PDA

View Full Version : การพิจารณาอสุภะ ต้องพิจารณาให้ครบวงจร


ลัก...ยิ้ม
10-03-2010, 15:31
การพิจารณาอสุภะ ต้องพิจารณาให้ครบวงจร

เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ พ.ค. ๒๕๓๖ เพื่อนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมของผม ได้ยกเอาคำพูดของผมที่ว่า “เมื่อพิจารณาอสุภะแล้วก็ให้พิจารณากลับมาเป็นสุภะใหม่” มาพิจารณาหาเหตุผลเพื่อให้เกิดปัญญา ท่านบอกว่า ท่านพยายามดูร่างกายของตนเอง ซึ่งมันไม่มีส่วนไหนที่สวยงามนั้น ให้มันสวยงาม จะดูอย่างไรมันก็ไม่สวย หรือกลับมาสวยได้อีก นี่คือเรื่องที่เรา ๒ คนจะสนทนาธรรมกันในวันนี้ ผมขออนุญาตชี้แจง ความสำคัญในการสนทนาธรรมกันในวันนั้น ไว้เป็นข้อ ๆ ดังนี้

๑. เพื่อนผมท่านเข้าใจผิดในเจตนาของผม ที่ผมพูดเช่นนั้นผมหมายถึง การพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา มิใช่พิจารณาความสกปรกของร่างกาย ซึ่งถูกของท่านแล้ว ที่มองร่างกายส่วนไหน มันก็สกปรกทั้งสิ้น จะให้มันสะอาดนั้นก็เป็นไปไม่ได้

๒. ต้นเหตุ ที่ผมพูดธรรมประโยคนั้นออกไป ก็เพราะเธอเล่าว่า ก่อนจะกินข้าว ได้ปลงอาหารให้เป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา จนเห็นอาหารมันสกปรกไปหมด เลยกินอะไรไม่ค่อยลง ของบางชนิดเลยกินไม่ได้เลย เช่น เนื้อหมูเป็นต้น เพราะมันจะอาเจียน (คิดเหมือนพวกแขกที่อินเดีย ซึ่งไม่ยอมกินเนื้อหมู เพราะเห็นหมูมันมากินขี้ของตนเองทุกวัน)

๓. ผมให้ใช้ปัญญา คือ ธรรมหรือกรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ซึ่งเป็นอริยสัจอันเป็นปัญญาสูงสุดในพุทธศาสนา และมีแต่เฉพาะพุทธศาสนาเท่านั้น (กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ พระพุทธองค์ทรงรู้ถึงต้นเหตุแห่งกรรมนั้น และรู้วิธีดับกรรมนั้นด้วย)

ลัก...ยิ้ม
11-03-2010, 15:33
๔. เมื่อปลงหรือพิจารณาอาหารจนเป็นอสุภะ แล้วจิตเราไปยึดว่ามันเป็นอสุภะ ทุกข์ใจก็เกิดขึ้นตรงนั้น (เกิดอัตตาเป็นตัวตนขึ้นทันที) มีใครบ้างที่พิจารณาอาหารจนเห็นเป็นสิ่งปฏิกูล มีหนอนขึ้นเต็มไปหมด แล้วกินสิ่งเหล่านั้นเข้าไปได้ใหม่ ๆ จะเหมือนกันหมด คือ มีความรู้สึกรังเกียจ บางคนคลื่นไส้จะอาเจียน เพราะไม่พิจารณาต่อไปให้ครบวงจรว่า ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีวงจร หรือมีวัฏฏะของมันทั้งสิ้น (สสารไม่มีวันสูญหายไปจากโลก วัตถุธาตุใด ๆ ในโลกล้วนประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป วนเวียนกันอยู่อย่างนี้แหละ ไม่สูญหายไปไหนหรอก)

๕. ให้ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า โดยธรรมชาติหรือธรรมดา ทุกสิ่งในโลกนี้ มันก็วนเวียนเป็นวัฏฏะของมันอยู่อย่างนี้แหละ หมูกินขี้คน ขี้เป็นอาหารของหมู หมูมันชอบมาก แต่เมื่อเข้าท้องหมูแล้ว อาหารนั้นก็เคลื่อนหรือเปลี่ยนสภาวะไปตามลำดับ เครื่องจักรของหมูสามารถเปลี่ยนขี้คน หรือสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย ให้กลายเป็นเนื้อหมู คือเปลี่ยนจากสภาวะหนึ่งมาสู่อีกสภาวะหนึ่งอย่างอัศจรรย์ แต่ผู้ที่รู้ความจริงแล้ว ก็ไม่อัศจรรย์เห็นเป็นของธรรมดาหมด

๖. หากดึงโลกมาหาธรรมด้วยปัญญาทางพุทธ ท่านให้มองทุกสิ่งในโลก เป็นสภาวะธรรมหรือกรรมหมด ผมขอไม่อธิบายรายละเอียด เพราะธรรมในพุทธศาสนานั้นเป็นปัจจัตตัง ปฏิบัติถึงแล้วจะรู้ได้ด้วยจิตของตนเอง เฉพาะตนของใครก็ของมัน และที่สุดของโลกก็ไม่เหลืออะไร เพราะโลกทั้งโลก แม้เทวโลกและพรหมโลกก็ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ผมขอสรุปว่า พระพุทธองค์ทรงให้ยึดตัวปัจจุบันเป็นหลักสำคัญ (ธรรมของตถาคตจริงในปัจจุบันเท่านั้น) เวลาเรากินอาหารในปัจจุบัน เรากินเนื้อหมูมิได้กินขี้หมู มันเป็นคนละสภาวะกัน อย่าเอาอดีตธรรมมาเป็นปัจจุบันธรรม

ลัก...ยิ้ม
12-03-2010, 11:55
๗. เพราะอุปาทานของจิตเราเป็นเหตุ จึงต้องแก้ที่อารมณ์จิตของเรา โดยใช้อริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา เมื่อเราปลงอาหารให้เป็นอสุภะได้ เราก็ปลงอาหารนั้นให้เป็นสุภะได้เช่นกัน ด้วยปัญญาทางพุทธ และจบลงที่ตัวธรรมดาให้ได้ มิฉะนั้นเราก็ต้องเป็นโรคเบื่ออาหาร ผอมลง ๆ หัวโต ตัวผอมเหมือนกุ้งแห้ง จิตก็เศร้าหมอง หากตายในขณะนั้น ก็มีทุคติเป็นที่ไป เป็นการเบียดเบียนจิตตนเอง แล้วมีผลทำให้ไปเบียดเบียนผู้อื่น คือ ร่างกายที่เราหรือจิตมาอาศัยอยู่ชั่วคราวด้วย ขาดเมตตากรุณา หรือพรหมวิหาร ๔ ผมขออธิบายสั้น ๆ แค่นี้

ลัก...ยิ้ม
12-03-2010, 11:56
ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ (เล่ม ๔)
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน