PDA

View Full Version : เรื่องจิตไม่สงบ เพราะเกาะติดทุกข์-สุข


ลัก...ยิ้ม
23-04-2010, 10:44
เรื่องจิตไม่สงบ เพราะเกาะติดทุกข์-สุข

จากนั้นสมเด็จองค์ปฐม ได้ทรงพระเมตตามาสอนเพื่อนที่ร่วมปฏิบัติธรรมของผมต่อ ในวันที่ ๒๕ กพ. ๒๕๓๖ ขณะไปปฏิบัติพระกรรมฐานที่วิหาร ๑๐๐ เมตร “เรื่องจิตไม่สงบ เพราะเกาะติดทุกข์-สุข” มีความสำคัญดังนี้

๑. “เจ้าไม่ต้องห่วงว่าอิทธิพลคุณไสย จะมีอำนาจเข้ามาก่อกวนในวิหาร ๑๐๐ เมตร ตถาคตคุมอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา คือ พุทโธอัปปมาโณ”

๒. “ต่อไปนี้ขอให้เจ้า หมั่นดูอารมณ์ของตนเอง อย่าไปมองดู ไม่พอใจ ก็ต้องสังเกตที่จุดนี้ กำหนดสติสัมปชัญญะ รู้ให้ได้ว่าขณะนี้กำลังเสวยอารมณ์อะไรอยู่ เมื่อเรียนรู้อารมณ์ที่เสวยแล้ว ก็ต้องหมั่นเอาพระกรรมฐานเข้ามาแก้อารมณ์ที่เป็นพิษนั้น ๆ

จิตไร้ความสงบ เพราะอารมณ์ของจิตดิ้นรนเกาะติดทุกข์-สุข ถ้าหากศึกษาไม่ถ่องแท้แล้ว ก็จักแก้ไขจุดนี้ได้ยาก ต้องรู้จริงกระทบจริงด้วยสติสัมปชัญญะที่ว่องไว อันตามรู้ว่ากิเลสใดได้เกิดขึ้นแล้วในขณะจิตนั้น ถ้าไม่รู้ก็แก้ไขไม่ได้ ต้องหลงปล่อยให้จิตเป็นทาสของอารมณ์อยู่ร่ำไป อย่าท้อแท้ พลั้งบ้างเผลอบ้างเป็นธรรมดา หมั่นเพียรดูจิตเสวยอารมณ์อยู่เสมอ ๆ เริ่มปฏิบัติแรก ๆ มันก็ยุ่งยากหนักใจบ้างเป็นธรรมดา แต่กำหนดรู้ไปนาน ๆ ก็จักเกิดความเคยชินเอง”

๓. “ความทุกข์ใด ๆ จักยิ่งไปกว่าอารมณ์จิตของตนเองทำร้ายตนเองนั่นไม่มี การไปพรหมโลก เทวโลก ติดสุขด้วยอารมณ์นี้ การไปอบายภูมิ ๔ อันมีสัตว์นรกเป็นต้น ติดทุกข์ก็ด้วยอารมณ์จิตนี้ เพราะฉะนั้นเจ้าต้องการจะพ้นทุกข์ก็ต้องหมั่นศึกษาอารมณ์ระงับสุข ระงับทุกข์ ให้เห็นเป็นตัวธรรมดา อันหาสาระแก่นสารไม่ได้ หมั่นคิดพิจารณา หมั่นปลด หมั่นละอารมณ์จิตที่สร้างทุกข์ สร้างสุขลม ๆ แล้ง ๆ อยู่นี้ให้คลายไปจากจิต และหมั่นสร้างอารมณ์สังขารุเบกขาญาณให้เกิด เห็นการเสวยอารมณ์สุข-ทุกข์ ว่าไม่เป็นเรื่อง เพราะเป็นอารมณ์แสวงหาความเกิด เราจักไม่ต้องการ เราต้องการจุดเดียวคือแดนนิพพาน อันดวงจิตไม่ต้องเคลื่อนและไม่ต้องจุติยังแดนต่าง ๆ อีก นิพพานัง ปรมัง สุขัง นะลูก”

