ลัก...ยิ้ม
16-07-2010, 08:27
การรู้สภาวะที่แท้จริง
ของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ ก.ค. ๒๕๓๖ สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตามาสอนไว้ ดังนี้
๑. “การรู้สภาวะที่แท้จริงของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ เป็นทุกขสัจที่พระอริยเจ้าจักต้องยอมรับนับถือ สภาวะที่แท้จริงของร่างกายไม่มีใครเขาฝืนมันได้ ยิ่งฝืนมากเท่าไหร่ ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น ร่างกายมันเป็นไปตามสภาวะปกติของมัน คือ ทำงานหนักมากเกินกำลัง มันก็เสื่อมโทรมให้เห็นปรากฏชัด เป็นเวทนาอยู่ภายใน หากจิตรับทราบเวทนานั้นแล้ว วางเป็นสังขารุเบกขาญาณ คือ ยอมรับสภาพของร่างกายในขณะนั้น ๆ จิตก็จักไม่ดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากสภาวะนั้น ซึ่งไม่มีใครพ้นไปได้ เมื่อยอมรับ จิตก็จักมีความสุข ด้วยความเห็นร่างกายนี้ มีความเสื่อมไปตามปกติของมัน”
๒. “ประการสำคัญต้องรู้อยู่เสมอว่า ร่างกายนี้มิใช่เรา มิใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา จิตก็จักผ่อนคลายจากความยึดเกาะในเวทนานั้น ดังนั้น การกำหนดรู้ว่าร่างกายเสื่อมนั้นเป็นของจริง จิตก็ควรจักยอมรับความจริงนั้น ๆ”
๓. “ในเมื่อรู้ก็สมควรพัก ดูความเสื่อมและเห็นความดับไปของความเสื่อมนั้น เมื่อร่างกายได้พักพอสมควรแล้ว ก็จักเห็นความไม่เที่ยงของร่างกายอย่างชัดเจน”
๔. “บุคคลผู้รู้จริงจักไม่ฝืนสภาพของร่างกาย กล่าวคือ ไม่มีความเบียดเบียนร่างกายให้เกินไปกว่ากฏธรรมดา” (ผู้เห็นทุกข์จริงจะไม่ฝืน และไม่เพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง)
ของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ ก.ค. ๒๕๓๖ สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตามาสอนไว้ ดังนี้
๑. “การรู้สภาวะที่แท้จริงของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ เป็นทุกขสัจที่พระอริยเจ้าจักต้องยอมรับนับถือ สภาวะที่แท้จริงของร่างกายไม่มีใครเขาฝืนมันได้ ยิ่งฝืนมากเท่าไหร่ ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น ร่างกายมันเป็นไปตามสภาวะปกติของมัน คือ ทำงานหนักมากเกินกำลัง มันก็เสื่อมโทรมให้เห็นปรากฏชัด เป็นเวทนาอยู่ภายใน หากจิตรับทราบเวทนานั้นแล้ว วางเป็นสังขารุเบกขาญาณ คือ ยอมรับสภาพของร่างกายในขณะนั้น ๆ จิตก็จักไม่ดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากสภาวะนั้น ซึ่งไม่มีใครพ้นไปได้ เมื่อยอมรับ จิตก็จักมีความสุข ด้วยความเห็นร่างกายนี้ มีความเสื่อมไปตามปกติของมัน”
๒. “ประการสำคัญต้องรู้อยู่เสมอว่า ร่างกายนี้มิใช่เรา มิใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา จิตก็จักผ่อนคลายจากความยึดเกาะในเวทนานั้น ดังนั้น การกำหนดรู้ว่าร่างกายเสื่อมนั้นเป็นของจริง จิตก็ควรจักยอมรับความจริงนั้น ๆ”
๓. “ในเมื่อรู้ก็สมควรพัก ดูความเสื่อมและเห็นความดับไปของความเสื่อมนั้น เมื่อร่างกายได้พักพอสมควรแล้ว ก็จักเห็นความไม่เที่ยงของร่างกายอย่างชัดเจน”
๔. “บุคคลผู้รู้จริงจักไม่ฝืนสภาพของร่างกาย กล่าวคือ ไม่มีความเบียดเบียนร่างกายให้เกินไปกว่ากฏธรรมดา” (ผู้เห็นทุกข์จริงจะไม่ฝืน และไม่เพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง)