PDA

View Full Version : เรื่องที่ควรพูด ๑๐ อย่าง


ชินเชาวน์
09-01-2009, 21:58
๑. มักน้อย
๒. สันโดษ
๓. วิเวก
๔. ไม่คลุกคลี
๕. ความเพียร
๖. ศีล
๗. สมาธิ
๘. ปัญญา
๙. วิมุติ
๑๐. วิมุติญาณะทัสสนะ

คัดลอกจากหนังสืออนุสรณ์งานบำเพ็ญกุศลศพ ครบ ๑ ปี
พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงพ่อสาย อคฺควํโส)
อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ต. ท่าขนุน อ. ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี

ทิดตู่
17-01-2009, 21:45
เคยอ่านกลอนของหลวงปู่สายที่ติดไว้ที่ข้างฝากุฏิวัดท่าขนุน มีความหมายที่น่าสนใจ ว่าดังนี้ครับ
"ฆ้องระฆัง ดังเมื่อตี มีเสียงเพราะ
ถ้าไม่เคาะ ก็ไม่ดัง ตั้งอยู่เฉย
วิสัยปราชญ์ มาตรไม่ถาม ไม่ภิเปรย
ถึงคราวเอ่ย แต่ละครั้ง ฝังใจคน"
ฝากไว้ให้พิจารณากันดูนะครับ

เถรี
17-01-2009, 21:52
ถ้าเป็นเรื่องของการพูดสอน พระอาจารย์เล็กท่านเคยกล่าวแนะนำพระลูกศิษย์ว่า
๑. พูดเน้นการปฏิบัติ
๒. พูดให้เคารพพระรัตนตรัย
๓. พูดให้คลายกำหนัด
๔. พูดให้ห่างจากการครองเรือน เป็นต้น

ทิดตู่
18-01-2009, 12:26
“อัคคิเวสสนะ เวทนา ๓ อย่างนี้คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขมสุขเวทนา ๑ อัคคิเวสสนะ สมัยใดได้เสวยสุขเวทนาในสมัยนั้นไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวย อทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่สุขเวทนาเท่านั้น ในสมัยใดได้เสวยทุกขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่ทุกขเวทนา เท่านั้น ในสมัยใดได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยแต่ทุกขเวทนา ได้เสวย อทุกขมสุขเวทนา
“อัคคิเวสสนะ สุขเวทนา...... ทุกขเวทนา....... อทุกขมสุขเวทนา.....ไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่งขึ้นอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คล้ายไปดับไปเป็นธรรมดา
“อัคคิเวสสนะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายทั้งใน ทั้งสุขเวทนา ทั้งทุกขเวทนา ทั้งอทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี อัคคิเวสสนะ ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้แล ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใคร ๆ โวหารใดที่ชาวโลกพูดกันก็พูดไปตามโวหารนั้น แต่ไม่ยึดมั่นด้วยทิฐิ”

คิมหันต์
24-02-2009, 17:40
อัคคิเวสสนะ เวทนา ๓ อย่างนี้คือ

สุขเวทนา ๑
ทุกขเวทนา ๑
อทุกขมสุขเวทนา ๑

ในสมัยใดได้เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา และไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่สุขเวทนาเท่านั้น

ในสมัยใดได้เสวยทุกขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวยสุขเวทนา และไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่ทุกขเวทนาเท่านั้น

ในสมัยใดได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวยสุขเวทนา และไม่ได้เสวยแต่ทุกขเวทนา ได้เสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น

อัคคิเวสสนะ สุขเวทนา...... ทุกขเวทนา....... อทุกขมสุขเวทนา.....ไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่งขึ้นอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คล้ายไปดับไปเป็นธรรมดา

อัคคิเวสสนะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายทั้งใน ทั้งสุขเวทนา ทั้งทุกขเวทนา ทั้งอทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี อัคคิเวสสนะ ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้แล ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใคร ๆ โวหารใดที่ชาวโลกพูดกันก็พูดไปตามโวหารนั้น แต่ไม่ยึดมั่นด้วยทิฐิ


สาธุครับ ผมช่วยจัดย่อหน้าใหม่เพื่อให้อ่านได้ง่ายขึ้น

ทิดตู่
24-02-2009, 18:40
ทำให้นึกถึงที่พระท่านเมตตาเทศน์ให้ฟังเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า

โสมนัส โทมนัส และอุเบกขา ควรพิจารณาเป็นไปให้ละเอียดเพิ่มขึ้นอีก ๒ ลักษณะเพื่อความเข้าใจในเวทนาทั้งหลายได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น คือ

โสมนัสใด เป็นไปเพื่อกุศลธรรมเจริญขึ้น อกุศลธรรมเสื่อมลง โสมนัสนั้นควรเสพ
โสมนัสใด เป็นไปเพื่อกุศลธรรมเสื่อมลง อกุศลธรรมเจริญขึ้น โสมนัสนั้นไม่ควรเสพ

โทมนัสใด เป็นไปเพื่อกุศลธรรมเจริญขึ้น อกุศลธรรมเสื่อมลง โทมนัสนั้นควรเสพ
โทมนัสใด เป็นไปเพื่อกุศลธรรมเสื่อมลง อกุศลธรรมเจริญขึ้น โทมนัสนั้นไม่ควรเสพ

อุเบกขารมณ์ใด เป็นไปเพื่อกุศลธรรมเจริญขึ้น อกุศลธรรมเสื่อมลง อุเบกขารมณ์นั้นควรเสพ
อุเบกขารมณ์ใด เป็นไปเพื่อกุศลธรรมเสื่อมลง อกุศลธรรมเจริญขึ้น อุเบกขารมณ์นั้นไม่ควรเสพ

ป.ล.ขออภัย ณ ครับ นี่อาจจะไม่ตรงกับหัวข้อของห้องที่ว่าคำสอนของหลวงปู่สาย แต่ขออนุญาตเพิ่มเติมไว้ประกอบกับหัวข้อธรรมด้านบนนะครับ หากเห็นว่าไม่สมควรกรุณาลบหรือย้ายได้เลยนะครับ