ลัก...ยิ้ม
23-04-2010, 15:47
๔. “ขณะบันทึก น้ำตาก็ไหลไปด้วยความปีติในธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงพระกรุณามาสั่งสอนให้ ทรงตรัสว่า “เจ้าต้องช่วยตนเองเร่งรัดความเพียร การมานิพพานได้ ต้องพึ่งตนเองเท่านั้น ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกนะเจ้า แต่ไม่สามารถบันดาลให้ใครเข้าพระนิพพานได้ การจบกิจในพระพุทธศาสนา ต้องปฏิบัติความเพียรด้วยตนเองทั้งสิ้น การชี้ การแนะ การนำให้เห็นพระนิพพาน ตถาคตย่อมทำได้ด้วยพุทธบารมี แต่การมาได้หรือไม่ได้นั้น เป็นหน้าที่ของเหล่าพุทธสาวกจักพึงทำได้เอง หวังว่าเจ้าคงจักเข้าใจ”

ตอบว่า เข้าใจพระพุทธเจ้าค่ะ

“เมื่อเข้าใจ ก็จงหมั่นตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อยังมรรคผลนิพพานให้เกิดเถิด”


๕. “อย่าลืมเตือนสติของตนเองไว้เสมอ ๆ มรณานุสติรุกเจ้าอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ในขณะจิตนั้นชีวิตของการเป็นมนุษย์มีสิทธิ์ที่จะพลัดพรากจากเราไป”


๖. “การเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พบพระธรรมคำสอนโดยอริยสาวกเยี่ยงท่านฤๅษีนั้น นับเป็นอุดมมงคลอย่างหาได้ยากยิ่งนัก เพราะฉะนั้น พวกเจ้าจักมิพึงประมาท ปล่อยปละละเลยให้จิตว่างจากความดี หากปล่อยให้จิตตกอยู่ในความเลว อารมณ์เลวเข้ามาสิงจิต มีความคิดในอารมณ์ทุกข์-สุข ตายไปก็ไปค้างอยู่พรหมโลก-เทวโลก-อบายภูมิ ๔ กลับมาเป็นมนุษย์ใหม่ ก็ต้องกลับมาเสวยทุกข์ เกิดดับอยู่ต่อไปอีกนับกาลนาน มันดีนักหรือ”


๗. “เพราะฉะนั้น จงอย่าประมาท การปฏิบัติธรรมมาถึงจุดนี้แล้ว ต้องทำกำลังใจในบารมี ๑๐ ให้เข้มแข็ง อย่าแชเชือน ต้องหมั่นสอบอารมณ์จิตให้จริงจัง ปฏิบัติธรรมโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย เพื่อมรรคผลนิพพาน”


๘. “แต่พวกเจ้านั้นยังมีทุกข์ของกายอยู่ ต่างกับพรหม เทวดา นางฟ้า ที่ท่านเป็นพระอริยะ ทุกข์ของกายยังฉุดพวกเจ้าอยู่ บีบบังคับให้เสวยเวทนาทุกข์-สุข ไม่ทุกข์-ไม่สุขกับมันอยู่อย่างนั้น อารมณ์เวทนายังฉุดจิตพวกเจ้าให้ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ในภพชาติต่าง ๆ อยู่ เพราะฉะนั้น พวกเจ้าจงอย่าประมาทเป็นอันขาด โอกาสได้มีน้อยกว่าพรหม เทวดา นางฟ้า แต่ถ้าเร่งความเพียรให้ถูกหลัก พวกเจ้าที่ยังเป็นมนุษย์นี่แหละ สามารถกอบกิจให้รวดเดียว มิต้องมาต่อระลอกสองบนเทวโลก พรหมโลกอีก หมั่นเตือนสติของตนไว้เสมอ ๆ ระวังชีวิตจะปิดฉากก่อนจบกิจแล้วจักเสียใจ จงอย่าประมาทเป็นอันขาด"

