PDA

View Full Version : การแก้อารมณ์หดหู่


ลัก...ยิ้ม
29-03-2010, 15:43
การแก้อารมณ์หดหู่
หรือโมหะจริตกับวิตกจริต

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๐ พ.ค. ๒๕๓๖ สมเด็จองค์ปฐมทรงมีพระเมตตาตรัสสอนไว้ มีความสำคัญดังนี้

๑. “เจ้าจงหมั่นดึงอารมณ์ให้ช้าลงด้วยอานาปานสติ ควบคู่กับจับภาพพระในอก”

๒. “ที่ยังหุนหันพลันแล่น เพราะอารมณ์จิตมันร้อน ใจเร็วเกินไปหน่อย ขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่มีอารมณ์ใคร่ครวญ กามฉันทะ ปฏิฆะกระทบทีไร อารมณ์จึงเตลิดไปก่อนทุกที”

๓. “นิสสัมมะ กะระณัง เสยโย ยังอ่อนเกินไป สติไม่ไว รู้ไม่เท่าทันความคิด ต้องพยายามรู้ลมจับภาพพระ โจทย์จิตตนเองไว้เสมอ ๆ”

ลัก...ยิ้ม
29-03-2010, 16:26
๔. “เพ่งโทษความรักและความโกรธเข้าไว้เนือง ๆ แต่รู้ด้วยอารมณ์เบา ๆ สบาย ๆ”

๕. “ให้พิจารณาขันธ์ ๕ ของตนและบุคคลอื่น ว่าในที่สุดก็ต้องตาย ขันธ์ ๕ มีแต่ความเสื่อม สกปรกหมด ถ้าหากไม่ชำระจิตให้สะอาดดีแล้ว ก็ต้องจุติสู่ภพสู่ชาติกันอีกต่อไป จักมานั่งรัก นั่งโกรธขันธ์ ๕ ของตนและบุคคลอื่น เพื่อประโยชน์อันใด เพราะขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ มันไม่เที่ยง เป็นเพียงธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ เข้ามาประชุมกันชั่วครั้งชั่วคราว

ขันธ์ ๕ ทุกรูปทุกนามเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยโทษ ยิ่งมัวเมาอยู่ในอารมณ์ราคะ ปฏิฆะมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องกลับมาเกิดพบกับขันธ์ ๕ ที่เต็มไปด้วยโทษและทุกข์เช่นนี้อีก”

๖. “การมีขันธ์ ๕ กรรมที่ล่วงปัญจเวรทั้ง ๕ (ละเมิดศีล ๕) มาแต่อดีตชาติ ก็เข้ามาเล่นงานได้ตามวาระ ไม่มีใครอยากได้ขันธ์ ๕ ที่เจ็บไข้ได้ป่วย เพราะกฎของกรรมเยี่ยงนั้น แต่สภาพของขันธ์ ๕ ก็เป็นเยี่ยงนี้อยู่ตามปกติ เกิดเป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ มีชีวิตอยู่ก็พลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีการกระทบกระทั่งของอารมณ์เป็นต้นเหตุ”

ลัก...ยิ้ม
30-03-2010, 11:52
๗. “รวมความว่า ในเมื่อเจ้าเบื่อไม่อยากมีขันธ์ ๕ เจ้าก็สมควรเบื่ออารมณ์ราคะกับปฏิฆะ ที่ทำให้ต้องกลับมามีขันธ์ ๕ ด้วย มองดูทุกข์ มองดูโทษของอารมณ์ทั้ง ๒ นี้ด้วยตาปัญญาเถิด”

๘. “กำหนดอานาปานุสติให้จิตมีกำลัง มีสติทรงตัว แล้วกำหนดพิจารณารู้ทุกข์นั้นช้า ๆ”

๙. “จงหมั่นกระทำดุจเดียวกันกับการพิจารณาขันธ์ ๕ คือ หมั่นแยกแยะอารมณ์ ให้ละเอียดลงไปตามลำดับ หามูลเหตุให้ได้ว่า อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอารมณ์นั้น ๆ”

๑๐. “อย่าคิดว่าง่าย รู้แล้วเป็นอันขาด เพราะกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม มันครอบงำบดบังจิตได้ง่าย ๆ นิวรณ์เข้าแทรกเมื่อไหร่ ปัญญาที่จักเห็นต้นเหตุที่เกิดอารมณ์นั้น มันก็หมดไป มองไม่เห็น และมักจักเกิดอารมณ์โง่ คือเข้าข้างตนเอง ปล่อยให้จิตตกเป็นทาสของอารมณ์ที่ถูกกิเลสนั้น ๆ

คิดถึงท่านฤๅษีทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ดี แต่จิตก็ไม่มีปัญญาที่จักแก้ไขอารมณ์หลงนี้ให้หลุดไปจากจิตได้ แต่ถ้าเจ้าทำตามขั้นตอนนี้ ที่ตถาคตได้กล่าวมาแล้วนั้น ใช้อานาปานุสติคุมจิตให้มีสติ แล้วมีกำลังดึงอารมณ์จิตให้ช้า พิจารณากำหนดรู้ทุกข์ รู้โทษของอารมณ์ หมั่นแยกแยะอารมณ์ให้ละเอียดลงไปตามลำดับ ในที่สุดเจ้าก็จักละจากอารมณ์หดหู่เศร้าหมองนั้นได้ อารมณ์ใดเกิดก็ให้พิจารณาอารมณ์นั้น ด้วยจิตที่มีสติกำลัง ในที่สุดก็จักละอารมณ์เหล่านั้นลงได้ตามลำดับ”

ลัก...ยิ้ม
31-03-2010, 11:49
๑๑. “กำหนดรู้ให้มาก แต่อย่าทำอารมณ์จิตให้เครียด จงหมั่นอาศัยอานาปานุสติ ยังจิตให้เข้าถึงฌาน อารมณ์จักเบา”

๑๒. “สำหรับการพิจารณา ก็พยายามรักษาอารมณ์ให้อยู่ในขั้นปฐมฌานเข้าไว้ จิตจักมีกำลังระงับนิวรณ์ ๕ และจักทำวิปัสสนาญาณไปด้วยดี ให้ใคร่ครวญคำสอนเรื่องอารมณ์นี้ให้มาก ๆ”

ลัก...ยิ้ม
31-03-2010, 11:54
ในวันต่อมา พระองค์ก็ทรงเมตตามาตรัสสอนต่อ มีความสำคัญดังนี้

๑. “พยายามตัดกรรมเข้าไว้ ใครจักทำอะไรก็ช่างเขา เจ้าอย่าเอาอารมณ์จิตไปผูกกรรมนั้นเข้าไว้ก็แล้วกัน” (สาเหตุก็เพราะเพื่อนของผมถูกกระทบจากพวกที่ไม่ปรารถนาดี จิตก็ยังหวั่นไหวอยู่มาก)

๒. “มันเป็นธรรมดา เพราะเจ้ายังไม่ใช่อรหันต์ เมื่อใดที่อารมณ์จิตมันไหว จักเป็นโมหะ วิตก หรือราคะ ปฏิฆะก็ตาม จงมองเห็นโทษของการไหวไปในอารมณ์นั้น เพราะเวลานี้จิตของเจ้าก็ถูกความทุกข์เข้าครอบงำ”

๓. “อย่างการร่วมเพศเสพกาม เจ้าก็ได้เห็นแล้วว่า ร่างกายมีทุกข์ เพราะความเจ็บปวดเข้าเบียดเบียน แต่กามสัญญาเป็นธรรมารมณ์ที่เข้ามาเบียดเบียนจิต ให้เกิดความทุกข์เข้าครอบงำ”

ลัก...ยิ้ม
01-04-2010, 12:21
๔. “การกระทบกระทั่งทางกาย เป็นความทุกข์ของร่างกาย การกระทบกระทั่งของจิต ก็เป็นความทุกข์ของจิต มีความเจ็บปวดพอกัน เพราะเวทนาของกายไม่เที่ยง เวทนาของจิตก็ไม่เที่ยงเช่นกัน แต่อารมณ์หลง ยึดเวทนาทั้งทางกายและเวทนาของจิต มันไม่ยอมละ ไม่ยอมปล่อยวางเวทนานั้น จึงเป็นเหตุให้เวทนานั้น หวนกลับมาทำร้ายจิตได้เสมอ ๆ”

๕. “จิตเกาะกรรมไม่ยอมปล่อย จึงตกเป็นทาสของอารมณ์โมหะ โทสะ ราคะ อยู่เสมอ ๆ เจ้าเห็นทุกข์ เห็นโทษของอารมณ์ของตนที่เบียดเบียนตนเองอยู่หรือไม่” (ก็ยอมรับว่าเห็น)

๖. “อย่าโทษบุคคลอื่นที่ทำเหตุมากระทบ กระทั่งร่างกายและอารมณ์จิตของเรา วินาทีนั้นผ่านไป ทุกอย่างก็อนัตตาแล้ว อย่ายึดถือเอามาเป็นธรรมารมณ์ ทำร้ายจิตของตนให้บาดเจ็บต่อไปอีกเลย เคารพกฎของกรรมให้มาก ๆ”

๗. “เอาคาถาว่ากันคุณไสยไว้บทหนึ่ง เป็นการเตือนจิตของตนไว้ อย่าไปยึดการกระทบกระทั่งทางร่างกายและจิตเอาไว้

คาถานั้น คือ “พุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณ ปัด-ตัด ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา”

แล้วระลึกถึงความอนัตตาเข้าไว้ เจ้าก็จักปลอดภัยจากคุณไสย และเตือนจิตให้ปลอดจากการกระทบกระทั่งทั้งทางร่างกายและจิตใจ”

“ขอให้ใคร่ครวญให้ดี ๆ”

ลัก...ยิ้ม
01-04-2010, 17:45
เมื่อพระองค์ทรงให้ใคร่ครวญให้ดี ๆ จึงยกคาถาป้องกันคุณไสย ขึ้นมาเป็นธัมมวิจัย ดังนี้

พุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ นั้นหาประมาณมิได้ ข้อนี้ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว แต่ขออนุญาตเพิ่มเติม ดังนี้

๑. ในโลกทั้ง ๓ คือ มนุษย์โลก เทวโลก และพรหมโลก ไม่มีอะไรเหนือกว่าคุณธรรมข้อนี้ จึงสามารถปัดและตัดอำนาจอันมิชอบ หรือเป็นมิจฉาทิฏฐิของเหล่ามนุษย์ อมนุษย์ เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ พรหมที่เป็นมิจฉาทิฏฐิได้โดยสิ้นเชิง

๒. คุณธรรมทั้งสามนี้เที่ยงแล้ว หมายความว่าเป็นความดีที่ทรงตัว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก จึงใช้เป็นเครื่องยึดถือได้ ไม่เป็นโทษ เป็นทุกข์ และเป็นภัยกับผู้ยึด

๓. คุณธรรมทั้งสามนี้อยู่เหนือกฎของไตรลักษณ์แล้ว คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ส่วนโลกทั้ง ๓ นั้นยังตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์

ลัก...ยิ้ม
05-04-2010, 11:03
๔. กฎของไตรลักษณ์คุมได้แค่ ๓ โลกนี้ แต่คุมไปไม่ถึงแดนนิพพาน ซึ่งจิตของบุคคลผู้มีคุณธรรมของ พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์สมบูรณ์แล้วเท่านั้น จึงจะเข้าสู่แดนพระนิพพานได้อย่างถาวร

๕. พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านไม่ยึด ไม่เกาะ ไม่ติด ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกทั้งสามแล้วอย่างเด็ดขาด ท่านเห็นโลกทั้งภายนอกและภายใน เป็นแค่สภาวะของธรรมหรือกรรม ซึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปอยู่เช่นนั้นเป็นธรรมดา (เห็นไตรลักษณ์ขั้นละเอียดสูงสุด) ไม่มีอะไรทรงตัวหรือเที่ยงเลย ท่านจึงวางสมมุติธรรมเพื่อเข้าสู่วิมุติธรรมได้

๖. พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้นที่มีอารมณ์เดียว คือ สังขารุเบกขาญาณทรงตัวเป็นอัตโนมัติ ในทางโลกเรียกว่า อารมณ์ช่างมัน อารมณ์สักแต่ว่า อุเบกขารมณ์ อารมณ์อากิญจัญญายตนะฌาน (โลกทั้งโลกที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ พังหมด อนัตตาหมด ใช้ยึดถืออะไรไม่ได้) บางท่านก็เรียกว่า อารมณ์อนัตตา

อารมณ์เหล่านี้ล้วนเป็นอารมณ์ดับความเกิด ซึ่งในทางปฏิบัติเริ่มมีตั้งแต่พระโสดาบัน แต่ยังหยาบและยังไม่ทรงตัว แล้วเจริญขึ้นตามลำดับ จนถึงละเอียดสุด และทรงตัว จึงจะเกิดอารมณ์สังขารุเบกขาญาณที่สมบูรณ์ ละถาวร เป็นอัตโนมัติตอนที่เป็นพระอรหันต์

๗. จากเหตุผลที่กล่าวมาแล้วนั้น คุณไสยทุกชนิดจึงไม่สามารถจะทำร้ายจิตท่านได้

๘. สำหรับพวกเราซึ่งยังเป็นเสขะบุคคล ยังเป็นบุคคลที่ยังมีกิจที่จะต้องตัด ละ วางกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมอยู่ จึงต้องใช้คาถาที่พระองค์ทรงเมตตามอบไว้ให้ป้องกันตัว (จิต)

เมื่อว่าคาถาแล้ว ให้วางอารมณ์อยู่ในอารมณ์อนัตตาตามข้อ ๖ เป็นการชั่วคราว เพื่อให้จิตว่าง หรือพ้นจากอำนาจของมาร หรือกิเลสทั้งมวลได้ชั่วคราวเช่นกัน หากเราเป็นผู้ไม่ประมาทในธรรม หรือในความตาย หมั่นว่าคาถาป้องกันคุณไสยไว้ ก็เท่ากับเราซ้อมจิตของเราให้ทรงอยู่ในอารมณ์อนัตตา ในที่สุดจิตเราก็จะทรงตัว กลายเป็นฌานสมาบัติได้ เมื่อนั้นแหละ อารมณ์สังขารุเบกขาญาณที่สมบูรณ์ก็จะเกิดขึ้นกับเราได้โดยมิต้องสงสัย

๙. พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า “วันหนึ่ง ๆ ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้มากเท่ากับ อารมณ์จิตของเรา ทำร้ายจิตของเราเอง” พระธรรมประโยคนี้ สามารถนำมาอธิบายผลของคาถาบทนี้ได้อย่างดีที่สุด เพราะหากใจของเราไม่ยึด ไม่ติด ไม่เกาะ ทุกสิ่งในโลก โดยเฉพาะขันธโลก หรือร่างกาย หรือขันธ์ ๕ และทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องด้วยร่างกายแล้ว ทุกอย่างก็เป็นอนัตตาหมด เพียงแค่ขณะจิตเดียวที่ผ่านไปก็เป็นอนัตตาแล้ว หรือเป็นอดีตธรรมแล้ว

ผมก็เพียงแต่แค่คิดพิจารณาไป ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์เท่านั้น ของจริงยังไม่มีในตัวผม ผมจึงพูดง่าย เขียนและอธิบายได้ง่าย ๆ แต่พอนำไปปฏิบัติจริง ๆ ปรากฎว่ามันง่ายนิดเดียว

ลัก...ยิ้ม
05-04-2010, 11:03
ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ (เล่ม ๔)
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com