พระท่านก็ไปทำผีหลอก จนเณรร้องไห้เพราะกลัวผี แสดงว่าเรื่องแกล้งกันในวงการนักบวชมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว

อาบัติอีกข้อก็คือ ห้ามซ่อนของใช้ส่วนตัวของพระ มีการระบุไว้เลยนะ..ซ่อนกล่องเข็ม ซ่อนประคดเอว ฯลฯ ใครซ่อนก็โดนปรับศีลขาด แสดงว่าสมัยนั้นแกล้งกันอย่างครึกครื้น

ในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะเป็นพระวินัยปิฎกหรือพระอภิธรรมปิฎก ถ้าอ่านดี ๆ จะได้อะไรเยอะมาก อ่านแล้วต้องคิดให้เป็น อย่าอ่านแล้วทิ้งเฉย ๆ อย่างเช่น ทำไมต้องห้ามข้อนี้ ถ้าห้ามแสดงว่าเขาทำกันมาก ถ้าทำกันมากแล้วไม่ห้ามเดี๋ยวจะเสียหาย เป็นต้น"

เถรี
17-08-2010, 12:13
พระอาจารย์เล่าเรื่องไม้ค้ำให้ฟังว่า "ทางล้านนาเรานิยมการดูแลต้นโพธิ์ เขาถือว่าเป็นไม้ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คราวนี้ต้นโพธิ์บางต้นแผ่กิ่งออกไปกว้างมาก กิ่งก็อาจจะหัก เขาจึงเอาไม้ไปช่วยค้ำ ทำไม้ไปค้ำไว้ ทำไปทำมาจึงเป็นความนิยมว่า ถ้าหากใครดวงไม่ดี ไปถวายไม้ค้ำโพธิ์จะได้ค้ำดวงชะตาตัวเองไว้ด้วย นานไปก็กลายเป็นความนิยมในเรื่องไม้ค้ำ กลายเป็นไม้ค้ำเงินไม้ค้ำทองอย่างในปัจจุบัน"

เถรี
17-08-2010, 12:57
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นสหชาติ เกิดพร้อมพระพุทธเจ้า

สหชาติที่เกิดพร้อมกันมีอยู่ ๗ อย่าง ก็คือ พระนางยโสธราหรือพระนางพิมพา พระอานนท์ นายฉันนะ กาฬุทายีอำมาตย์ ม้ากัณฐกะ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และขุมทรัพย์ทั้ง ๔ นี่เป็นสหชาติที่เกิดในวันเดียวกัน

มีใครสงสัยบ้างหรือไม่ ว่าม้าอายุยืนที่สุดเท่าไร ? เจ้าชายสิทธัตถะออกมหาภิเนษกรมณ์ ออกบวชโดยขี่ม้ากัณฐกะที่เป็นสหชาติไป มีใครระแวงหรือไม่ว่าม้าอายุ ๒๙ ปี จะมีแรงวิ่งไหวหรือเปล่า ? ม้าไม่น่าจะมีอายุเกิน ๓๐-๔๐ ปี นั่นถือว่าเป็นบั้นปลายของอายุม้ากัณฐกะเลย

ในอรรถกาท่านกล่าวเอาไว้ว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกมหาภิเนษกรมณ์ ปรากฏว่าประตูเมืองปิดแล้ว เจ้าชายคิดว่าประตูเมืองปิดก็ไม่เป็นไร เราจะใช้เท้าหนีบม้ากัณฐกะและจูงนายฉันนะกระโดดข้ามกำแพงไป นี่พระพุทธเจ้าท่านคิด ส่วนนายฉันนะท่านก็คิดว่า ประตูเมืองปิดไม่เป็นไร เราจะแบกม้ากัณฐกะพร้อมพระลูกเจ้ากระโดดข้ามกำแพงไป

ส่วนม้ากัณฐกะก็คิดว่า ประตูเมืองปิดก็ไม่เป็นไร เราจะแบกพระลูกเจ้าพร้อมนายฉันนะเกาะท้ายและกระโดดข้ามกำแพงไป แปลว่าทุกคนทำได้เสมอกันหมด กำลังดีขนาดนั้น

เป็นไปได้หรือ ? ก็ต้องดูตอนที่พันธุลเสนาทดสอบฝีมือ ฟันไม้ไผ่หนึ่งพันลำขาดในดาบเดียว แต่ความจริงไม่ใช่ไม้ไผ่อย่างเดียว เขาแอบเอาเหล็กสอดไว้ด้านในด้วย คนที่กำลังมากขนาดนั้นไม่ต้องแปลกใจ..เขาทำได้แน่ คราวนี้ม้ากัณฐกะวิ่งจากกบิลพัสดุ์ไปจนถึงเขตของแคว้นมคธ ระยะทางไกลเอาเรื่องเลย

พอเจ้าชายสิทธัตถะตัดพระเมาลี อธิษฐานเพศบรรพชิตและให้นำเครื่องทรงกลับ นายฉันนะก็นำเครื่องทรงพร้อมกับจูงม้ากัณฐกะกลับ อรรถกาบอกว่าม้ากัณฐกะอาลัยรักเจ้าชายสิทธัตถะมาก เดินยังไม่ทันจะลับสายตาก็อกแตกตาย

เราต้องมานึกว่าอกแตกตายหรือเหนื่อยตาย ? วิ่งไปคืนหนึ่งกับวันหนึ่ง น่าคิดเหมือนกันนะ ถ้าใครเรียนวิจัยเกี่ยวกับพุทธศาสนาให้ทำวิจัยเรื่องนี้หน่อย เผื่อจะได้คำตอบอะไรดี ๆ อีกเยอะ"

เถรี
17-08-2010, 14:10
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "สมัยก่อนเวลาเด็กตกใจหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ตกใจ เขาเชื่อว่า "ขวัญ" หรือ "มิ่งขวัญ" ประจำตัวจะเตลิดหนี ถึงเวลาก็ต้องไปทำพิธีเรียกขวัญ มีการนำกระด้งไปตักด้วย มีการฟ้อนรำเรียกขวัญด้วย

เมื่อเชิญขวัญกลับมาสู่ตัวแล้วก็จะมีการผูกขวัญ มัดข้อมือไว้ กันขวัญหนี

ถ้าหากมากล่าวถึงในแง่ของนักปฏิบัติ คนที่ขวัญหาย ขวัญหนี ขวัญอ่อน คือ คนที่กำลังใจน้อย ก็จะต้องให้คนที่กำลังใจเข้มแข็งกว่า มาทำพิธีผูกขวัญรับขวัญให้ เพื่อเป็นกำลังใจแก่คนที่ได้รับการผูกขวัญ เขาจะรู้สึกดีว่า ตอนนี้เป็นปกติแล้ว มีความมั่นใจกลับคืนมา สามารถที่จะทำมาหากินตามปกติได้

จริง ๆ แล้วในเรื่องของประเพณีโบราณ จะแฝงหลักธรรมทางพุทธศาสนาเอาไว้มาก หลักจิตวิทยาต่าง ๆ ก็มี เพียงแต่ว่าเราคิดถึงหรือมองเห็นหรือเปล่า ?

ยกตัวอย่าง บายศรีสู่ขวัญ ทำพิธีต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เหมือนลักษณะเชื้อเชิญ ในเมื่อเจ้าของสถานที่เชิญแล้ว บรรดาเทวดา หรือผีปู่ย่าตายายซึ่งรักษาที่ทางบ้านช่อง จะได้ไม่ขัดขวาง เขาจะได้อยู่เย็นเป็นสุข อยู่ร่วมกันกับเจ้าของสถานที่นั้น ๆ ได้"

เถรี
18-08-2010, 10:56
ถาม : ไม่รู้มีเวรมีกรรมอะไร จึงเจ็บไข้ได้ป่วย ?
ตอบ : การป่วยไข้ทุกอย่างมีผลมาจากเศษกรรมจากปาณาติบาตในอดีต เราทำเขาไว้ถึงเวลาก็ต้องชดเชยคืนเขาไป ให้ตั้งใจว่าเราขอชดใช้แค่ชาตินี้ชาติเดียว พ้นจากนี้เราก็ไปนิพพานแล้ว ถ้าตามทวงได้ก็เชิญ..!

เถรี
18-08-2010, 11:17
ที่บ้านอนุสาวรีย์จะมีเด็ก ๆ น่ารักหลายคนที่พ่อแม่พามากราบพระอาจารย์

ท่านอธิบายให้ฟังว่า "กุมาร มาจากศัพท์ ๒ คำ คือ กุ = ความเกลียด และ มาระ = ผู้ฆ่า กุมาร จึงแปลว่า ผู้ฆ่าซึ่งความเกลียด เป็นธรรมชาติของสัตว์โลกที่จะต้องเอาตัวรอด ถ้าลูก ๆ ไม่น่ารัก เดี๋ยวคนหรือสัตว์ที่ตัวโตกว่าก็จะกัดหรือทำร้ายให้ถึงตายได้"

นอกจากนี้แล้ว มีเด็ก ๆ บางคนเวลาเกิดอาการไม่พอใจอะไรนิดหน่อย ก็จะแสดงอาการโมโห ร้องไห้เอะอะออกมา พระอาจารย์กล่าวว่า "เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้ว แม้กระทั่งเด็กเพิ่งอายุนิดเดียว ยังไม่ถึงขวบเท่านั้นเอง รัก โลภ โกรธ หลง ก็มีอยู่เต็มแล้ว เพียงแต่ว่าเขามีโอกาสแสดงออกหรือเปล่าเท่านั้นเอง

อย่างเด็กเมื่อวาน แสดงว่าพื้นฐานโทสะจริตร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม สะกิดนิดเดียวไม่ได้ ระเบิดตูมเลย เขาเปลี่ยนจากปฏิฆะ (การกระทบ) เป็นโทสะ (ความโกรธ) เร็วมาก น่ากลัว"

เถรี
19-08-2010, 10:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานทำบุญครบรอบวันมรณภาพปีที่ ๑๘ ของหลวงปู่สาย วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๓ จะจัดให้มีการบวชเนกขัมมะถือศีลแปดสามวัน ก็คือบวชวันอาทิตย์ที่ ๑๒ วันจันทร์ที่ ๑๓ และวันอังคารที่ ๑๔ ทำบุญเสร็จก็สึก พร้อมรับประกาศนียบัตรของศูนย์ปฏิบัติธรรมจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน)

ถ้าใครอยากถือศีลแปดที่วัด ก็หาวันลาเอาไว้ แล้วก็แห่ไปนุ่งขาวห่มขาวกันสักหน่อย ถือว่าบวชถวายกุศลให้หลวงปู่และถวายให้ในหลวงด้วย

นี่เป็นครั้งแรกที่เปิดสำหรับฆราวาส ถ้ามีเวลาก็จะสอนกรรมฐานให้"

เถรี
19-08-2010, 10:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้การศึกษาปริยัติและปฏิบัติควบกันกำลังอยู่ในภาวะตกต่ำ พระผู้ใหญ่ก็เล็งเห็นข้อบกพร่อง เลยเปิดหลักสูตรวิปัสสนาภาวนาขึ้นมา มีทั้งระดับประกาศนียบัตร ถ้าหากว่าจบมาจะเป็นประกาศนียบัตรวิปัสสนาภาวนาโดยตรงเลย วุฒิเทียบเท่ากับ ม. ๖ สามารถไปเรียนต่อปริญญาตรีได้ เรียนวิชาการหนึ่งปีและนั่งกรรมฐานสามเดือน

ส่วนในระดับปริญญาตรีและปริญญาโททั่วไปบังคับว่าจะต้องสะสมวันปฏิบัติธรรมให้ได้ ๓๐ วัน โดยให้ปฏิบัติต่อเนื่องอย่างน้อยครั้งละ ๑๐ วัน ส่วนระดับปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาโดยตรง เรียนวิชาการสองเทอม แต่ให้นั่งกรรมฐานต่อเนื่อง ๗ เดือน ไม่ต้องไปไหน

หลักสูตรนี้ท่านเอามาจากที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ปฏิบัติอย่างเร็ว ๗ วัน อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างช้า ๗ ปี ถ้าทุ่มเทจริง ๆ ได้ผลแน่ ท่านก็เลยเอาอย่างกลาง ๗ เดือน

ปัจจุบันนี้ทางวัดท่าขนุนส่งพระและแม่ชีเรียนปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาอยู่ ๓ รูปด้วยกัน พระ ๑ แม่ชี ๒ นอกจากนั้นก็เรียนปริญญาโทปกติ และปริญญาตรีสายปกติ

แม่ชีเรียนแล้วได้ผลขอต่ออีก ๗ เดือน สองเดือนแรกแม่ชีบอกว่าฟุ้งซ่านมาก ฟุ้งขนาดที่กิเลสกำลังจะตาย จึงดิ้นสุดชีวิต ตาที่เคยได้เห็นก็ไม่ได้เห็น หูที่เคยได้ยินก็ไม่ได้ยิน จมูกที่เคยได้กลิ่นก็ไม่ได้กลิ่น ลิ้นที่เคยได้รสก็ไม่ได้รส กายที่เคยได้สัมผัสก็ไม่ได้สัมผัส ใจจะคิดเขาก็บังคับให้ภาวนาอีก จึงฟุ้งซ่านจะคลั่งตาย

แม่ชีบอกว่าไม่มีอะไรจะทำ ไปยืนมองที่หน้าต่างก็ยังดี เพราะเขาไม่ให้ออกไปข้างนอก ก็ต้องไปยืนหนอ..ยืนหนอ ตรงหน้าต่าง ให้มองข้างนอกสักนิดก็ยังดี ไม่อย่างนั้นกิเลสทำท่าจะตาย

บางทีก็ปวดท้องจนปัสสาวะจะราดอยู่แล้ว พอเดินพ้นชายคาเพื่อจะไปห้องน้ำ ปรากฏว่าหายเดี๋ยวนั้นเลย แค่ถูกหลอกให้เดินออกข้างนอกเท่านั้น ขอไปดูหน่อยว่าข้างนอกเป็นอย่างไร กิเลสหลอกเราได้ขนาดนั้น..!

พอเข้าเดือนที่สามใจเริ่มสงบ เพราะกิเลสไม่มีกำลังจะดิ้นแล้ว แม่ชีเพิ่งจะเข้าถึงความสงบในชีวิตอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก จึงขอเวลาอยู่ต่ออีก ๗ เดือนร่วมกับฝ่ายปริญญาโทที่เข้าไปพอดี ก็แปลว่างานนี้ออกมาคงจะได้บรรลุไปตาม ๆ กัน..!

ทางวัดท่าขนุน ปัจจุบันก็ส่งเรียนทุกระดับไม่ว่าจะเป็นพระ เณร แม่ชี เด็กวัด เพราะฉะนั้น..ถ้าใครคิดจะเรียนแล้วไม่มีทุน ไปบวชพระ บวชชี บวชเณรที่วัด แล้วจะส่งให้ เรียนจบแล้วค่อยสึกออกมาก็ไม่ว่ากัน ขอเพียงตอนบวชคุณทรงความดีเบื้องต้นให้ได้ก็แล้วกัน"

เถรี
19-08-2010, 10:28
พระอาจารย์บอกเด็ก ๆ ว่า "เด็ก ๆ ควรให้พยายามนั่งกรรมฐานดูลมหายใจเข้าออก วันละ ๕ นาที หรือ ๑๐ นาที ถ้าทำได้จะเรียนเก่งทุกคน"

เถรี
19-08-2010, 10:32
ถาม : สร้างพระขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไปจะมีอานิสงส์แตกต่างตามขนาดหรือไม่ ?
ตอบ : ประมาณไม่ได้จ้ะ ท่านใช้คำว่าพุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ การสร้างพระจะองค์เล็กเท่าปลายนิ้วหรือองค์ใหญ่เท่าภูเขา เกิดชาติใหม่จะเล็กไม่เป็น ทำอะไรเขาก็ยันออกหน้าไปตลอด

จะองค์ใหญ่หรือองค์เล็กขอให้ได้ทำ โดยเฉพาะทำด้วยความเลื่อมใส อย่างเมื่อเช้าคุณคณานันท์ ทวีโภค จากเว็บพลังจิต เอาพระประธานมาถวาย เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องลักษณะพระแก้วมรกตฤดูร้อน หน้าตักน่าจะถึง ๓๐ นิ้ว ตั้งใจไว้ว่า จะเอาไปเป็นพระประธานที่บ้านวิริยบารมี

บอกเขาว่าให้อธิษฐานสามอย่างด้วยกัน อย่างที่หนึ่ง ถ้าเกิดอีกไม่ว่าชาติใดก็ตาม ขออย่าได้เกิดนอกเขตพระพุทธศาสนา ข้อที่สอง ถ้าหากว่าจะตาย ขอภาพพระนี้ติดตาติดใจเราอยู่จนวาระสุดท้าย ข้อที่สาม ด้วยกุศลบารมีที่ร่วมกันสร้างพระนี้ ขอไปนิพพานแห่งเดียว เพราะฉะนั้น..ให้พวกเราจำ ๆ เอาไปใช้งานกันบ้าง

เถรี
19-08-2010, 10:34
ถาม : เราเกิดมาได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : คนเราเขาทำดีทำชั่วกันมาทั้งนั้น คราวนี้จะเกิดมาเป็นคนต้องมีความดีเยอะหน่อย คือ ต้องมีศีล ๕ ข้อ ในเมื่อมีศีล ๕ ข้อแล้ว จะหาที่เกิด ก็ต้องมีคนที่มีกรรมเนื่องกับเรามา เขาจึงเปิดประตูรับ ถึงเวลาหาที่เกิดได้ก็มุดเข้าท้องแม่ อีก ๙ หรือ ๑๐ เดือนแม่ก็คลอดออกมาเอง

เถรี
20-08-2010, 09:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "การทำบุญบ่อย ๆ นี่ได้เปรียบนะ ใจได้สละออกไปเรื่อย ๆ ความเคยชินทำให้ต่อไปก็จะสละได้เป็นปกติ ไม่อย่างนั้น ตัวเราเองกว่าจะหาทรัพย์สินเงินทองมาได้ก็ด้วยความเหนื่อยยาก การที่จะสละออกไปทำบุญนั้นต้องอาศัยกำลังใจสูงมาก

กำลังใจอย่างเดียวก็ไม่พอ ต้องมีปัญญารู้อีกด้วยว่าบุญนั้นเป็นสิ่งดี ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีอารมณ์ที่จะไปทำ คนเราถ้าก้าวมาถึงในระดับที่รู้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดควร แล้วก็เลือกทำได้นั้น จริง ๆ แล้วมีโอกาสที่จะพ้นกระแสได้ทุกคน"

เถรี
20-08-2010, 09:28
ถาม : การที่เราอนุโมทนาบุญในสิ่งที่ผ่านมาสามสี่ปีก่อน จะมีผลในปัจจุบันไหมครับ ?
ตอบ : การโมทนาบุญ คือการที่เราพลอยยินดีในความดีของคนอื่นเขา ที่เราไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้น คราวนี้เราจะโมทนาบุญของเขานั้น ต้องมาดูว่า เราพลอยยินดีในผลบุญของเขา หรือเราอยากได้บุญของเขา ?

ถ้าเราอยากได้บุญของเขา แปลว่าเราวางกำลังใจผิด โอกาสที่จะได้บุญก็น้อย เห็นเขาทำความดีแล้วเราไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้น แล้วเราพลอยยินดีในความดีของเขา จิตที่พลอยยินดีนั่นแหละที่เป็นบุญกุศลขึ้นมา เพราะเราไม่มีความอิจฉาริษยา เพราะเรายินดีจากใจจริง

ปัจจุบันนี้ที่โมทนาบุญกัน มักจะโมทนาในลักษณะวางกำลังใจผิดทั้งนั้น เขาโมทนาในลักษณะ "กูจะเอาของมึง" ต้องวางกำลังใจใหม่ ถ้าวางถูกเมื่อไร ก็รับบุญไปเต็ม ๆ

ฉะนั้น..ปัตตานุโมทนามัยเป็นบุญที่ได้ง่ายมาก แต่ก็ทำยากมาก แต่ไม่เป็นไรหรอก ยกมือสาธุไปเรื่อย ๆ ถึงไม่ได้ร้อย ได้ทีละยี่สิบ สามสิบ เดี๋ยวนานไปก็ได้ร้อยไปเอง

เถรี
20-08-2010, 09:29
ถาม : เวลาสวดมนต์จะรู้สึกเจ็บที่หัวใจ
ตอบ : การทำความดีเขาแลกกันด้วยชีวิต แค่นั้นเรื่องเล็ก ๆ เจ็บแค่นี้ไม่ตายหรอก ขันธมารเขามากวนเล่นเฉย ๆ

เถรี
20-08-2010, 09:34
ถาม : เมื่อวานไปฝึกมโนมยิทธิ ครูฝึกบอกว่าได้แล้ว แต่พอลงมาตรวจสอบตัวเอง ให้เพื่อนเขียนเลข แล้วเราทายดู แต่ทายไม่ถูก
ตอบ : กระบือชัด ๆ เลยน้อง..! ขนาดระดับคล่องตัวแล้วเขายังทายกันไม่ถูกเลย แล้วนี่คุณเพิ่งจะฝึก สามารถสร้างความไม่มั่นใจให้ตัวเองได้ดีมาก ค่อย ๆ ซ้อมไปสิโว้ย..! ใหม่ ๆ ร้อยครั้งถูกสักครั้งถือว่าฟลุ้กตายชักแล้ว หลังจากนั้นถ้าถูกสักแปดในสิบแล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มรายละเอียดอื่น ๆ ไป

ถาม : ถ้าเราซื้อลูกเต๋ามาลูกหนึ่ง ทอยแล้วปิดฝา แล้วก็ทายตัวเลข อย่างนี้จะได้ไหม ?
ตอบ : ได้

ถาม : ถ้าเรานั่งสมาธิไป เราภาวนาไป แล้วคำภาวนาหาย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนั้นเราสติขาด หรือจิตเราเข้าถึงฌานสองฌานสาม ?
ตอบ : ความรู้สึกทั้งหมดของเราถ้ายังจดจ่ออยู่กับที่ นั่นก็คือกำลังของฌาน แต่ถ้าหากคำภาวนาหายไปเฉย ๆ โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย นั่นคือสติขาด

ไปซ้อมบ่อย ๆ เรื่องมโนมยิทธินั้นต้องการคนขยันและต้องหน้าด้านด้วย คือผิดแล้วต้องไม่ท้อ ซ้อมมากเข้า ๆ ความคล่องตัวมีมากขึ้นแล้วจะทายถูกมากกว่านี้

เถรี
20-08-2010, 09:35
ถาม : เวลายกจิตขึ้นบนพระนิพพานกับเวลาอยู่ตรงนี้สบาย ๆ ผมสังเกตว่าอยู่ตรงนี้จะสบายกว่ายกจิตขึ้นพระนิพพาน
ตอบ : เป็นเพราะกำลังของเรายังไม่พอ ต้องอาศัยการตะเกียกตะกายเพื่อให้อยู่บนนิพพานได้จึงเหนื่อยหน่อย แต่ถ้ากำลังของเราพอแล้ว อยู่ข้างบนจะสบายกว่า

เถรี
20-08-2010, 09:37
ถาม : จะสอนสมาธิลูกได้อย่างไร?
ตอบ : บอกให้เขาพุทโธ ๆ สัก ๓ ครั้งก่อนนอน ต่อไปก็ค่อย ๆ เพิ่มเยอะขึ้น จาก ๓ ครั้งเป็น ๙ ครั้ง

อย่าไปรีบร้อน ใจเย็น ๆ สำหรับเด็ก ๆ ถ้าพุทโธ ๓ ครั้ง ทำได้สม่ำเสมอทั้งปีก็สุดยอดแล้ว

เถรี
20-08-2010, 09:38
ถาม : เวลานั่งสมาธิ จิตมักจะชอบคิด ทำอย่างไรจิตถึงจะรวมตัว ?
ตอบ : ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วเราภาวนาก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย ดึงความรู้สึกทั้งหมดให้มาอยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ได้

เถรี
21-08-2010, 11:37
ถาม : ระหว่างสังฆทาน วิหารทาน และธรรมทาน อภัยทานจัดอยู่ในส่วนไหน?
ตอบ : อภัยทานถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมทาน เราจะอภัยได้กำลังใจเราต้องเข้าถึงธรรม ถ้าเข้าไม่ถึงธรรมก็อภัยให้เขาไม่ได้
ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมทานเหมือนกัน แต่ว่ากำลังใจของบุคคลที่จะเข้าถึงอภัยทานได้ น่าจะต้องละความโกรธได้เบาบางลงมากแล้ว

ถาม : ในระหว่างเราทำกิจกรรมต่าง ๆ ถ้าเราแบ่งจิตว่าบนพระนิพพานเราก็ทำแบบนั้นด้วย
ตอบ : อยู่บนพระนิพพานจะไปทำอะไรวะ ? เอากำลังใจส่วนหนึ่งเกาะนิพพานไว้ ส่วนข้างล่างจะทำอะไรก็ทำไป ถ้าเอากายบนไปทำเหมือนข้างล่างก็เพี้ยนเท่านั้น..!

ถาม : เวลาที่ท่านเกาะนิพพาน ท่านคิดอย่างไรครับ ?
ตอบ : เอานิพพานครอบหัวไว้ก็พอ ตัวเราจะทำอะไรก็ทำไป เอากำลังใจส่วนหนึ่งเกาะนิพพานไว้เท่านั้นเอง

เถรี
21-08-2010, 11:40
ถาม : งานกฐินปีที่แล้ว ท่านบอกว่าจะเข้าสมาบัติก่อนรับกฐิน ตอนนั้นผมมีเลขที่บัญชีของท่าน ถ้าตอนเช้าผมโอนเงินเข้าบัญชีท่านจะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่ทันรับประทาน..! คนอื่นเขาจ้องอยู่ตั้งแต่ก่อนเช้าแล้ว

ถาม : แต่ถ้าเราโอนเงินเข้าไปก็เหมือนกับเรามาประเคนให้พระสงฆ์ ?
ตอบ : บุญเราได้ตั้งแต่คิดจะทำแล้ว

ถาม : บางทีก็ฝันว่าทำสมาธิในฝันซ้อนอีกทีครับ รู้สึกเกิดปีติ จิตเป็นสุขมาก อย่างนี้มีอานิสงส์ไหมครับ ?
ตอบ : แสดงให้เห็นว่ากำลังความดีของเราสูง จึงได้ฝันในด้านที่ดี อานิสงส์คือความชื่นใจ ได้กำลังใจ

ถาม : และการทำสมาธิในฝันจะมีผลไหมครับ ?
ตอบ : ฝันก็คือฝัน แค่แสดงออกว่ากำลังใจเราเกาะความดีมากกว่า หรือเกาะความชั่วมากกว่า เวลาฝันกำลังใจตั้งมั่นน้อย ถ้าทำสมาธิได้มั่นคงจะไม่ฝัน..!

เถรี
21-08-2010, 11:42
ถาม : ๑ มหากัป กับ ๑ อสงไขยเขานับกันอย่างไร ?
ตอบ : ๑ กัปเขานับเอาระยะเวลาที่อายุขัยของบุคคลตั้งแต่ ๑๐ ปีขึ้นไป พอผ่านไปร้อยปีก็นับเป็น ๑๑ ปี ผ่านไปร้อยปีก็เพิ่มเป็น ๑๒ ปีไปเรื่อย ๆ

จนกระทั่งอายุขัยนั้นได้ เลข ๑ ตั้งขึ้นมา ต่อด้วยเลขศูนย์ ๑๔๐ ตัว หลังจากนั้นก็ร้อยปีลดปี..ร้อยปีลดปี จนกระทั่งเหลือ ๑๐ ปี อันนั้นจะเป็น ๑ รอบ เขาเรียก อันตรกัป

๖๔ อันตรกัปจะเป็น ๑ อสงไขยกัป
๔ อสงไขยกัป เป็น ๑ มหากัป
ไม่ต้องเสียเวลาไปนับหรอก ประสาทกินเสียเปล่า ๆ

เถรี
21-08-2010, 11:46
ถาม : การที่คน ๆ หนึ่งไปปรากฏร่างที่อื่น ใช้วิชาอะไรได้บ้างครับ ?
ตอบ : มโนมยิทธิก็ได้ อีกอย่างหนึ่งก็กำลังของอภิญญา ประการสุดท้าย เทวดาทะลึ่ง..!

ถาม : เทวดาทำหน้าที่แทนหรือครับ ?
ตอบ : ทำหน้าที่แทน

ถาม : อย่างเวลาท่านไปปรากฏตัว ท่านไปอย่างไรครับ ?
ตอบ : นั่งรถไป..!

ถาม : แล้วถ้าไปได้ ไปแบบมโนมยิทธิแบบเต็มกำลังหรือครึ่งกำลัง ?
ตอบ : เรื่องของมโนมยิทธิ ถ้าไปได้เป็นการไปแบบเต็มกำลังทั้งนั้น ที่บอกว่าครึ่งกำลังนั้น ครึ่งกำลังแค่ตอนเห็น ถ้าตอนไปเต็มกำลังแล้วทั้งนั้น

ถาม : ถ้าไปแล้ว จิตในร่างสามารถพูดคุยกับคนอื่นได้ตามปกติ
ตอบ : อย่างนั้นต้องเป็นอภิญญาใหญ่ เป็นส่วนของมโนมยิทธิเหมือนกัน แต่เป็นกำลังของอภิญญาใหญ่ ไม่ใช่มโนฯ ทั่ว ๆ ไป

เถรี
21-08-2010, 11:50
ถาม : การกำหนดเห็นแสงสว่าง แสงสว่างที่เราเห็น กำหนดเป็นแสงสีอะไรครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ขึ้นอยู่กับความชำนาญและระดับสมาธิ ถ้าหากระดับสมาธิสูง มีความชำนาญมาก จะกำหนดเป็นสีอะไรก็ได้
แต่ถ้าทั่ว ๆ ไป แสงสว่างก็คือสว่าง จะบอกว่าเป็นสีอะไรก็บอกไม่ถูก หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านจึงให้กำหนดเป็นแก้วแทน

ถาม : ถ้ากำหนดเป็นแก้ว ก็ต้องสว่างเป็นใส ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าปกติกำหนดเป็นรูปดวงแก้ว ถ้าเริ่มมีรัศมีแสดงว่าสมาธิเริ่มทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว

ถาม : ผมลองฝึกกำหนดให้สว่างแบบแสงสีส้มบ้าง สีเหลืองบ้าง กำหนดไม่ถูกครับ ว่าจะเอาแสงสว่างลักษณะใด ?
ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจว่าสีอะไร เอาแค่ว่าได้หรือเปล่า ทำให้ได้ก่อน ถ้าได้แล้วจะพลิกแพลงอย่างไรค่อยว่ากันทีหลัง

แต่ถ้ายังทำไม่ได้แล้วยังไปเลือก ก็รอไปเถอะ แรก ๆ เราต้องกินไม่เลือก อะไรใกล้มือคว้าไว้ทั้งนั้น นาน ๆ ไปมีความคล่องตัวมากขึ้นก็เริ่มเลือกได้

เถรี
21-08-2010, 11:54
ถาม : เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราถึงฌานไหนแล้ว ? อย่างฌานหนึ่ง ฌานสอง ฌานสาม
ตอบ : ในหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ถ้าจำไม่ผิดเป็นบทที่ ๗ หน้าที่ ๔๐ เรื่องการทรงฌาน เอาเล่มนี้แหละ (ท่านให้หนังสือกรรมฐาน ๔๐ ) ไปนั่งอ่านเอง อธิบายแล้วยาว
อ่านหลาย ๆ รอบให้เข้าใจว่า แต่ละฌานมีอารมณ์อะไรบ้าง พอเข้าถึงเราจะอ๋อเลย

เถรี
21-08-2010, 11:56
ถาม : เวลาทำสมาธิจะง่วง
ตอบ : ถ้าไม่เปลี่ยนอิริยาบถ ก็ต้องเอาสติจี้ตามลมหายใจเข้าไปให้ติด ๆ ถ้าหากทิ้งระยะห่างนิดเดียวจะตัดหลับเลย ทิ้งห่างก้าวเดียวเท่านั้นก็ตัดหลับไปแล้ว

เถรี
21-08-2010, 15:27
ถาม : คำว่านิโรธกรรม กับนิโรธสมาบัติเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : นิโรธกรรมเป็นแนวปฏิบัติที่ทางเหนือเขานิยมกัน ส่วนนิโรธสมาบัติตามตำราบอกไว้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นเราใช้คำว่านิโรธกรรม จะปลอดภัยกว่า

ถาม : ถ้าใช้คำอื่น อย่างเช่นเข้ากรรมฐาน แต่ปฏิบัติตามการเข้านิโรธสมาบัติ
ตอบ : นั่นก็ปลอดภัยยิ่งกว่า

เถรี
22-08-2010, 09:13
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อวานมีเด็กอยู่คนหนึ่ง เขาค่อนข้างจะเป็น "ผู้ฉิง" เขามาถามว่า เพศที่สามอย่างเขา มีโอกาสบรรลุมรรคผลหรือไม่ ? ก็เลยกล่าวให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าแบ่งบุคคลเป็นสี่ประเภท

ประเภทที่หนึ่ง อุคฆติตัญญู ฟังหัวข้อธรรมแล้วเข้าใจ บรรลุธรรมได้ ประเภทที่สอง วิปจิตัญญู ฟังหัวข้อธรรมแล้วยังไม่เข้าใจต้องอธิบาย ขยายความสักส่วนหนึ่งจึงเข้าใจ แล้วบรรลุธรรมได้ ประเภทที่สาม เนยยะ เคี่ยวเข็ญแล้วสามารถที่จะเข้าใจ ถ้าไม่เคี่ยวเข็ญก็ไม่ได้ ประเภทที่สี่ ปทปรมะ ฉลาดเกินจนไม่ยอมรับความคิดคนอื่น

ก็แปลว่าถ้าตัดประเภทสุดท้าย ที่ไม่ยอมรับความคิดคนอื่นออก อีกสามประเภทนี่เขาไม่ได้กำหนดเลยว่าเป็นเพศไหน ผู้ชายที่ใจเป็นหญิง อย่างน้อยบารมีก็ยังสูงกว่าผู้หญิงทั่วไป ๆ เพราะว่าการเกิดแต่แรก ตั้งแต่สามัญบารมีขึ้นมาจะเป็นผู้หญิงมาก่อน พอมาเป็นอุปบารมีขั้นปลายเริ่มจะมาเป็นผู้ชาย

การสร้างบารมีกำลังใจจะเข้มข้นไปเรื่อย ๆ ช่วงก่อนที่จะมาเป็นผู้ชาย ก็คือ ระหว่างจากผู้หญิงจะมาเป็นผู้ชาย จะมีนิสัยบางส่วนของผู้ชายเกิดขึ้น สมัยนี้เราก็ไปว่าเขาเป็นทอม พอเกิดมาเป็นผู้ชายใหม่ ๆ จริตนิสัยผู้หญิงบางส่วนติดมา เราก็ไปว่าเขาเป็นตุ๊ด แต่ถ้าเราเข้าใจจริง ๆ จะรู้ว่านั่นเป็นขั้นตอนปกติของการสร้างบารมี ถ้าคุณเข็นมาจนถึง ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป โอกาสบรรลุมีทั้งนั้น

คนส่วนใหญ่ไปเห็นว่าเขาไม่ปกติ แต่จริง ๆ แล้วปกติของเขาเป็นอย่างนั้น เพราะว่าการเกิดมาต้องค่อย ๆ สร้างบารมีเพิ่มขึ้น ก็ต้องเคยเป็นอย่างนั้นมาทั้งนั้น คนที่เป็นผู้ชายเต็มตัวก็เคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน คนที่เป็นผู้หญิงเต็มตัวเดี๋ยวก็ต้องเป็นอย่างนั้นบ้าง จะช้าจะเร็วเมื่อวาระมาถึงก็ต้องเป็น"

เถรี
22-08-2010, 09:18
ถาม : ผมเข้าใจว่าคนเป็นกระเทย เป็นเพราะผิดศีลข้อกาเมฯ
ตอบ : กระเทยไม่ใช่ผิดศีลข้อกาเมฯ กระเทยส่วนมากมาจากโทษของการตอนสัตว์ คนที่ผิดศีลข้อกาเมฯ มาก ๆ เขาให้เป็นเพศตรงข้ามไปเลย คือ เป็นผู้ชายก็ให้ไปเกิดเป็นผู้หญิง จะได้ช้ำใจเวลาที่สามีไปมีคนอื่นบ้าง

อันนั้นเป็นเศษกรรมของศีลข้อกาเมฯ เงินต้นเขาเก็บในนรกไปแล้ว ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแค่เศษกรรม เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น

เถรี
22-08-2010, 09:20
ถาม : ผมจะแก้ไขอย่างไรดี เวลาขับรถภาวนาหรือนั่งลืมตาอยู่ตรงนี้ นึกถึงภาพพระแล้วจะเห็นภาพพระแจ่มใส แต่พอเวลาหลับตาเพื่อทำสมาธิจริง ๆ กลับเห็นภาพพระมัว ๆ ?
ตอบ : ถ้าเราถนัดอย่างไหนก็ให้ทำอย่างนั้น บางคนถนัดหลับตา บางคนถนัดลืมตา แค่ให้สังเกตว่าอารมณ์ใจตอนที่เราเห็นภาพพระชัดเจนแจ่มใส ความมุ่งมั่นที่เราเกาะภาพพระมีมากกว่า หรือรู้ว่าโอกาสที่จะตายมีสูง ก็เลยเกาะมากหน่อย

ฉะนั้น..เราก็เอากำลังใจระดับเดียวกันมาใช้ตอนนั่งสมาธิ ถ้าไม่สังเกตตรงนี้เดี๋ยวจะหาทางไปไม่เจอ แทนที่จะไปดูความชัดเจน ให้เรามาดูความมุ่งมั่นของเรา ว่าตอนนั้นเราใช้กำลังเท่าไร

เถรี
22-08-2010, 09:31
ถาม : ศีล ๘ เขาให้รักษาถึงเวลาเที่ยงคืนหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เขาให้รักษาตั้งแต่เช้าวันนั้นจนถึงเช้าอีกวัน ก็แปลว่าวันหนึ่งและคืนหนึ่ง ภาษาบาลีท่านใช้ว่า อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง วันและคืนหนึ่ง คำว่าคืนหนึ่งเขาไม่ได้ตีความว่าหลังเที่ยงคืน เขาตีความว่าฟ้าสว่างเลย

ถาม : แล้วข้อวิกาลโภชนา เริ่มไม่กินตั้งแต่กี่โมง ?
ตอบ : ของพระเรานิยมหลังเที่ยง ทีนี้พระคุณหลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่า บางคนมีความจำเป็น อย่างที่ทำงานเขาเลิกเที่ยงพอดี ถ้าเราไปกำหนดว่าหลังเที่ยงจะไม่กินอาหาร ก็เท่ากับว่าอดไปเลย

ท่านก็เลยกำหนดว่าไม่เกินบ่ายสอง และให้กินเป็นมื้อ อย่างเช้ามื้อหนึ่ง กลางวันมื้อหนึ่ง ไม่ใช่เราฟาดตั้งแต่เช้าตลอดยันบ่ายสอง ถ้าเป็นอย่างนี้ละก็..กินสามมื้อเป็นปกติจะดีกว่า

เถรี
22-08-2010, 09:37
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ทำได้สองอย่าง ถ้าอยากไปก็กำหนดจิตไว้ก่อนว่าเราจะไปไหนแล้วก็ภาวนา ถึงเวลาก็จะไปตามที่เรากำหนด ถ้าไม่ต้องการไป ต้องการความนิ่ง ก็ดึงความรู้สึกทั้งหมดมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา

ถาม : ถ้าทำกรรมฐานตอนเวลาทำงานแล้วง่วง ป๊อกเดียวหัวร่วงลง
ตอบ : ยายบ๊อง..! เวลาทำงานก็เอากำลังใจสนใจกับงานสิ ใครให้ไปนั่งกรรมฐาน เดี๋ยวเขาก็ไล่ออกเท่านั้น

ถาม : มันฟุ้งก็เลยทำ
ตอบ : ทำมากเขาก็หาว่าเรานั่งหลับ ถ้าสมาธิลึกเข้าเดี๋ยวจะแย่ เพราะเวลาเข้าสมาธิลึกความรู้สึกเราว่าแวบเดียว แต่ข้างนอกผ่านไปแล้วเป็นชั่วโมง เดี๋ยวเจ้านายมายืนค้ำหัวตอนไหนก็ไม่รู้ เขาก็ไม่ได้ใส่ใจหรอกว่าเราทำสมาธิ เขาเหมาว่าเราหลับแน่ ๆ ก็มีหวังได้ไปหลับยาวที่บ้าน..!

เถรี
22-08-2010, 10:56
ถาม : มีคนทักว่า พี่เขาจะฆ่าตัวตาย
ตอบ : ตัวเรารู้ดีที่สุด ถามพี่เขาว่าอยากฆ่าตัวตายหรือเปล่า ? ถ้าพี่เขาไม่อยาก ก็ไม่ต้องไปสนใจปากหมา ๆ ของใคร..!

ถาม : ฉะนั้นตอนนี้...(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต้องถามว่าคนทักนั้นรู้จริงแค่ไหน ? ถ้าหากเราไปเชื่อใครง่าย ๆ ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องเป็นตัวของตัวเอง เขาพูดอะไรก็คล้อยตามเขา ตัวเรารู้ดีที่สุด ว่าเราคิดจะฆ่าตัวตายหรือเปล่า ถ้าเราไม่คิด สิ่งที่เขาพูดก็สักแต่เป็นลมผ่านหูเฉย ๆ อยากจะพูดก็พูดไป

ถาม : เขาบอกว่าถ้าเคยฆ่าตัวตายแล้ว จะต้องฆ่าอีก ๕๐๐ ชาติ
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เราแน่ ถึงเราเคยฆ่าตัวตายมา เราก็มั่นใจว่าเราฆ่ามา ๕๐๐ ชาติแล้ว ชาติที่ ๕๐๑ เราไม่ฆ่าแล้ว เราหมดกรรมแล้ว หรือถ้าจะฆ่าอีกก็ฆ่าไอ้คนทักนั่นแหละ..!

คิดอะไรให้เป็นแง่บวก จะได้เหนื่อยน้อยหน่อย คิดในแง่ลบ เดี๋ยวก็ต้องไปสะเดาะเคราะห์ มีอะไรที่จะต้องไปเสียเงินให้เขามาก ๆ มีแต่จะเคราะห์หนักขึ้น

เถรี
22-08-2010, 13:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่จะไปรักษาศีลในวันทำบุญหลวงปู่สาย ถ้ายังไม่มีชุดขาวจะซื้อเสื้อสะพานบุญก็ได้นะ สีขาวเหมือนกัน อนุญาตให้ใช้ได้

ปีนี้เป็นปีแรกที่จัด เนื่องจากเห็นว่าการทำอะไรถวายครูบาอาจารย์ท่าน ควรจะได้บุญกุศลแก่พวกเราอย่างเต็มที่ด้วย ตั้งใจว่าให้พวกเราสมาทานศีลแปดกันตั้งแต่วันที่ ๑๒ หลังทำบุญวันที่ ๑๔ ก็ลาศีล รับประกาศนียบัตรการปฏิบัติธรรม จะออกประกาศนียบัตรเป็นครั้งแรก ในนามของศูนย์ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด

ถ้ามีเวลาจะสอนกรรมฐานให้ด้วย ถ้าไม่มีเวลาก็ภาวนาเอาเอง จำกัดจำนวน น่าจะไม่เกิน ๓๐๐ คน ผู้ชายก็รับ ผู้หญิงก็รับ ผู้ฉิงก็รับ ถ้ากางเกงขาวไม่มี ผ้านุ่งขาวไม่มี ก็ใส่ลาย ๆ ไป"

เถรี
22-08-2010, 16:32
ถาม : รังปลวกขึ้นบริเวณหน้าบ้านและรอบ ๆ บ้าน
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ถ้าเป็นบริเวณนั้นเราสามารถที่จะเอาออกได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าขึ้นตามข้างฝา ตามกำแพง

ถาม : อยู่ตรงหน้าบ้านเลยครับ
ตอบ : เอาออกเฉพาะที่เกะกะ อย่าให้ถึงขนาดหมด ถ้าหมดแล้วเขาจะไม่มีที่อยู่

เถรี
22-08-2010, 16:35
พระอาจารย์กล่าวกับผู้หญิงคนหนึ่งว่า "กำลังใจของเรานั้นไหลลงไปอยู่กับฝ่ายไม่ดีง่ายเกินไป เพราะฉะนั้น..ในแต่ละวันให้พยายามอยู่กับฝ่ายดีให้มากกว่า ไม่อย่างนั้นจะถ้าไหลไปกับรัก โลภ โกรธ หลงเมื่อไร เราจะฟุ้งซ่านไปนาน"

เถรี
23-08-2010, 13:07
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "จำไม่ได้ว่าอ่านหนังสือเล่มไหนเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนามหายาน มีคุณยายอยู่คนหนึ่ง เขาศรัทธาในพระพุทธศาสนามหายานมาก อาจารย์ก็สอนให้ภาวนาปรัชญาปารมิตาสูตรทุกวัน

คุณยายถามว่าต้องภาวนาสักกี่จบ ? อาจารย์บอกว่าสัก ๑๐๘ จบก็ได้ คุณยายถามต่อว่าจะภาวนานับอย่างไร ? อาจารย์ก็บอกว่าให้หาลูกประคำมานับ คุณยายนั้นมีฐานะยากจน ลูกประคำก็ไม่มี นึกได้ว่าในครัวมีถั่วลิสงอยู่ ก็เลยเอาถั่วลิสงมาใส่ถาดนับให้ได้ ๑๐๘ เม็ดโดยเอาถาดเปล่าวางไว้อีกข้างหนึ่ง พอว่าจบไปหนึ่งบทก็หยิบเมล็ดถั่วลิสงไปวางไว้ในถาดนั้น

ทำอย่างนี้ทุกวัน ๆ ปรากฏว่าวันหนึ่งอาจารย์ก็อยากรู้ว่ายายแกภาวนาจริงหรือเปล่า ก็เลยไปแอบดู จากแสงตะเกียงก็เห็นว่ายายภาวนาจบหนึ่ง ถั่วก็ลอยไปเองเม็ดหนึ่ง

ยายแกเจ๋งจริง ๆ ภาวนาจนได้อภิญญา ก็เลยสำคัญว่าทำจริงหรือเปล่า ? ถ้ายายคิดว่าอายุมากแล้วไปเกี่ยงว่าทำไม่ไหวหรอก ก็เป็นอันว่าไม่ต้องได้อะไร คราวนี้ยายเขาไม่เกี่ยง ถึงเวลาก็ทำ เครื่องมืออะไรไม่มีก็ดัดแปลงเอา ดัดแปลงได้ดีกว่าที่คิดด้วย จากตอนแรกที่ต้องใช้มือก็ไม่ต้องใช้แล้ว"

เถรี
23-08-2010, 13:10
ถาม : การฝึกกสิณเขานึกอย่างไร จะให้ผมนึกเป็นวงกลม นึกเป็นน้ำ ก็นึกได้
ตอบ : กสิณมี ๑๐ อย่าง อยู่ที่ว่าเราชอบอย่างไหนก็เริ่มใช้สิ่งนั้นเป็นพื้นฐานในการฝึก อย่างเช่นว่า ถ้าชอบกสิณดินก็กำหนดดิน กสิณน้ำก็กำหนดน้ำ

ถ้าเราสามารถนึกได้ เราทำให้ภาพนั้นอยู่ได้ตลอดเวลาตามที่ต้องการ ก็ประคองรักษาภาพนั้นไปเรื่อย ๆ พร้อมกับการภาวนา จนเกิดการเปลี่ยนแปลงเองโดยธรรมชาติ

ถาม : แต่ถ้านึกเปลี่ยนแปลงเองก็ไม่ใช่ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ถ้านึกเปลี่ยนแปลงได้ จะอยู่ในระดับใช้ผลของกสิณแล้ว ถ้าเรานึกได้ขนาดนั้น เราต้องการให้มีน้ำตรงนี้ก็มีแล้ว ลักษณะของการนึก ใคร ๆ ก็นึกได้ แต่กสิณจะต้องลืมตาหรือหลับตาก็เหมือนเห็นของจริงอยู่ตรงหน้า

ถาม : ลืมตานี่คือระลึกเห็นหรือว่าเห็นเลย ?
ตอบ : สามารถเห็นในห้วงนึก เหมือนเรานึกถึงหน้าคนอื่น ลองไปซ้อมดู ถ้าทำได้คราวนี้คุณแอบลอกข้อสอบได้สบาย

เถรี
23-08-2010, 13:13
ถาม : พระปิดตาเนื้อเงินรวมทั้งเนื้อนวโลหะที่ท่านสร้าง มีมวลสารของตะกรุดมหาสะท้อนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระปิดตาเนื้อเงินมีแน่นอน ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมมหาลาภจึงออกไปแนวบู๊ด้วย

ถาม : ท่านเคยบอกว่าเข้าห้องโออาร์ อย่าเอาตะกรุดมหาสะท้อนเข้าไป ไม่อย่างนั้นเขาจะคลอดไม่ได้ แต่วันนั้นผมเอาพระปิดตาเนื้อเงินไป แต่ไม่ได้เอามหาสะท้อนไป พอดีนึกได้ ไม่แน่ใจเลยต้องถอดออกจากตัวก่อน
ตอบ : ให้ระวังด้วย อาตมาก็ลืมไป..ด้วยความที่คิดว่ามีมวลสารอะไรที่ดีที่สุด..ก็ใส่ไป เลยเอาตะกรุดมหาสะท้อนใส่เข้าไปด้วย

ถาม : มีมวลสารตะกรุดมหาสะท้อน แสดงว่ามีมหาสะท้อนอยู่ในตัวด้วย ?
ตอบ : มีเหมือนกัน

เถรี
23-08-2010, 13:16
ถาม : เบิกกรรมแล้วจะเป็นอย่างไร?
ตอบ : ไม่เคยเรียนจ้ะ..เลยบอกไม่ถูก ถ้าจะเบิกก็เบิกบุญดีกว่า แต่อย่าไปเบิกกรรม เบิกกรรมเดี๋ยวจะเดือดร้อน

เคยได้ยินว่าทางสายหลวงพ่อคง วัดเขาสมโภชน์ ท่านจะสอนลักษณะเหมือนเปิดโลกดูกรรม แต่คราวนี้ถ้าเรามั่นใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ในเรื่องของทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็ไม่ต้องไปเสียเวลาดู ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี ละความชั่วไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าดีมากกว่าชั่ว ก็พ้นกันไปข้างหนึ่ง

เถรี
23-08-2010, 13:26
ถาม : มีอยู่วันหนึ่งเหมือนฝัน เป็นนิมิต เหมือนกับสภาพจิตของเรา ตัวโทสะกับตัวรู้ เป็นเหมือนเล็ก ๆ ดำ ๆ พอเข้าไปยุ่งกับมัน เหมือนอารมณ์เราจะวิปลาส จะบ้า แปลก..เหมือนมันคุม บังคับเราอยู่ พอเราไปสนใจ เหมือนสภาวะร่างกายเราทนไม่ได้
ตอบ : กำลังของเรายังน้อยอยู่ ก็ยังสู้ไม่ได้ ถ้ากำลังของเรามากขึ้นก็พอจะลุ้น
เป็นปกติ ถ้าเราเห็นว่าทั้งหมดมันครอบโลกมนุษย์นี้อย่างไร จะน่ากลัวกว่านี้อีกหลายล้านเท่า

ถาม : เป็นลักษณะพลังที่น่ากลัว ถ้าเราไปหามัน เราเป็นมัน ถ้ามันมาหาเรา เราเป็นเรา
ตอบ : อย่าไปยุ่งกับมัน

ถาม : ควรทำอย่างไรต่อไป ?
ตอบ : รู้ก็สักแต่ว่ารู้ก็พอ

เถรี
23-08-2010, 13:29
ถาม : อย่างเวลาทรงอารมณ์ ถ้าเราใช้ลักษณะเป็นความจำ ความจำนั้นจะไปเองเป็นอัตโนมัติ โดยความเป็นจริงแล้วตัวจำ..?
ตอบ : จำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าเผลอ สติขาด ก็จะสะดุด เพราะอย่างน้อยจะต้องมีสมาธิช่วย เราต้องกำหนดสติตามไปด้วย ถ้าไปอาศัยอัตโนมัติอย่างเดียว เดี๋ยวทิ่มผิดก็ร่วงทั้งขบวน

ถาม : คือกลัวจำแล้วจะ..
ตอบ : ถึงจะเป็นอัตโนมัติอยู่ แต่ว่าเราต้องอาศัยสติช่วยด้วย ลำพังให้ตัวจำทำหน้าที่ของเขาอย่างเดียว เดี๋ยวไปไม่รอด

ถาม : ช่วงนี้กำลังติดเรื่องฟังเพลง ปรากฏว่าเหมือนกับตัวเพลงตรงนั้น จะขึ้นมาทีละอย่าง ๆ
ตอบ : รีบดึงเข้าหาลมหายใจเข้าออกไว ๆ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเสร็จมัน..!

เถรี
23-08-2010, 19:04
ถาม : ที่บริษัทเขามีงานเลี้ยงลูกค้า และเขาก็มีของเหลือ มีพนักงานแอบเอากลับบ้าน พอดีหนูไปถาม ตอนแรกก็ไม่มีใครเห็นว่าใครเอาไป ทีนี้กล้องวงจรปิดทั่วร้านอยู่แล้ว เพราะเราขายเครื่องเพชร เจ้านายเขาก็เลยถามหนูว่า จะเอาพนักงานคนนี้ไว้หรือไม่ ?
ตอบ : บอกเขาว่าถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่เอาไว้ เพียงแต่ว่าให้เขาหาคนใหม่มาให้เราให้ทันก็แล้วกัน

ถาม : หนูไม่บาปใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เราทำอะไรตรงไปตรงมาจะไปบาปอะไร นั่นเขาทุจริตเท่ากับเขาทำตัวเขาเอง

ถาม : เขาก็สารภาพนะคะ สารภาพก่อนที่เราจะเปิดกล้องวงจรปิดดู เขาก็แอบไปบอกผู้จัดการอีกคนหนึ่งก่อน
ตอบ : บอกตอนนั้นก็ไม่ทันแล้ว ทำความชั่วไปแล้ว..!

เถรี
23-08-2010, 20:02
พระอาจารย์เล่าเรื่องการธุดงค์ให้ฟังว่า "ตอนนั้นเข้าป่าห้วยขาแข้ง เดินสวนกับพระธุดงค์ ๔ รูป ท่านห่มดองผ้าสังฆาฏิ สะพายย่ามธุดงค์ หิ้วกาน้ำ แบกกลดมา ท่านตกใจมากเลย ที่เห็นพวกเราไปมีแต่อังสะตัวเดียวกับย่ามใบหนึ่ง

เขาถามว่า "ท่านมาทำอะไร?" ก็บอกไปว่า "มาธุดงค์เหมือนท่านนั่นแหละ และผมมั่นใจว่าผมอยู่ได้นานกว่าด้วย" แสดงว่าเขาไปดูรูปแบบพระรุ่นครูบาอาจารย์ เพราะเวลาธุดงค์จะอยู่ในรูปแบบนั้น เขาไม่รู้หรอกว่า นั่นไปถึงที่แล้วเขาแต่งตัวให้ถ่ายรูป เดินในป่าขนาดนั้นแล้วแต่งตัวเต็มยศ ไม่ต้องไปไหนไกลหรอก แค่บึงลับแลก็ขาดวิ่นแล้ว เพราะหนามเยอะมาก

ถ้าอ่านพระไตรปิฎกทั่วจริง ๆ ก็จะเห็นว่า ถึงเวลาพระเข้าไปในหมู่บ้าน จะใช้คำว่า มีมืออันถือบาตรและจีวร เมื่อเข้าไปถึงโคจรคามแล้ว ก็ห่มจีวรคลุมบ่า ซ่อนบาตรไว้ด้านใน ทำการโคจรบิณฑบาต ก็แปลว่าพระสมัยก่อนท่านก็ไปแบบเรา เพราะสมัยก่อนผ้าหายาก ถ้าหนามเกี่ยวขาด จะหาใหม่ก็หาไม่ได้ง่าย ๆ เหมือนสมัยนี้ อย่างของเราไปแบบโบราณแท้เลย

บางทีเวลาเดินไปเจอพระธุดงค์ก็รู้สึกสลดใจ พวกเราเคยเห็นย่ามธุดงค์ไหม ? ใบจะใหญ่มาก ของเขาใช้ไม้คานหาบย่ามธุดงค์ไป ๔ ใบ ถ้าของเราขนไปขนาดนั้นเท่ากับย้ายวัดไปแล้วนะ..! ยังสงสัยว่า ถ้าขนไปขนาดนั้นตกลงเขาจะไปทำอะไรกันแน่ จะไม่ยอมรับความลำบากกันเลยบ้างหรือ ?"

เถรี
23-08-2010, 22:13
"ปัจจุบันนี้ส่วนหนึ่งพวกป่าไม้รังเกียจการธุดงค์มาก เพราะว่าไปก่อไฟแล้วไม่ดับ โดยเฉพาะในห้วยขาแข้ง หน้าแล้งจะแล้งจริง ๆ จะมีเขียว ๆ อยู่เฉพาะริมห้วยเท่านั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นห้วยแม่ดี ห้วยกรึงไกร ห้วยองทั่ง ห้วยขาแข้ง ห้วยองเอี้ยง จะมีสีเขียวแต่บริเวณริมห้วยเท่านั้น นอกนั้นก็เหลืองกรอบ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เดินออกมาเจอไฟก็เลยดับให้ เห็นว่ารอยยังใหม่ ๆ อยู่ จึงเร่งเดินตามเขาไป ประมาณชั่วโมงหนึ่งก็ไปทันคณะข้างหน้า มีอยู่ ๔-๕ รูป ก็ดึงแขนพระรูปสุดท้ายไว้ "ถามหน่อยครับ เมื่อกี้คุณเดินมาทางนั้น แล้วก่อไฟไว้ ยังไม่ได้ดับใช่ไหมครับ ? มันกำลังลามจะเป็นไฟป่าอยู่.." ท่านตอบว่า "ใช่ครับ..ที่จริงผมดับแล้วครับ แต่เพื่อนว่าเสียเวลายังไม่พอ เขายังเตะไม้เพิ่มเข้าไปอีก ผมก็เลยโกยซ้ำเข้าไปซะ..!"

พวกนั้นแหละที่ทำให้พวกป่าไม้เวลาเจอพระธุดงค์ เขาจะรีบพาตัวเอาออกไปเลย เพราะว่าไฟป่าไหม้ทีหนึ่งเสียหายหนักมาก ความเสียหายที่เราเห็น ๆ ก็คือ ต้นไม้ตาย สัตว์ป่าหนีไม่ทัน โดยเฉพาะเต่า และพวกสัตว์เล็ก ๆ จะตายกันเยอะ แล้วส่วนเสียหายที่เราไม่เห็นก็คือดิน

ถ้าดินโดนไฟเผาร้อนมาก ๆ เข้าก็กลายเป็นอิฐ พอหน้าดินกลายเป็นอิฐก็ไม่ซับน้ำแล้ว น้ำมาเท่าไรคราวนี้ก็ป่าถล่มไปเลย ตรงจุดนี้คนส่วนใหญ่จะไม่รู้"

เถรี
24-08-2010, 08:02
"เวลาเข้าป่าปัจจุบันนี้ นอกจากความประพฤติที่ไม่เหมาะสมแล้ว ยังมีอีกหลายประเภท บางประเภทอยู่รวมกับคนอื่นไม่ได้ ก็เลยต้องไปธุดงค์ ฟัง ๆ ดูแล้วก็น่าจะคาดได้ว่าความประพฤติของท่านเป็นอย่างไร

อีกประเภทหนึ่งคือเข้าป่าเพื่อไปดูดยาบ้า พวกนี้ถึงเวลาแล้วคึกมาก วิ่งแข่งกันขึ้นเขา บางทีก็คว้ามีดสปาตาร์คนละอัน เฉาะหัวกัน ก็กลายเป็นว่าการธุดงค์สมัยนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างที่หลวงปู่บุดดาท่านว่า คือ ไม่ใช่ "ธุดงค์" แต่เป็น "ถูดง" ธุตะ+อังคะ แปลว่า องค์คุณเครื่องเผากิเลส ต้องไปเผากิเลส แต่อันนี้เขาไปถูดงอย่างที่หลวงปู่ท่านว่า

ช่วงที่เป็นเจ้าคณะตำบลชะแลอยู่ เป็นตำบลที่อยู่ปากทางทุ่งใหญ่ จะมีพระธุดงค์มาขอหนังสือเพื่อผ่านเข้าทุ่งใหญ่เยอะมาก ปีหนึ่งต้องเซ็นให้เป็นร้อยเลย เราก็มองว่าพวกนี้เขาซื่อดีนะ ตอนเราเข้าไปไม่ว่าจะทุ่งใหญ่หรือห้วยขาแข้ง ไม่เคยมีใบอนุญาตเลย เพราะว่าเขาตั้งเป็นด่านชัด ๆ

เดินไปก็มีป้าย "อีกสามร้อยเมตรจะถึงด่าน" "อีกห้าร้อยเมตรจะถึงด่าน" แล้วเราจะเดินไปทำไม ? เราก็อ้อมเข้าป่าไปเลยสิ ผ่านไปแล้วค่อยออกมาใหม่ พวกนี้เขาซื่อมาก จะต้องผ่านด่านให้ได้ คือ หน่วยป่าไม้ทุกแห่ง เขากลัวว่าเราจะไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงไหน เขาจะมีป้ายบอกเป็นระยะ ๆ ไป พอใกล้ถึงด่านเราก็แวบเข้าป่าไป อ้อมไปอีกทาง พ้นไปไกลค่อยโผล่ขึ้นมาบนถนนใหม่"

เถรี
24-08-2010, 09:30
"หนทางในป่านั้น บริเวณที่พวกป่าไม้เดินไปไม่ถึง ก็ไม่ได้แปลว่าพรานจะเดินไปไม่ถึงด้วย ในเส้นทางระหว่างทุ่งใหญ่กับห้วยขาแข้ง จะมีด่านใหญ่อยู่เส้นหนึ่ง เป็นทางช้างเดิน ความกว้างน่าจะถึงสามเมตร ลึกประมาณหน้าแข้ง

ถึงเวลาช้างจะเดินผ่านเส้นนั้น พวกบรรดาสัตว์ต่าง ๆ ก็พลอยอาศัยไปด้วย อย่างพวกกระทิง พวกเก้ง พวกกวาง ฯลฯ สัตว์พวกนี้ไม่เคยได้กินของอร่อยข้างบน พอเดินตามช้าง ก็ได้อาศัยกินต้นไม้ใบไม้ หรือไผ่ที่ช้างดึงลงมาไปด้วย

พวกพรานก็ไปดักรออยู่แถวนั้น พรานบ้านช่องแป๊ะ บ้านแม่จันทะ แต่ละปีล่ากระทิงประมาณ ๒๐๐ ตัว อาวุธส่วนใหญ่เป็นไรเฟิลทันสมัย ตูมเดียวอยู่ทั้งนั้น เขาขนใส่เฮลิคอปเตอร์มาให้พร้อมกระสุน เฮลิคอปเตอร์ที่เข้าออกปกติเป็นของราชการหน่วยหนึ่ง

เขายิงกระทิงตัวหนึ่งหนักเป็นตัน แต่ตัดไปแค่หัว ขายให้กับพวกราชการ ราคา ๕๐๐ บาทเท่านั้น ส่วนเนื้อที่เหลือเป็นตันก็ทิ้งให้เน่าเฉย ๆ แล้วหัวนั้นก็ไปขายให้พวกข้าราชการเหล่านั้น ถึงเวลาก็เอาเครื่องบินขนออกมา รู้ ๆ อยู่ว่าใครทำ แต่ป่าไม้เขาเข้าไม่ถึง และก็ไม่อยากไปแตะต้องคนมีสี ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย

ที่โป่งจงโคร่ง รอยต่อระหว่างอุ้มผางและห้วยขาแข้ง เป็นโป่งน้ำ สัตว์จะชอบมาก เพราะนอกจากจะได้กินเกลือแล้วยังได้กินน้ำด้วย ไม่ต้องเสียเวลาไปแทะดินแล้วหาน้ำกินอีก ดูดน้ำเกลือเข้าปากก็สบาย เวลาสัตว์เขาขาดเกลือก็จะไปหาดินโป่ง (ดินเค็ม) พวกนี้กิน"

เถรี
24-08-2010, 12:14
"พวกพรานเขาไปขัดห้างไว้ ความสูงประมาณเราเอื้อมมือถึง เราก็เลยเดินเลยไป ๒๐๐ - ๓๐๐ กว่าเมตร ยังไม่ทันจะทุ่มเลยก็มีเสียงตูม..! พอสี่ทุ่มก็ตูม..! ตีสองก็ตูม..! ใกล้สว่างก็ตูม..! สรุปว่าคืนเดียว โป่งเดียวสี่ตูมเลย

บางทีเขาก็หิ้วสัตว์ห้อยร่องแร่งมา พอเจอพระก็ทำเป็นเขิน..! แต่ว่าพวกนี้ส่วนใหญ่จะร้ายมาก ถ้าไปเจอพวกป่าไม้เขาจะยิงก่อนเลย เจ้าหน้าที่ของเราน่าสงสารตรงที่ว่าจะยิงก่อนก็ไม่ได้ เขาถือว่าปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุ ติดคุกหัวโตเลยนะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า ที่ห้วยขาแข้งเดี๋ยวหลักก็มาปักเพิ่มอีก หลักหนึ่งก็คือเจ้าหน้าที่หนึ่งศพ เป็นเรื่องปกติ

แล้วเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ เพราะพรานเขาชำนาญพื้นที่มากกว่า โดยเฉพาะพรานที่ท่านโมเช่เคยกล่าวถึง อย่างอาตมาเดินแล้วพวกเราวิ่งตามใช่ไหม ? แต่อาตมาต้องวิ่งตามท่านโมเช่ แล้วท่านโมเช่ต้องไปวิ่งตามพรานคนนั้น นึกเอาก็แล้วกันว่าฝีเท้าต่างกันขนาดไหน ?

เส้นทางระหว่างอุ้มผางลงไปห้วยขาแข้ง เราต้องไปค้างกลางทางคืนหนึ่ง แต่พรานคนนั้นลงจากช่องแป๊ะแล้วไปหุงข้าวเย็นกินที่ห้วยขาแข้ง เดินเร็วกว่าเราเป็นเท่าตัวเลย"

เถรี
24-08-2010, 13:53
"พวกบรรดาสัตว์ป่าจะกลัวคนเป็นพิเศษ เพราะโดนล่าเป็นประจำ ขนาดกระทิงฝูง ๘-๑๐ ตัว แค่ได้กลิ่นเราหรือได้ยินเสียงเราเหยียบใบไม้ ก็วิ่งป่าแตกเป็นทางไปทั้งฝูงแล้ว

ถ้าเดินเข้าป่าลึกไปสัก ๘ วัน สัตว์จะไม่ค่อยได้เห็นคน เจอหน้าคนก็ละล้าละลังว่า จะหนีดีหรือไม่หนีดี พอเดินลึกเข้าไปสัก ๑๐ กว่าวัน คราวนี้เจอหน้า สัตว์เขาก็ยืนมอง มีคนเขาถามว่ายื่นมือให้เขาดมได้อย่างไร ก็สัตว์เขาไม่หนี และเราต้องอาศัยผ่านไปทางนั้น วิธีดีที่สุด ก็คือยื่นมือให้เขาดม

พวกนี้ความรู้สึกมันไว ถ้าว่าตามด้านจิตศาสตร์ พวกนี้เขารับความรู้สึกของเราได้ แต่ถ้าว่ากันตามวิทยาศาสตร์ ในแต่ละอารมณ์คนเราจะหลั่งสารเคมีออกมาไม่เหมือนกัน แล้วพวกนี้เขาสามารถที่จะสัมผัสได้

พอยื่นมือให้เขาดม เขาเห็นว่าไม่มีอันตรายเขาก็ไป ยื่นมือให้ตัวแรกดม เขาดมจนพอใจแล้วก็ไป ตัวที่สองก็มาดมต่อ จนกว่าจะหมดฝูง พวกนี้เขาแปลก..ถ้าไม่กลัวเรา เขาจะต้องสอดรู้สอดเห็นให้หมดทุกตัว

บางทีไปปักกลด เสียงโครมครามมาแต่ไกลเลย ถ้าคนไม่เคยได้ยินอาจจะตกใจ นกเงือกเขาบินมาฝูงหนึ่ง ๒๐ กว่าตัว เวลานกเงือกบินมาแค่ ๑-๒ ตัว ก็เสียงดังเหมือนเฮลิคอปเตอร์แล้ว นี่ ๒๐ กว่าตัวมาพร้อม ๆ กันเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พอมาถึงก็จับยอดไม้ เล่นกันบ้าง ตีกันบ้าง เสียงเกรียวกราวไปหมด"

เถรี
24-08-2010, 18:01
"เราก็ปักกลดนั่งกรรมฐานอยู่ข้างล่าง ไป ๆ มา ๆ มีนกเงือกตาไวมองเห็นเข้า เขาก็เอียงคอมอง แล้วกระโดดลงมา ทีละกิ่ง..ทีละกิ่ง พอดูจนพอใจแล้วก็บินไป ตัวต่อไปก็กระโดดลงมาอีก ครั้งนั้นนับได้ ๒๒ ตัว

บางทีประมาณสัก ๔ - ๕ โมงเย็น กระทิงก็ลงกินน้ำแล้ว เราจะไปสรงน้ำก็ต้องนั่งดูเขาก่อน ปกติแล้วในที่ที่คนเข้าถึง พวกสัตว์จะลงกินน้ำดึกมาก ประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ถ้าในที่ที่คนเข้าไม่ถึง ๔ - ๕ โมงเย็นก็มาแล้ว สัตว์เขาไม่อดทนอดกลั้นถึงขนาดนั้นหรอก เพราะรู้ว่าที่นั้นไม่อันตราย

บางทีเดินเลาะชายห้วยไป ปลากระสูบตัวยาวเป็นแขน แต่ละตัวรูปร่างเหมือนตอร์ปิโด นึก ๆ ดู ตาข่ายอะไรจะไปดักอยู่ ปลาตัวขนาดนั้นและเป็นร้อย ๆ ตัว ต่อให้ตาข่ายไนล่อนก็คงขาดกระจาย ไม่เหลือหรอก แล้วอีกอย่างถ้าใครใจใหญ่ไปตีอวนดักได้ ก็ไม่รู้ว่าจะแบกมาอย่างไร เพราะว่าหนักเหลือเกิน

เวลาเดินในป่าไม่มีอะไรจะกิน เจอแต่ใบไม้ใบหญ้า ยี่สิบวันกว่าไปแล้ว ทีนี้เจอสัตว์อะไรก็อยากกินหมด เหลืออยู่อย่างเดียวว่า เมื่อไรสัตว์นั้นจะเป็นลมตายเสียที แต่ดูไปดูมา ที่จะเป็นลมตายน่าจะเป็นเรามากกว่า..!"