ลัก...ยิ้ม
26-04-2010, 15:19
วิจารณ์

ขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติมสำหรับบางท่าน ที่อ่านแล้วยังสงสัยหรือยังไม่เข้าใจในธรรมที่พระองค์สอน เพราะธรรมเหล่านี้ทรงเน้นสอนให้เพื่อนของผมและผมเท่านั้น

๑. ให้หมั่นดูอารมณ์ของตนเองอย่าให้เกิดอารมณ์ ๒ คือพอใจกับไม่พอใจ หรือราคะกับปฏิฆะ ต้นเหตุเพราะจิตไม่สงบ ทำให้เกิดอารมณ์เกาะทุกขเวทนา กับสุขเวทนา จึงต้องรู้ตลอดเวลาว่า เมื่อถูกกระทบโดยกิเลสผ่านทวารทั้ง ๖ แล้ว อารมณ์ใดเกิด หมายถึงจริตทั้ง ๖ ถ้าไม่รู้ก็แก้ไขไม่ได้ เพราะต้องใช้กรรมฐานแก้จริตให้ตรงถึงจะมีผล จุดนี้คือหลักสูตรของพระอนาคามีผล ซึ่งผ่านยาก เพราะอดเผลอไม่ได้

๒. ความทุกข์ใด ๆ จักยิ่งไปกว่า อารมณ์จิตของตนเองทำร้ายตนเองนั้นไม่มี ดังนั้น บุคคลใดไม่คอยจับผิดตนเอง และคอยแก้ไขตนเองตลอดเวลา จึงไม่มีทางพ้นภัยตนเองได้ ผู้มีปัญญาจึงไม่ส่งจิตออกนอกตัว ไม่หาธรรมะนอกตัว ไม่จับผิดผู้อื่น ไม่ยุ่งกับกรรมของผู้อื่น จุดนี้ต้องใช้ปัญญาอันเกิดจากพรหมวิหาร ๔ จึงหนักเรื่องการใช้สมถะและวิปัสสนา แยกสิ่งที่เป็นสาระออกจากสิ่งไร้สาระ

การพิจารณาหากยังไม่ถึงตัวธรรมดา ไม่เห็นธรรมดา ถือว่ายังไม่จบ มิฉะนั้นอารมณ์ช่างมันหรือสังขารุเบกขาญาณไม่มีทางเกิด จุดนี้คือหลักสูตรอรหัตผล เมื่อข้อแรกยังเผลออยู่เป็นปกติ ข้อ ๒ จึงห่างไกลความจริงมากขึ้น แต่พระองค์ก็ทรงให้กำลังใจ โดยเน้นเรื่องบารมี ๑๐ อย่างทิ้ง และให้เร่งความเพียรให้ถูกหลัก ก็สามารถจะจบกิจได้ในชาตินี้ ถ้าไม่ประมาทในความตาย พร้อมตาย และซ้อมตายให้จิตชินด้วยความไม่ประมาท ใช้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พระองค์เป็นเพียงผู้บอก ผู้ชี้แนะทางปฏิบัติให้เท่านั้น

๓. ความเพียรที่ถูกหลักคือ เพียรอยู่ในโพธิปักขิยธรรม ๗ หมวด หรือ ๓๗ ทางเท่านั้น คือ มหาสติปัฏฐาน ๔, อิทธิบาท ๔, สัมมัปปธาน ๔, อินทรีย์ ๕, พละ ๕, โพชฌงค์ ๗, และอริยมรรค ๘ เท่านั้น

ที่สุดนี้ผมขอบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง ขอความเมตตาจากท่านให้ช่วยดลจิตให้ผู้อ่านธรรมะที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์บทนี้แล้ว นำไปปฏิบัติจริงจัง จงประสบความสำเร็จ มีดวงตาเห็นธรรมได้ตามลำดับจนเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ทุกคนเทอญ

ลัก...ยิ้ม
26-04-2010, 15:21
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๕
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com