PDA

View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๓


เถรี
26-03-2010, 00:06
ขยับขยายนั่งในท่าที่สบายของตัว สำหรับวันนี้ก็เป็นวันเสาร์ที่ ๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานเดือนมีนาคมในวันที่สอง

เมื่อครู่เราได้กล่าวถึงเรื่องของการปฏิบัติของคนอิสลาม ที่ท่องคัมภีร์อัลกุรอานแล้วเกิดอภิญญาขึ้นได้ เราจะเห็นได้ว่า ขอเพียงเรามีความเชื่อมั่นและกระทำจริงจังไม่ย่อท้อ ย่อมเกิดความสำเร็จได้ ไม่ว่าจะเป็นชาติใด ภาษาใดก็ตาม

คราวนี้ถ้าจะนับเนื่องไปแล้ว ในสายกรรมฐานของเรานั้น ต้องเรียกว่า มีชื่อเสียงขึ้นมาก็ด้วยมโนมยิทธิ คือ การมีฤทธิ์ทางใจ สามารถที่จะกำหนดจิตไปดูภพภูมิต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนรก เปรต อสุรกาย เทวดา มาร พรหม ตลอดจนพระบนนิพพานได้

ในเมื่อเป็นดังนี้ ก็ขอให้ทุกท่านอย่าได้ทิ้งในส่วนของมโนมยิทธิ ท่านใดที่ทำได้แล้วให้ซักซ้อมเอาไว้บ่อย ๆ ท่านใดที่ยังทำไม่ได้ ให้ตั้งใจนำเอาพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ที่เรารักเราชอบ มาวางตรงหน้าของเราในระดับที่สายตามองได้สบาย ในระยะที่ไม่ห่างจนเกินไป ไม่ใกล้จนเกินไป ลืมตามองภาพพระนั้น แล้วหลับตาลง กำหนดจำภาพพระไว้ พร้อมกับกำหนดคำภาวนา จะว่าพุทโธก็ได้ นะมะพะธะก็ได้ สัมมาอะระหังก็ได้ แล้วแต่เราถนัด

เมื่อภาพพระนั้นเลือนหายไป เราก็ลืมตาดูใหม่ แล้วลืมตานึกถึง กำหนดคำภาวนาและลมหายใจต่อไป ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เป็นร้อย..เป็นพัน..เป็นหมื่น..เป็นแสนครั้ง นานไป ๆ ความรู้สึกนั้นจะชัดเจน แม้เราหลับตาอยู่ก็กำหนดรู้ภาพพระได้ชัดเจนแจ่มใสมาก ถ้าอย่างนั้นเขาเรียกว่า อุคคหนิมิต

ถ้าหากเป็นพระแก้ว ก็เป็นอุคคหนิมิตในอาโลกกสิณ ถ้าเป็นพระพุทธรูปสีขาว ก็เป็นอุคคหนิมิตในโอทาตกสิณ ถ้าเป็นพระพุทธรูปสีเหลืองหรือสีทอง ก็เป็นอุคคหนิมิตในปีตกกสิณ ถ้าเป็นพระพุทธรูปสีเขียว ก็เป็นอุคคหนิมิตในนีลกสิณ เป็นต้น

เมื่อทำได้ดังนั้นแล้ว เราก็ต้องกำหนดสมาธิ เอาจิตจดจ่ออยู่กับภาพพระนั้น ไม่ว่าจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ความรู้สึกส่วนหนึ่งต้องเอาไว้ที่ภาพพระนั้นเสมอ ๆ การที่เราต้องจดจ่อต่อเนื่องอยู่เช่นนั้น ในเรื่องของกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง จะไม่สามารถกินใจเราได้ชั่วคราว จิตใจที่สงบนิ่งก็จะมีกำลัง มีความผ่องใสเกิดขึ้น

เถรี
26-03-2010, 00:31
ถ้าเราใช้พระพุทธรูปแก้วหรือพระพุทธรูปสีขาว หรือใช้พระพุทธรูปแก้วแล้วมีไฟส่องอยู่ด้านหลัง นั่นจะเป็นส่วนที่สร้างทิพจักขุญาณให้เกิดขึ้นได้

เราสามารถกำหนดภาพพระได้ชัดเจนแจ่มใสเท่าไรก็ตาม เราก็จะสามารถกำหนดเห็นเรื่องของผี ของเทวดา ได้ชัดเจนแจ่มใสเท่านั้น สำคัญอยู่ตรงที่ว่าต้องทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

ในเมื่อคนอื่นศาสนาอื่นเขายังทำได้ เราที่เกิดมาในศาสนาพุทธแท้ ๆ จะงอมืองอเท้าอยู่ ทำตัวเป็นหนูตกถังข้าวสาร คิดว่ากินเมื่อใดก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าวสารอาจจะหมดไปเพราะว่าหนูตัวอื่นมาแย่งกิน เราก็จะไม่ได้อะไรเลย

ในวันนี้จึงอยากจะย้ำเตือนทุกคนว่า เรื่องของมโนมยิทธินั้น ที่จริงแล้วฝึกได้ง่ายมาก สำคัญตรงที่ต้องซักซ้อมบ่อย ๆ อย่างเช่นว่า เวลาเรากลับไปบ้านแล้ว เมื่อสวดมนต์ไหว้พระเสร็จ ให้นั่งในท่าที่สบาย กำหนดความรู้สึกของเราทั้งหมดให้มาอยู่ตรงหน้า ในระยะที่ไม่ห่างเกินไป ไม่ใกล้เกินไป เป็นลักษณะร่างกายที่มีหน้าตาเหมือนกับเราทุกประการ แต่เป็นร่างที่ไม่ใหญ่นัก อาจจะสูงสักศอกหนึ่ง ศอกครึ่งก็พอ แล้วเราก็บังคับให้ร่างกายนั้นทำงานตามที่เราสั่ง อย่างเช่นสั่งให้ซ้ายหัน ให้ขวาหัน ให้กลับหลังหัน ให้เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว สี่ก้าว ห้าก้าว ให้เดินถอยหลัง หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว สี่ก้าว ห้าก้าว เป็นต้น

ซักซ้อมอย่างนี้ให้คล่อง จุดสำคัญก็คือ ต้องช้า อย่าเร็ว เพราะถ้าคนที่มีความคล่องจะเร็วมาก และเราจะจับรายละเอียดไม่ทัน หลังจากนั้นอาจจะให้เดินไปที่หน้าต่างชะโงกมองดู อ้อ...กระเบื้องหลังคานี้เป็นสีแดง เลาะหน้าต่างไปทางขวามือ อ้าว...ด้านนี้เป็นกันสาด มีแอร์อยู่หกตัว แอร์ใหญ่สี่ตัว แอร์เล็กสองตัว แอร์ตัวที่สี่มีแมวนอนหมอบอยู่ข้าง ๆ ด้วย

เดินเลาะกลับมาตรงประตูกระจก เปิดประตูออกไป ถึงไม่เปิดก็ทะลุประตูออกไปได้ ค่อย ๆ ลงบันไดไป อ้าว..บันไดปูด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินเข้ม ขั้นที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ไล่ลงไปเรื่อย เจอประตูไม้ เปิดประตูไม้ออกไป ลงบันไดอีก ๑ ๒ ๓ ถึงพื้นข้างล่าง เลี้ยวซ้ายนิดหนึ่งออกประตูเล็ก ๆ เลี้ยวซ้ายอีกที ก็ต้องเลาะข้างรั้วตาข่ายออกไป มีประตูอีกชั้นหนึ่ง เป็นช่องประตูเฉย ๆ ไม่ได้มีประตูขวางกั้น