เถรี
24-08-2010, 20:29
"เส้นทางระหว่างทุ่งใหญ่ขึ้นไปอุ้มผาง จะมีป่าใหญ่อยู่ผืนหนึ่ง เป็นป่าทึบมากเลย ท่านโมเช่เคยเดิน ๗ วันกว่าจะพ้นได้

คราวนี้เขาไปกับเรา วันแรกก็หลงทางแล้ว ท่านโมเช่เดินฟันป่าไป ปากก็บ่นไป "ไปกะอาจางที่ไหนก็หลงที่นั่ง" พอถามไปถามมา ได้ยินว่าเดินตั้ง ๗ วันจึงจะพ้น เลยตัดสินใจว่าไม่เอาดีกว่า ชุมนุมเทวดาขอให้เดินผ่านได้เร็ว ๆ

เดินไปเรื่อย ๆ สักสี่โมงเย็นเห็นฟ้าขาว ๆ บอกท่านโมเช่ให้ไปทางนั้น ท่านโมเช่ก็พูดว่า "ฮื้อ..ยังไม่ถึงหรอก" เราก็ชี้ให้ดู พอเดิน ๆ ไปปรากฏว่าทะลุป่า จากที่ท่านโมเช่เคยเดิน ๗ วัน นี่เดินแค่ครึ่งวันเท่านั้นเอง"

เถรี
24-08-2010, 21:06
ถาม : คาถารักษาโรคมะเร็งของหลวงพ่อฤๅษี ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยินว่ามีคาถา เคยได้ยินว่ามีแต่ยา คาถาว่าอย่างไรจ๊ะ ?

ถาม : ไม่ได้จดมา ไปเจอในเว็บ แล้วก็พิมพ์ออกมา เขาบอกว่าให้รักษาศีลแปดทุกวันพระ แล้วให้ท่องคาถานี้
ตอบ : ไม่เคยได้ยินมาก่อนจ้ะ ถ้าหลวงพ่อบอก ก็คงบอกก่อนอาตมาจะเจอหลวงพ่อ เพราะว่าอะไรที่หลวงพ่อบอกจะจดไว้หมด

ถ้าจะรักษาโรคมะเร็งตามที่หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ อาการจะต้องไม่เกินระยะที่สอง ก็คือ ใชัขมิ้นชันสักหัวแม่มือ ขมิ้นที่เขาใช้แกงนะจ๊ะ ไม่ใช่ที่เขาเอาไว้จิ้มน้ำพริก และหญ้าแพรกกำมือหนึ่ง สองอย่างล้างให้สะอาดแล้วตำให้ละเอียด ละลายด้วยน้ำปูนใสสัก ๓๐ ซีซี. กรองเอาแต่น้ำ กินก่อนอาหารเช้าสักครึ่งชั่วโมง วันละครั้ง สามวันติดกัน ถ้าเป็นมะเร็งหรือมีการอักเสบภายในจะรักษาได้ กินสามวันติดกัน วันละถ้วยเดียว

อย่างที่สอง ถ้าอาการหนักเกินระยะที่สองไปแล้ว ท่านให้ใช้น้ำมันชาตรีอธิษฐานช่วยรักษา กินเข้าไปแล้วถ้าถ่ายโอกาสหายก็มีสูง แต่ถ้ากินแล้วไม่ถ่ายก็ตัวใครตัวมัน เขาให้กินประมาณครึ่งแก้ว

ถาม : กินกี่ครั้ง ?
ตอบ : ครั้งเดียว แต่จะให้ดีก็กินวันละครึ่งแก้วสักหนึ่งอาทิตย์ แต่หลังจากที่มะเร็งหายคงอ้วนน่าดู เพราะเป็นน้ำมันล้วน ๆ

เถรี
24-08-2010, 22:37
"การธุดงค์ที่ผ่านมา มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าตัวเองเจอตัวอะไร เสียงเหมือนกับนกใหญ่บิน แต่มองไม่เห็นตัว

เวลาประมาณห้าโมงเย็น ปักกลดพักกัน มีกลดของอาตมา ของท่านโมเช่ และฤๅษีบุญทรง มีเสียงเหมือนกับนกบินรอบกลด เหมือนกับเขามาสำรวจว่าใครมาปักกลด พยายามเพ่งอย่างไรก็มองไม่เห็น ได้ยินแต่เสียงบิน และเส้นทางบินของเขาใบไม้จะไหวตามไปเลย

ตอนหลังไปพยายามค้นคว้าดู ไปได้ยินว่า น่าจะเป็นนกชนิดหนึ่งที่เขาเรียกว่า กาสัก เป็นนกที่ประหลาดมาก คือ ไม่มีใครที่สามารถเห็นตัวเขาได้ ลักษณะคงเป็นนกในจินตนาการแบบการเวกอะไรทำนองนั้น

แต่นกกาสักนั้น ถ้าขนเขาหลุดออกจากตัว เราจะเห็นขนเส้นนั้นได้ แต่ถ้าคนหรือสัตว์ที่มีชีวิตเอาขนเส้นนั้นไป ก็จะมองไม่เห็นคนหรือสัตว์ตัวนั้นไปด้วย ก็แปลว่าขนของเขามีอำนาจบังตาได้

เป็นเรื่องอัศจรรย์ดีเหมือนกัน ไม่นึกว่าในชีวิตจะเจอเรื่องอะไรแปลก ๆ อย่างนั้น อย่างนกอินทรีใหญ่ที่พม่า ตัวขนาดเท่าคนเลย ถึงเวลาพวกเรากำลังนั่งรถไปที่พุกาม สองข้างทางเป็นพื้นที่กึ่งทะเลทราย

ตอนตีห้า เราก็ว่าตัวอะไรสีขาว ๆ แวบไปแวบมาอยู่ข้างถนน ปรากฏว่าเป็นหนู หนูหริ่งตัวเล็ก ๆ มีเยอะขนาดวิ่งจนเราตาลาย แล้วก็จะโดนรถทับแบนเป็นประจำ

พอรถวิ่งจนฟ้าเกือบสว่าง เห็นคนก้ม ๆ เงย ๆ อยู่บนถนนสามคน เราก็ว่าเขามาทำอะไรกันสามคนวะ ? พอรถจี้เข้าไปใกล้ เขาบินพรึ่บขึ้นไปจึงรู้ว่าเป็นนกที่ใหญ่มาก กางปีกยาวเป็นวาเลย เขากำลังเก็บซากหนูที่รถวิ่งทับกินกันอยู่ เราก็เห็นว่าเป็นคนมาก้ม ๆ เงย ๆ อยู่"

เถรี
25-08-2010, 08:42
ถาม : ผมแปลกใจเรื่องนกกาสัก ที่ขนร่วงไปแล้วได้มาคนอื่นจะมองไม่เห็น ใครเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ฟังครับ ?
ตอบ : บรรดาผู้ที่มีประสบการณ์เรื่องนี้ "เขาเล่าว่า" กันต่อ ๆ มา แม้กระทั่งที่เกาะพระฤๅษีก็มีตัวประหลาด อาตมาเรียกว่า ปลาไหลบก เพราะไม่รู้จัก ลักษณะเหมือนปลาไหลทุกประการ

ครั้งแรกที่เจอ ออกจากกุฏิมาเข้าห้องน้ำตอนประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน เห็นเข้าก็ว่าน่าจะเป็นงู เลยวิ่งขึ้นกุฏิไปเอาไฟฉายมา กว่าจะย้อนกลับมาดูที่เดิม ระยะเวลานานเป็นนาที ปรากฏว่าเจ้านั่นไปได้แค่ศอกเดียว เลื้อยช้ามาก

พอส่องไฟดูหน้าตาเหมือนกับปลาไหล ตอนที่เข้าไปเอาไฟฉาย อีเห็นที่เลี้ยงไว้กระโดดเกาะไหล่มาด้วย พอเห็นเจ้าปลาไหลบกนั้น อีเห็นก็พุ่งใส่กัดเลือดสาดเลย อาตมาต้องรีบกระชากตัวเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเจ้าปลาไหลบกตาย

ตอนหลังไปค้นหนังสือเกี่ยวกับงูในประเทศไทย พบรูปจึงรู้ว่าเขาเรียกว่า เขียดงู เขียดงูของเขาสีออกดำ ๆ แต่ของเราสีเหลืองอร่ามเป็นปลาไหลเลย ยังนึกสงสัยอยู่ว่าจะเป็นพันธุ์ใหม่หรือเปล่า ?

หลังจากนั้นอีกเดือนหนึ่ง คนงานของหน่วยจัดการต้นน้ำตีตายไปอีกตัวหนึ่ง นั่นตัวเท่าหัวแม่มือ เล็กกว่าตัวที่อาตมาเจอเยอะเลย เขาไปร่ำลือกันว่าเป็นงูที่กัดแล้วรักษาไม่ได้ ตายลูกเดียว..! แต่อาตมาดูแล้วน่าสงสารมากกว่า เวลาตั้งนานเลื้อยไปได้ศอกเดียว สุดยอดความเชื่องช้าเลย มิน่า..ว่าถึงต้องออกหากินตอนกลางคืน

เถรี
25-08-2010, 10:12
"อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ เขียดแลว แถว ๆ ป่าองธิ หลังหมู่บ้านสะพานลาว เขาทำสถิติยิงด้วยปืน ได้ตัวมาน้ำหนัก ๔๐ กิโลกรัม พอมาอีก ๔-๕ ปี ได้อีกตัวหนึ่งหนัก ๓๒ กิโลกรัม

พวกนี้น่าสงสารเพราะตัวใหญ่มาก เวลาตกใจกลัวคนจะพุ่งพรวดเดียวไป ๕๐-๖๐ เมตรเลย เนื่องจากตัวใหญ่ ชาวบ้านเลยต้องใช้ปืนแก๊ปยิงเอา ที่เกาะพระฤๅษีเคยเจอก็สักประมาณสองฝ่ามือ แต่ที่เขาเจอกันน่าจะเป็นตัวปู่ตัวย่าของมันเลย ถึงได้ใหญ่ขนาดนั้น

ตอนแรกไปที่บ้านซองกาเลีย ในหน้าหนาวชาวบ้านเขาเอาอาหารมาเลี้ยง เราก็เห็นว่ามีน่องไก่ทอดด้วย ที่ไหนได้ ไม่ใช่น่องไก่ทอด แต่เป็นขาเขียดแลวทอดกระเทียมพริกไทย พอเขาบอกว่าเป็นกบ อาตมาก็งง ปกติแถวบ้านเราพอหน้าหนาวแล้วกบไม่มี แต่เขาบอกว่าที่นั่นพอหน้าหนาวแล้วกบจะเริ่มออกหากิน

เรามานึกถึงตัวที่เขากินทั่ว ๆ ไป เราเห็นขายังนึกว่าเป็นน่องไก่ แล้วถ้าตัวใหญ่ ๆ จะขนาดไหนหนอ ? ตอนแรกแปลกใจอยู่ว่าไก่แถวนี้ทำไมกระดูกใส ๆ "

เถรี
25-08-2010, 10:17
"ตอนที่อยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ บิณฑบาตมักจะได้พวกอาหารป่าเป็นประจำ จะมีอาหารชนิดหนึ่งผัดเผ็ดมา อาตมาคิดว่าน่าจะเป็นปลา เพราะเขาหั่นมาเป็นท่อน ๆ ยาวสักประมาณข้อนิ้ว

แต่พอกินไปแล้วรู้สึกแปลก ๆ ดูแล้วไม่ใช่กระดูกหรือก้างปลาอย่างที่เคยกิน กระดูกเป็นข้อแล้วมีครีบเป็นแฉก ก็เลยสงสัยว่าเป็นตัวอะไร ?

