PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๓


เถรี
09-03-2010, 13:09
ถาม : เวลาภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญา เมื่อจิตนิ่งมากแล้ว รู้สึกอึดอัดข้างในมากเหมือนจะระเบิด ไม่ยอมคลายสักที หนูไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยเปลี่ยนอิริยาบถ เพื่อให้คลายออกไป หนูติดอยู่ตรงนี้ค่ะ ไม่ผ่านตรงนี้เสียที

ตอบ : เลิกกลัวตายเสียก่อนแล้วจะผ่าน ถ้ายังกลัวตายอยู่ก็ไม่ผ่าน

เถรี
09-03-2010, 13:15
ในขณะที่โยมท่านหนึ่งกำลังสั่งสอนลูกหลานตัวเองอยู่ พระอาจารย์ท่านเมตตาบอกว่า "ถ้าโยมยังไม่เปลี่ยนวิธีการ ชาตินี้สอนเด็กไม่ได้หรอก

การสอนเด็กมีอยู่สองอย่าง อย่างแรก คือ ชี้ให้เขาเห็นโทษแล้วเขาจะเลิกทำ อย่างที่สองก็คือ ชี้ให้เขาเห็นประโยชน์ จูงใจให้เขาอยากทำ

โยมจะเอาให้เด็กเขาทำตามใจเราอย่างเดียว เป็นวิธีการแข็งขืน ซึ่งเด็กเขาไม่ชอบ เพราะฉะนั้นทำไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะยิ่งทำ..เด็กก็ยิ่งดื้อ เราใช้ผิดวิธีการ ที่เรากำลังพูดอยู่เป็นวิธีที่เด็กเขาไม่ชอบที่สุด "

ถาม : อีกสองวัน เขาก็ไปโรงเรียนแล้วครับ ทางโรงเรียนเขาจะอบรม
ตอบ : เขาไปดีที่โรงเรียน กลับมาก็จะเสียเพราะเรา..!

จำไว้ว่า..ความหวังดีเกินไปของเรา อาตมาเคยใช้คำว่า หวังดีแต่ประสงค์ร้าย เด็กเขาไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตเท่ากับเรา เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาทำเป็นอย่างไร ? เราต้องค่อย ๆ ชี้แจงให้เขา ไม่ใช่ไปบังคับว่า ต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้

ถาม : พ่อแม่เขาบังคับ ผมเป็นแค่อา
ตอบ : ถ้าอาขนาดนี้ ยืนยันได้เลยว่าพ่อแม่แย่กว่านี้เยอะ..! ในเมื่อเป็นอย่างนั้นไม่ต้องไปหวังหรอก โรงเรียนก็เอาไม่อยู่ เพราะกลับบ้านมาก็เละใหม่..!

เถรี
09-03-2010, 13:22
"สมัยนี้น่าสงสารมาก พ่อแม่ยังคิดว่าลูกเป็นดินน้ำมัน จะปั้นให้เป็นอะไรก็ได้ ซึ่งไม่มีทางจะเป็นไปได้ เพราะว่าใจคนไม่เหมือนกัน

อ่านประวัติศาสตร์จีนดูสิ กษัตริย์จีนท่านหนึ่ง พยายามจะช่วยเหลือประชาชนที่โดนอุทกภัยทุกปี เพราะตายกันปีหนึ่งไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร กษัตริย์ท่านนั้นก็พยายามจะสร้างเขื่อนกั้นน้ำ แต่ยิ่งสร้างเท่าไรอุทกภัยก็ยิ่งรุนแรง เพราะว่าพอไปกั้นน้ำเอาไว้ น้ำพอสะสมรวมตัวกันมากเข้า ถึงเวลาที่น้ำพังเขื่อนแล้วกลายเป็นหนักกว่าเดิม

คราวนี้มีคำล่ำลือว่า ที่ภูเขาเซียนมีถ้ำอยู่ ในถ้ำนั้นมีคัมภีร์วิเศษ ถ้าใครสามารถดั้นด้นไปถึง เปิดคัมภีร์ออกมา ถามอะไรก็จะได้คำตอบ กษัตริย์ท่านนั้นก็เลยพยายามไปจนถึง พอเปิดคัมภีร์ขึ้นมา ได้คำตอบก็รีบจัดการแก้ไข และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอุทกภัยที่เคยท่วมหนัก คนตายปีละมาก ๆ ก็กลายเป็นบรรเทาเบาบางลง เพราะว่าคำตอบที่ได้มา เขาบอกเอาไว้แค่บรรทัดเดียวว่า ไม่ใช่กั้นแต่ให้ระบาย เท่านั้นท่านก็สามารถที่จะเอาไปใช้งานได้เลย

เนื่องจากทุกวันนี้ที่ท่านพยายามไปขวางกั้นธรรมชาตินั้นผิดวิธี มีอยู่ทางเดียว คือทำอย่างไรที่จะให้น้ำไปให้เร็วสุดและคล่องที่สุด ดังนั้น..พระองค์จึงขุดคลองซอยให้ได้มากที่สุด และก็ประสบความสำเร็จขึ้นมา

ฉะนั้น...เรื่องของการขวางธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แม้แต่พระพุทธเจ้าสอนธรรมเขาท่านก็คล้อยตาม ไม่เคยขัดใคร ท่านบอกว่าของเขาดีอยู่แล้ว แต่วิธีที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ และก็ชี้แจงไปตามนั้น

คนเราพอรู้สึกว่าตัวเองทำดีอยู่แล้ว ทำถูกอยู่แล้ว พอรู้สึกว่าของเรายังมีดีอยู่ ก็จะไม่คัดค้าน เปิดใจรับฟังได้ แต่ถ้าไปบอกว่าไม่ดี เราพูดอะไรเขาไม่ฟังหรอก ฉะนั้น..ก็ลักษณะเดียวกัน เรื่องของการสอนเด็กเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก เด็กจะดีจะเสียอยู่ที่พ่อแม่เลย ขอร้องไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าไม่มั่นใจว่าสอนเด็กให้ดีได้ อย่าแต่งงานเลย จะกลายเป็นว่าสร้างปัญหาให้กับสังคมทีหลัง"

เถรี
09-03-2010, 13:24
ถาม : ถ้าให้เด็กเขาเรียนดนตรี เพื่อฝึกสมาธิ ?
ตอบ : ให้เขาชอบเอง เราอย่าไปบังคับ เราอาจจะนำเขาไปฟังคนที่เล่นดนตรีเก่ง ๆ ก่อน แล้วถามเขาว่าอยากเป็นอย่างนั้นไหม ? หรือไม่ก็ถามเขาว่าสนใจไหม ? อยากจะทำอย่างนั้นได้บ้างไหม ?

ถ้าเขาให้ความสนใจเอง เราก็ค่อย ๆ ให้ ไม่ใช่อยู่ ๆ พาไปเรียน เหมือนกับคนที่ชอบขุดดินฟันหญ้า แล้วเราพาไปเย็บปักถักร้อย เดี๋ยวก็คลั่งตาย..!

เถรี
09-03-2010, 13:30
ถาม : ลูกเขาอยากเป็นแบบธาราทิพย์ (นักยิมนาสติกทีมชาติ) แต่จะไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เพราะลูกตัวใหญ่ หนัก หุ่นหนา
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้าถูกครูฝึกเขาติ เดี๋ยวเขาก็พยายามที่จะลดหุ่นเอง

ถาม : เขาชอบกินขนม พวกพิซซ่า
ตอบ : ชี้ให้ลูกเขารู้ ว่าที่เขากินนั้นมีโทษอย่างไร ? ไปขัดขวางในสิ่งที่เขาต้องการอย่างไร ? เช่น ถ้าหากหนูทำอย่างนี้ หนูไม่มีทางที่จะเป็นธาราทิพย์ได้ เพราะว่าพอเราอ้วนแล้วจะยกขาไม่ไหว เป็นต้น

บอกแล้วว่ามีอยู่สองอย่าง ก็คือ เห็นโทษอย่างหนึ่ง และเห็นประโยชน์อย่างหนึ่ง เห็นโทษแล้วเขาจะหลีกหนีเอง ถ้าเห็นประโยชน์เขาจะทำเอง หลักการมีง่าย ๆ แค่นี้

ถาม : แต่ต้องพูดมากนะคะ
ตอบ : อย่าลืมว่าเขาเป็นเด็ก เด็กเขาความจำสั้น จึงต้องจ้ำจี้จ้ำไช อย่างที่โบราณเขาบอกว่า ต้องปากเปียกปากแฉะ

ถาม : หนูไม่คิดเลยว่าตัวเองต้องพูดมากอย่างนี้ หนูเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่เขาพูดมากกับเรา
ตอบ : บอกแล้วว่าอะไรที่เคยเจอมาตอนสมัยเป็นลูก ถ้าได้เป็นแม่คนเมื่อไรแล้วจะรู้ ถ้าไม่เป็นพ่อเป็นแม่ไม่รู้หรอก ว่าทำไมท่านทำอย่างนั้น

เถรี
09-03-2010, 13:33
ถาม : บอกเด็กเขา บางทีเขาก็ไม่ฟัง
ตอบ : เด็ก ๆ เขามีตัวกูของกูของเขาอยู่ ผู้ใหญ่ก็มีตัวกูของกูเป็นของตัวเอง เขาจะรู้จักรักหน้า คือ กิเลสจะสอนให้เขารู้ตั้งแต่วินาทีแรกเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าเขาทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ต้อง ถ้าเป็นไปได้ก็คือ สอนเขาแค่สองคน อย่าไปพูดในลักษณะประจานความผิดต่อหน้าคนอื่น เด็กเขาจะรับไม่ได้ เรื่องพวกนี้ฝังรากลึกข้ามชาติข้ามภพ

เขาบอกว่า อย่าตำหนิต่อหน้า ให้ชมต่อหน้า แต่ถ้าด่าต้องลับหลังบุคคลที่สาม เขาจะได้ภูมิใจว่าที่เขาทำดีแล้ว..ถูกแล้ว ให้ชมต่อหน้าแต่ว่าด่าลับหลัง อย่างน้อย ๆ ก็ไม่มีคนมาร่วมเห็นการเสียฟอร์มของเขา ถ้าอย่างนั้นเด็กจะพอรับได้

เถรี
09-03-2010, 13:35
ถาม : เขาบอกว่า ลูกคนเดียวจะมีปัญหา เพราะไม่มีเพื่อนคุย
ตอบ : ไม่มีหรอก เพราะแม่สามารถเป็นเพื่อนลูกได้ เพียงแต่ว่าแม่จะยอมเป็นเพื่อนลูกไหม ? ส่วนใหญ่แม่มักจะเป็นแม่ และแม่ที่เป็นครูมักแย่ที่สุดเลย เพราะความเคยชินที่ปากเปียกปากแฉะกับเด็กมาจากโรงเรียน พอกลับบ้านมา แทนที่จะเป็นแม่ก็ดันเป็นครูอีก เด็กจะเบื่อสุด ๆ เลย

ถาม : บางคนเขาบอกว่า พอมีลูกคนเดียว โตขึ้นมาเขาจะต้องมาดูแลพ่อแม่สองคน เขาดูแลไม่ไหว
ตอบ : นั่นฟุ้งซ่านเกิน พ่อแม่อาจจะตายเสียก่อน ไม่ต้องให้เขาดูแลก็ได้

เถรี
09-03-2010, 13:43
ถาม : ลูกไม่ยอมทานข้าว
ตอบ : ก็ปล่อย ถ้าหิวแล้วเขาจะกินเอง ส่วนใหญ่พวกเราไม่ยอมปล่อยให้ลูกอด ไปยัดให้เขาทั้งวัน แล้วเขาจะกินอะไรไหว

เด็กที่เขาดื้อไม่ยอมทำตามที่เราต้องการ จริง ๆ กำลังใจลึก ๆ ของเขาก็คือ พอเขาไม่ทำแล้ว เราต้องไปง้อเขา เขาจะรู้สึกดี เพราะฉะนั้น..ปล่อยให้เขาอดเสียให้เข็ด อย่างเก่งก็ครึ่งวัน เดี๋ยวก็ตะกายมากินเอง

"ได้เวลาจะกินหรือไม่กิน ถ้าไม่กินก็อดไปเลย" หลังจากนั้นอีกสี่ชั่วโมง ค่อยเอามาให้ ถ้ารู้จักให้เขากินตามเวลา เขาจะจำ ต่อไปเขาจะรู้ว่า ถ้าไม่กินแล้วเขาจะอด

ถาม : แม่พอทำใจได้ แต่พ่อเขาคงทำใจไม่ได้
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นก็เลี้ยงลูกให้เป็นบรรพบุรุษน้อย ๆ ไปก็แล้วกัน ถึงเวลาก็จะสั่งสอนเขาไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าจะจัดการกับพ่อแม่อย่างไร โบราณเขาบอกว่า รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี มือหนึ่งต้องถือขนม มือหนึ่งถือไม้เรียว

ถาม : ถ้าเด็กไม่อึมาสี่วัน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ? ปกติเขาอึทุกวัน แต่พอพี่เลี้ยงกลับไปแต่งงาน เขาไม่อึมาสี่วัน
ตอบ : อ๋อ...เป็นเพราะเครียด วิธีที่ดีที่สุด คือ หายาถ่ายขม ๆ มาให้กิน บอกว่าถ้าหากไม่อึอีก ก็จะโดนอย่างนี้ เขาจะหายเครียดทันทีเลย ยาดี ๆ ก็มีให้กิน แต่อย่าไปเอา เอาที่มันขม ๆ บีบจมูกให้กินไปเลย บอกว่าเพราะไม่อึก็เลยต้องกิน เดี๋ยวเขาก็วิ่งไปส้วมเอง

เถรี
09-03-2010, 13:46
ถาม : เขาไม่ค่อยกินอะไร
ตอบ : ไม่ให้กินเสียอย่าง เดี๋ยวก็วิ่งมากินเอง ปล่อยเอาไว้ เดี๋ยวเขาก็ร้อง รอบแรกเขาร้องผ่านไปเราก็เฉย ๆ ร้องจนเพลียหลับไป รอบที่สองร้องใหม่อีก ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ พอรอบที่สามแล้วค่อยถามว่าจะกินใช่ไหม ? หลังจากนั้นเดี๋ยวเขาวิ่งเข้าใส่อาหารเอง

อาตมาเลี้ยงลูกไม่ได้ คนอื่นเขาเห็นอาตมาเลี้ยงหลานแล้วจะหัวใจวายตาย แต่หลานแต่ละคนที่อาตมาเลี้ยง ถ้าหลุดจากมือเราไปแล้ว รับรองได้ว่าเข้าสู่ยุทธจักรได้ ไม่ตายแน่ คนสุดท้ายที่เลี้ยง น่าจะเป็นลูกของพี่อรวรรณ คนนี้เราต้องปั่นจักรยานทีละหลายกิโล อุ้มเขาไปด้วย เพราะว่าอาตมาสามารถขี่จักรยานโดยไม่ต้องจับแฮนด์ได้ ก็เลยอุ้มหลานไปด้วย ปั่นไปด้วย

อาจจะเป็นเพราะเลี้ยงหลานเยอะเกินไป ก็เลยหมดอารมณ์กับพวกวานรน้อย แต่ก็แปลกนะ..ช่วงพรรษาที่ ๕ - ๖ เห็นเด็กน่ารักทุกคนเลย ไม่ว่าลูกเต้าใครมา เห็นแล้วน่ารัก อยากได้ไปหมด ก็เลยมาคิดว่า นี่ถ้าไม่ได้บวช ต้องมีลูกแน่ ๆ เลย เพราะว่าอยากได้ แสดงว่าอารมณ์พวกนี้มาเป็นพัก ๆ เหมือนกัน

เถรี
10-03-2010, 14:53
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า เมื่อเช้าของวันศุกร์ท่านตื่นขึ้นมา แล้วเดินเซ เลือดไม่พอเลี้ยงสมอง เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ ท่านกล่าวถึงเรื่องของมารว่า "มารเขาทดสอบเราอยู่ตลอดเวลา เขาใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือ

วันพุธมีเรียนช่วงเช้า กะว่าตอนบ่ายจะได้พักผ่อนสักครึ่งวัน ปรากฏว่าโยมเขามีปัญหา เขาก็เลยต้องพาเราตะลอน ๆ ไปถึงวัดท่าขนุน เวลาพักผ่อนก็หายไป ไปถึงวัดท่าขนุนจัดการแก้ปัญหาให้เขาเสร็จเรียบร้อย ก็ว่าจะพักผ่อน พอนอนลงเท่านั้นแหละ หมาเห่ากันสนั่นหวั่นไหวไปหมด เราก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ลุกขึ้นมาดู ปรากฏว่าแม่ชีเขาจะมาจัดสวนให้ ตรงตึกแดง