เดินถัดไปอีกนิดหนึ่ง จะมีช่องประตูที่เป็นประตูลวดตาข่ายอยู่ เดินออกทางช่องนั้น ซ้ายสักนิดหนึ่ง เดินขนานไปกับทางด่วน ตรงหน้าของเราทางด้านซ้ายมือ มีคนขายของจุกจิกอยู่ ตรงนี้มีรถเข็นขายอาหาร ถัดไปอีกหน่อยหนึ่งนั่งพิงกับตู้โทรศัพท์ กำลังร้อยพวงมาลัยอยู่

เดินขึ้นบันไดไป มีคนขอทานอยู่หนึ่งคนทางซ้ายมือ เดินก้าวสวนไปเลยก็ได้ จะเดินชนไปเลยก็ได้ เพราะว่าเขาสัมผัสเราไม่ได้ เลี้ยวขวามือไป ตรงมุมตึกมีโทรทัศน์จอใหญ่ ๆ อยู่ ยืนดูโทรทัศน์สักนิดก็ได้ หรือไม่ก็หันจากโทรทัศน์มาทางด้านซ้ายมือ ก็เป็นอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นต้น

เถรี
26-03-2010, 13:08
เราทดสอบอย่างนี้ของเราไปเรื่อย ๆ จะเดินวนรอบบ้านสักสามรอบก็ได้ เดินวนรอบอนุสาวรีย์สักสามรอบก็ได้ ค่อย ๆ เดิน ค่อย ๆ ดู

สิ่งที่เรารู้เห็นนั้นจะชัดเจนมากในระยะแรก เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยอยู่ แต่พอไกลออกไป ไกลออกไป การกำหนดรู้จะไม่ชัดเจน เพราะเราจำของเก่าไม่ได้ คราวนี้ถ้ารู้เห็นอะไร สิ่งที่รู้เห็นจะเป็นความเป็นทิพย์อย่างแท้จริง

เราเห็นสิ่งใดบ้าง ? เดินลงบันไดทางซ้ายมือ ตอนนี้ด้านหลังของเราเป็นจอโทรทัศน์อยู่ เดินสวนลงไปตรงตีนบันไดทางขวามือ มีเต็นท์ขายของอยู่ ร้านนี้ขายรองเท้า อ้าว..ตรงนี้มีรถเข็นผลไม้ดอง มีแผงขายหวยโผล่มาจากไหนอีกแผงหนึ่งด้วย ขยับอีกนิดจะเดิน มีรถตู้วิ่งมา หยุดให้รถตู้ผ่านไปก่อน ฝั่งตรงข้ามไปเป็นวินมอเตอร์ไซค์ ไปอีกหน่อยเป็นป้ายรถเมล์

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเรารู้เห็นชัดเจน ในส่วนที่ไม่แน่ใจให้จดเอาไว้ ถ้ามีโอกาสก็เดินไปดูว่าจริงอย่างที่เราเห็นไหม ? ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เป็นการซักซ้อมความคล่องตัว ท่านที่ได้มโนมยิทธิแล้วก็จะคล่องตัว รู้เห็นชัดเจนมากขึ้น ท่านที่ไม่ได้มโนมยิทธิ ถ้าซ้อมแล้วก็จะปรากฏความชัดเจนขึ้นในใจ

ขอให้ทุกคนทราบว่า มโนมยิทธินั้นเป็นภาพที่ปรากฏขึ้นในใจ ไม่ใช่สายตา อย่างเช่นเวลาเรานึกถึงคนอื่น หรือของสิ่งอื่น สิ่งนั้นจะชัดเจนขึ้นมาในใจของเรา ไม่ใช่ตาเห็น แต่ขณะเดียวกันก็มองเห็น