พอสงสัยเขาก็โผล่มา..ตัวเบ้อเริ่มเลย โผล่มาให้เห็น เป็นตัวเงินตัวทอง นั่นเป็นอาหารชั้นดีของชาวบ้านเขา สุดยอดความอร่อยเลย ชาวบ้านเขาสละของดีที่สุดใส่บาตรให้พระ อยู่ที่นั่นใหม่ ๆ บิณฑบาตอาทิตย์หนึ่งได้เจ้าตัวนี้มา ๕-๖ วัน กินมากไปเลยนิสัยชักคล้าย ๆ กับตัวเงินตัวทอง..!

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจะติดเป็นนิสัยเลยว่า ก่อนจะกินอาหารก็ตั้งใจว่า กุศลทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขออุทิศให้ท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าของเลือดเนื้อร่างกายที่โดนเขาทำอาหาร เพราะเจ้าตัวนั้นแหละที่โผล่มา แล้วอาตมาอุทิศส่วนกุศลไปให้ ตั้งแต่นั้นมาก็เลยเคยชิน ถึงเวลาก่อนจะกินต้องอุทิศให้พวกเขาก่อน"

เถรี
26-08-2010, 10:27
"สมัยก่อนไปหาหลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก จังหวัดพิจิตร หลวงปู่โง่นท่านปวดท้อง นั่งคลำท้องอยู่ ถามว่า "เป็นอะไรครับหลวงปู่ ?" ท่านบอกว่า "วันนี้เผลอไปว่ะ"

ปกติหลวงปู่โง่นท่านจะฉันเจ วันนั้นโยมเอาข้าวต้มมาให้แล้วมีปลาสลิดปิ้งมาด้วย เนื่องจากร่างกายขาดสารอาหารมานาน ก็เลยฉันปลาสลิดไปสองซีก หลวงปู่โง่นบอกว่า มันไปอยู่ในท้องแล้วมันก็โวยวายว่า "กินกูทำไม ?"

แต่อาการของท่านที่คนอื่นเห็นก็คือ กำลังปวดท้อง ถ้าเป็นเราได้ยินเสียงอย่างนั้นคงกินอะไรไม่ลงหรอก"

เถรี
26-08-2010, 10:29
"หลวงตาบัว ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า หมูที่โดนฆ่าแล้วเขามาหาแม่ชีที่ทำกรรมฐานอยู่ มาบอกว่าเขาเพิ่งโดนฆ่า เดี๋ยววันนี้จะมีพระไปบิณฑบาต แล้วคนฆ่าจะเอาเนื้อนี้ใส่บาตรมาด้วย ให้แม่ชีช่วยบอกพระให้ฉันเนื้อเขาด้วย แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขาหน่อย นี่สั่งไว้เลย

พอถึงเวลาแม่ชีก็ไปถามว่าใครได้เนื้อหมูมาบ้าง ปรากฏว่าได้เนื้อหมูปิ้งมาจริง ๆ แม่ชีก็เลยเล่าให้พระฟัง พอรู้มากเข้า แม่ชีก็สงสัยถามหลวงตาว่า แม่ชีจะเป็นบ้าหรือเปล่า ? คือ แม่ชีรู้ไปทุกเรื่อง หลวงตายืนยันว่า ธรรมะเป็นอย่างนั้นเอง คือ ถ้าเรารับรู้ไว้เฉย ๆ ไม่เก็บมาใส่ใจก็ไม่มีปัญหาอะไร รู้แล้วไปคิดมากก็จะเครียด"

เถรี
26-08-2010, 10:31
พระอาจารย์ถามโยมผู้หญิงคนหนึ่งว่า "ก่อนใส่เสื้อตัวนี้ (ซีทรู) ตัดสินใจนานไหม ? ที่ว่าไม่ได้จะตำหนิอะไรหรอก อยากจะบอกว่ากำลังใจที่เราตัดสินใจทำ ถ้าเราเอาไปตัดสินใจเรื่องอื่นก็ใช้กำลังใจเท่ากัน

ฉะนั้น..การที่เราต้องฝืนใจทำความดี ก็ต้องใช้กำลังใจระดับนั้น ระดับเดียวกับที่ตัดสินใจว่า เอาละวะ..วันนี้เราใส่ตัวนี้แหละ"

เถรี
26-08-2010, 10:32
ถาม : ก่อนหน้านี้หนูไปเกาะบนนิพพาน คล้ายกับอารมณ์ตอนอยู่บนโลก ก็คือ การเห็นสภาพความเป็นจริง การยอมรับความเป็นจริง เป็นการยอมรับสภาพความเป็นจริงแต่เป็นเรื่องของพระนิพพาน ก็เลยสงสัยว่ามีอารมณ์นี้ด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าหากว่าอารมณ์ใจเข้าถึงจริง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็อารมณ์เดียวกัน

เถรี
26-08-2010, 10:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยนี้คนเขาลืมเรื่องนิมิตหรือลางสังหรณ์ต่าง ๆ ไปแล้ว ตอนสมเด็จย่าสวรรคต ก่อนนั้นไม่กี่วัน พอดีไปอยู่ที่บ้านโยม โยมเขาเปิดโทรทัศน์ดูข่าวช่องสามอยู่ ผู้ประกาศข่าวทั้งหญิงและชายใส่สีดำทั้งคู่

เราก็เปิดไปช่องที่ต้องการดู เปิดไปปรากฏว่าดำทั้งคู่อีก เปิดกลับมาช่อง ๗ ดูว่ามีอะไรบ้าง ช่อง ๗ กำลังเป็นข่าวนอกสถานที่ ผู้ประกาศหญิงก็ดำทั้งชุดอีก เราก็ว่าจะต้องมีใครสักคนที่จะต้องตาย เป็นบุคคลประเภทที่คนรู้จักกันทั้งประเทศ อีกไม่กี่วันสมเด็จย่าก็สวรรคต

เรื่องทั้งหลายนี้เป็นนิมิตที่น่าจะศึกษากันไว้บ้าง เพราะว่านิมิตบางอย่างเป็นลางบอกเหตุล่วงหน้า สมัยนี้นิยมกันจริง ๆ สีดำ ไม่รู้เป็นอะไร แต่งกันได้แต่งกันดี

ของพวกนี้ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลเพราะว่านิมิตบางอย่าง อย่างเช่นว่า ถ้าสัตว์อยู่ ๆ เกิดการแตกตื่น แสดงว่าจะเกิดภัยธรรมชาติร้ายแรงขึ้น ก่อนที่ประเทศลาวจะแตกไม่กี่วัน อยู่ ๆ มีผีเสื้อ (ลาวเรียก แมงกะบี้) บินข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งเราเป็นหมื่น ๆ ไม่กี่วันลาวก็แตก

จะว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ใช่ แต่บังเอิญจนน่าเกลียด เพราะว่าทุกครั้งที่มีเหตุใหญ่จะมีนิมิตบอกก่อน แต่คนมักจะไม่ระแวง พอถึงเวลาเกิดเหตุ จึงรู้ตัวว่าที่แท้เรารู้ก่อนแล้วนี่"

เถรี
26-08-2010, 10:43
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า " ห้องน้ำห้องส้วม ภาษาพระเขาเรียกว่า ถาน บางทีก็บอกชัด ๆ ว่าถานพระ ก็คือ ส้วมพระ เป็นคำโบราณ

บางทีเขาก็เรียก เว็จ เว็จมาจากภาษาบาลี ที่เขาเรียกว่า วัจกุฎี ก็คือห้องส้วม บางคำเป็นคำค่อนข้างจะโบราณ หรือมีรากศัพท์มาจากบาลี เราจะไม่เคยชิน พอไม่เคยชิน ฟังแล้วบางทีก็ไม่รู้เรื่อง

สมัยหลวงพ่ออยู่ ท่านบอกว่า ขอเวลาไปนั่งกรรมฐานหน่อย ก็คือ เข้าส้วมนี่แหละ"

เถรี
26-08-2010, 10:47
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องเวลาว่า "จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่ที่ใจเรา เพราะเวลาก็เท่าเดิม

อย่างเวลาเรามีความทุกข์ หรือเวลาที่เรารอ แหม..รู้สึกว่าเวลานานจริง ๆ แต่เวลามีความสุข ก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน

เราจะเห็นเวลาในนรกสัญชีวนรก ๑ วัน เท่ากับ เก้าล้านปีมนุษย์ เพราะโดนทรมานอยู่ตลอด คนโดนทรมานอยู่ รู้สึกว่าเวลานานมาก ส่วนบนสวรรค์อย่างชั้นดาวดึงส์ วันหนึ่งเท่ากับร้อยปีมนุษย์ ทำไมมีความสุขรู้สึกแค่แวบเดียวเท่านั้นเอง"

เถรี
26-08-2010, 10:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเป็นพระรูปเดียวในวัดท่าซุง ที่หลวงพ่อห้ามไม่ให้บอกว่าคนตายแล้วไปไหน และห้ามบอกหวย เพราะไปแผลงฤทธิ์ไว้เยอะ

หลวงพ่อท่านบอกว่า การที่ไปบอกว่าคนตายแล้วไปไหนนั้น มีแค่เสมอตัวกับขาดทุน ไม่มีกำไร เพราะว่าถ้าบอกเขาว่าทำดีแล้วไปดี เขาก็สบายใจ ว่าอย่างไรทำดีย่อมไปดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเขาทำดี ก่อนตายจิตเขาเศร้าหมองแล้วไปไม่ดี เราไปบอก ลูกหลานจะไม่มีอารมณ์ทำดีอีกเลย เพราะว่าพ่อแม่ทำดีมาตลอดชีวิตแต่ต้องมาตกนรก

แล้วหลวงพ่อก็ให้อาตมาไปดูในมหากัมมวิภังคสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไปชั่วแน่นอน
บุคคลที่ทำดีในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปชั่ว เพราะว่าความดีในอดีตอาจจะมาส่งผลทัน แบบมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร
บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปดี เพราะฉะนั้น..ชาตินี้อาจจะเห็นพ่อแม่ทำดีตลอดชีวิต แต่ทำชั่วในอดีตตามมาทัน แวบเดียวเท่านั้นเอง เรียบร้อยเลย
บุคคลทำดีในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ถึงจะไปดีแน่นอน

พอไปอ่านแล้ว ที่แท้อย่างนี้เองหลวงพ่อถึงได้ห้าม ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้อาตมาบอกเขามั่วไปหมด ใครถามบอกทั้งนั้น ส่วนเรื่องหวยก็ไปแสดงวีรกรรมไว้เยอะ แต่วันนี้เวลาไม่พอจะเล่า"

เถรี
26-08-2010, 10:58
"อะไรที่ท่านห้าม ไม่เคยเผลอเลย ไม่ใช่เราไม่เคยเผลอนะ หลวงพ่อท่านไม่เคยเผลอ เราพลาดเมื่อไรท่านก็ฟาดกบาล ตายแล้วตีเจ็บกว่าตอนเป็น ๆ อีก

มีอยู่วันหนึ่งหลวงพี่ประทีปเดินหัวโนมา ถามว่า "โดนอะไรเล่าพี่ ?" พี่ทีปบอกว่า "ป๋าฟาดกบาลเอาสิ" ถามว่า "พี่ไปทำอะไรมา ?" พี่ทีปบอกว่า "กูคิดจะสึก..!"

ก็คือ พอหลวงพ่อตายแล้ว พี่ทีปแกหมดอารมณ์ ภาระก็เยอะ เหนื่อยใจ ท้อ สึกดีกว่า คิดแค่นั้นเอง ท่านมาฟาดเปรี้ยง ไม่พูดไม่จาตีไว้ก่อน

ครั้งที่เราไปพม่าแล้วหัวโน ครูบาน้อยถามว่าอาจารย์ไปโดนอะไรมา ? ก็บอกท่านไปว่า "อ๋อ..สัปหงกหัวไปโขกโดนรถ" ตอนนั้นเราง่วง คนขับก็ง่วง ท่านจะให้เราถ่างตาเป็นเพื่อนคนขับ เราดันไปหลับก็โดนนะสิ..!"