เถรี
15-03-2010, 12:40
นั่งในท่าที่สบายของทุกคน ผ่อนคลายให้ได้มากที่สุด เพียงแต่ว่าตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้เฉพาะหน้า คือให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา หายใจเข้าพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด หายใจออกพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด เพื่อสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นแก่จิตของเราก่อน
สำหรับวันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นวันแรกของการปฏิบัติกรรมฐานในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งช่วงนี้เหตุการณ์บ้านเมืองทั้งหลายก็ไม่ค่อยจะปกตินัก
มีญาติโยมสอบถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในบ้านในเมือง การสอบถามนั้น อยากจะบอกว่าจริง ๆ แล้ว ก็คือ กลัวว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับตนเอง หรือกับคนที่ตัวเองรัก ความที่กลัวจะเกิดเรื่องนั้น ขอให้เข้าใจว่าเป็นความกลัวตาย เพราะว่าถ้าอันตรายรุนแรงมากก็อาจจะถึงตาย ตัวเราหรือคนที่เรารักได้ตายไป เป็นต้น จึงกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ความกลัวทุกประเภท มีพื้นฐานมาจากการกลัวตายทั้งหมด
เหตุที่เรากลัวตายเพราะเรายังไม่รู้ว่าความตายที่แท้จริงนั้นคืออะไร ถ้าเรารู้จักความตายอย่างถ่องแท้ ความกลัวก็จะหมดไป
ความตายนั้น ที่จริงแล้วเป็นการเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามบาปที่เราสร้างมาเท่านั้น พูดง่าย ๆ ก็คือว่า การตายนั้น ตายแต่ร่างกาย แต่ใจนั้นไม่ได้ตายไปด้วย เมื่อถึงเวลาแล้ว บุญบาปที่เราทำอยู่ ก็ส่งให้ใจนั้นเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไป ไปยึดถือรูปอื่นขันธ์อื่น ตามกำลังบุญกำลังบาปของตน
ถ้าสร้างบาปไว้มาก ก็เป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ถ้าหากทำความดีไว้บ้าง ก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าหากดีกว่านั้นก็ได้เกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า ดีปานกลางก็เกิดเป็นพรหม ถ้าดีถึงที่สุดก็หลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายนั้นเป็นของเที่ยง คือ ชีวิตของเรานั้นจะตายเมื่อไรก็ไม่แน่ แต่ความตายนั้นต้องมาถึงแน่นอน พระองค์ตรัสไว้อีกว่า สัตว์โลกทั้งหลายเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น เพียงแต่ว่าระยะในการเกิดนั้นใช้ระยะเวลาประมาณสิบเดือน แต่เวลาจะตายนั้นใช้ระยะเวลาหลายสิบปี เราจึงคิดว่ามีการเกิดมากกว่าการตาย แต่ความจริงแล้วมีเท่ากัน เกิดมาในที่สุดก็ต้องตายกันทุกคน
ถ้าหากเรามีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ความตายไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เป็นธรรมดาของทุกคนที่จะต้องพบเห็น ความตายเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนสภาพของร่างกายที่เรายึดถือนี้เท่านั้น ถ้าเรารู้ความจริงเช่นนี้ ความกลัวตายก็จะค่อย ๆ หมดไป
สำหรับวันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นวันแรกของการปฏิบัติกรรมฐานในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งช่วงนี้เหตุการณ์บ้านเมืองทั้งหลายก็ไม่ค่อยจะปกตินัก
มีญาติโยมสอบถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในบ้านในเมือง การสอบถามนั้น อยากจะบอกว่าจริง ๆ แล้ว ก็คือ กลัวว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับตนเอง หรือกับคนที่ตัวเองรัก ความที่กลัวจะเกิดเรื่องนั้น ขอให้เข้าใจว่าเป็นความกลัวตาย เพราะว่าถ้าอันตรายรุนแรงมากก็อาจจะถึงตาย ตัวเราหรือคนที่เรารักได้ตายไป เป็นต้น จึงกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ความกลัวทุกประเภท มีพื้นฐานมาจากการกลัวตายทั้งหมด
เหตุที่เรากลัวตายเพราะเรายังไม่รู้ว่าความตายที่แท้จริงนั้นคืออะไร ถ้าเรารู้จักความตายอย่างถ่องแท้ ความกลัวก็จะหมดไป
ความตายนั้น ที่จริงแล้วเป็นการเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามบาปที่เราสร้างมาเท่านั้น พูดง่าย ๆ ก็คือว่า การตายนั้น ตายแต่ร่างกาย แต่ใจนั้นไม่ได้ตายไปด้วย เมื่อถึงเวลาแล้ว บุญบาปที่เราทำอยู่ ก็ส่งให้ใจนั้นเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไป ไปยึดถือรูปอื่นขันธ์อื่น ตามกำลังบุญกำลังบาปของตน
ถ้าสร้างบาปไว้มาก ก็เป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ถ้าหากทำความดีไว้บ้าง ก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าหากดีกว่านั้นก็ได้เกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า ดีปานกลางก็เกิดเป็นพรหม ถ้าดีถึงที่สุดก็หลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายนั้นเป็นของเที่ยง คือ ชีวิตของเรานั้นจะตายเมื่อไรก็ไม่แน่ แต่ความตายนั้นต้องมาถึงแน่นอน พระองค์ตรัสไว้อีกว่า สัตว์โลกทั้งหลายเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น เพียงแต่ว่าระยะในการเกิดนั้นใช้ระยะเวลาประมาณสิบเดือน แต่เวลาจะตายนั้นใช้ระยะเวลาหลายสิบปี เราจึงคิดว่ามีการเกิดมากกว่าการตาย แต่ความจริงแล้วมีเท่ากัน เกิดมาในที่สุดก็ต้องตายกันทุกคน
ถ้าหากเรามีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ความตายไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เป็นธรรมดาของทุกคนที่จะต้องพบเห็น ความตายเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนสภาพของร่างกายที่เรายึดถือนี้เท่านั้น ถ้าเรารู้ความจริงเช่นนี้ ความกลัวตายก็จะค่อย ๆ หมดไป