ถ้าเราสามารถที่จะกำหนดรู้ดังนี้แล้วซักซ้อมบ่อย ๆ มีความคล่องตัวมาก ถึงเวลาต้องการรู้เรื่องอะไรให้กำหนดใจถามพระ โดยเฉพาะถ้าจะไปยังภพอื่นภูมิอื่น ให้กำหนดจิตตัดร่างกายนี้เสียก่อน พิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ท้ายที่สุดเสื่อมสลายตายพังไป ยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนไม่ได้อย่างไร จนกระทั่งถ้าหากจิตไม่ยึดเกาะร่างกายนี้ จิตก็จะไปได้คล่องตัว และมีความชัดเจนมาก ๆ

ในเมื่อคนชาติอื่น ศาสนาอื่น สามารถสร้างอภิญญาให้เกิดได้ ปัจจุบันนี้ใช้ในการเล่นกลหลายต่อหลายคน แม้กระทั่งบุคคลที่ตั้งใจท่องคัมภีร์ทางศาสนา เขายังเกิดอภิญญาขึ้นมาได้ เราเองที่อยู่ในศาสนาพุทธ เรื่องอภิญญาที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ เพื่อให้เราพิสูจน์คำสอนในศาสนา เราควรจะทำได้ เพื่อจะได้สิ้นความสงสัยในสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น สำคัญตรงที่ว่าอย่าเบื่อหน่ายและท้อถอยเสียก่อน ต้องขยันซ้อมทุกวัน

ถ้าอยากจะชนะกิเลสก็ต้องซ้อมกระบวนการสู้กิเลส อยากที่จะรู้เห็นให้ชัดเจนก็ต้องซ้อมมโนมยิทธิให้ชัดเจนแจ่มใส เหล่านี้เป็นต้น

เถรี
26-03-2010, 13:12
ในเมื่อเราซักซ้อมอย่างสม่ำเสมอ ตลอดระยะเวลาช่วงนั้น สิ่งที่จะพึงได้ด้วย ก็คือ ศีลทุกข้อจะบริสุทธิ์ เพราะว่าไม่ได้ละเมิดศีล ขณะเดียวกันความคล่องตัวในสมาธิจะมีมาก เพราะว่ากำหนดซักซ้อมอยู่ทั้งวัน และการรู้เห็นของทิพจักขุญาณก็จะชัดเจนมาก

และท้ายสุดเราก็นำเอาทิพจักขุญาณนั้นเกาะภาพพระบนพระนิพพานเอาไว้ กำหนดจิตว่าเราอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นการเฉพาะ ถึงเวลาผู้ใดสวดมนต์ได้ก็ตั้งใจสวดมนต์ ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

สภาพจิตแรก ๆ เราจะเกาะพระนิพพานไม่อยู่ เพราะว่าพระนิพพานมีความละเอียดมาก แต่ถ้าจิตมีงานให้ทำ จิตก็จะมุ่งมั่นอยู่กับงานนั้น เมื่อตั้งใจว่าเราจะสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา ต่อเบื้องพระพักตร์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ตราบใดที่เรายังทำงานนั้นไม่เสร็จ จิตก็จะยังเกาะพระนิพพานอยู่

เมื่อเราซักซ้อมบ่อย ๆ ให้หมั่นสังเกตว่า อารมณ์จิตในขณะนั้นไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง อย่างไร ? มีความเบาความสบายอย่างไร ? ให้เรากำหนดจดจำอารมณ์นั้น แล้วประคับประคองเอาไว้ เมื่อกำหนดจิตกลับมาสู่ร่างกาย แล้วให้รักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเรานานที่สุด ถ้าหากซักซ้อมอย่างนี้บ่อย ๆ นอกจากความคล่องตัวในการใช้งานจะมีมากแล้ว การตัดกิเลสโดยอำนาจของมโนมยิทธิยังทำได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้นด้วย

ตอนนี้ก็ขอให้ทุกท่านกำหนดใจจดจ่อเอาไว้ อยู่ที่ภาพพระของเรา อยู่ที่คำภาวนาของเรา กำหนดคำภาวนาและภาพพระของเราตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๓