ปกติแล้วเวลาแม่ชีไปไหน บรรดาหมาจะแห่ตามประมาณ ๑๐ ตัวขึ้นไป ทีนี้พอหมาไปข้ามเขตแดนของหมาตัวอื่นเข้า หมาทางด้านตึกประจวบดีและตึกเตชะไพบูลย์ก็ไปลุยกับเขา พอแม่ชีเขาเห็นอาตมา "อ้าว..หลวงพ่ออยู่หรือ ?" เขาก็ตัดสินใจกลับ ไม่จัดสวนแล้ว เราก็คิดว่า "เออ..จะได้นอนแล้ว"

พอนอนลงไป คราวนี้ไก่ตัวหนึ่งไข่ พวกนี้พอไข่แล้วต้องประกาศให้ตัวอื่นรู้ว่าไข่แล้ว ก็ร้องกระต๊ากขึ้นมา ไก่ที่เหลือประมาณ ๒๐๐ กว่าตัวก็ช่วยกันแห่ร้อง สนั่นไปหมด เราก็เปิดประตู "กูทำงานก็ได้วะ..!" เพราะรู้ว่าไม่ได้นอนแน่ ถึงนอนต่อเขาก็หาวิธีอื่นมาจัดการอีก

จนกระทั่งทำวัตรเย็นเสร็จ กะนอนตอนหัวค่ำ พอเสียงตามสายรอบสองทุ่มดังขึ้นก็นอน พอสี่ทุ่มก็สะดุ้งตื่น เสียงอะไรดังสนั่นหวั่นไหว ? ตอนแรกคิดว่ามีหนูอยู่ในห้อง พอเปิดไฟดู ก็เงียบ พอปิดไฟจะนอนต่อ เสียงก็ดังอีก คราวนี้เลยรีบลุกขึ้นมาตั้งใจฟัง ปรากฏว่าเสียงดังอยู่ข้างหลังตึก ไม่ได้ดังอยู่ในห้อง ก็เลยลุกไปเปิดหน้าต่างดู โดยไม่เปิดไฟ เลยเห็นพวกหมาวัยรุ่น ไปวิ่งไล่กันบนกองสังกะสี และอาตมาเป็นคนที่ตื่นแล้วจะไม่หลับอีก ก็แปลว่าได้นอนแค่สองชั่วโมง..!"

เถรี
10-03-2010, 15:02
"รุ่งเช้าบิณฑบาตเรียบร้อยก็โทรตรวจสอบถึงรถที่จะมารับ เขาบอกว่าเพิ่งจะถึงแคมป์หินตก ก็เหลือระยะเวลาอีกประมาณ ๑ ชั่วโมง เราก็คิดว่าคราวนี้ได้นอนแน่ ๆ

อากาศเช้านั้น ๑๗ องศา เราก็มุดเข้าใต้ผ้าห่มกำลังนอนสบาย โทรศัพท์ก็ดังกริ๊ง.... "หลวงพ่ออยู่ทางไหนคะ ? หนูจะเอาบัญชีมาคืน" พวกธนาคารเขาเอาบัญชีไปตั้งหลายวันไม่คืน ดันเอามาคืนตอนเรานอน เราก็คิดว่า "ก็ได้วะ" พอรับบัญชีจากเขาเสร็จ ไล่ตะเพิดไป ปิดประตูจะนอน

โยมมาอีกชุดหนึ่ง เขาจะมาลากลับ เราก็ต้องมุดจากผ้าห่มมาให้เขาลา อวยชัยให้พรเสร็จ มุดกลับเข้าไปนอนอีก โทรศัพท์กริ๊ง... "มาถึงแล้ว.." ไม่ได้นอนอีกตามเคย

เมื่อวานวิ่งมาก็ต้องมาคุมสอบต่อ คุมสอบจนกระทั่ง ๕ โมงเย็นจึงได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ มา และก็ไม่รู้ว่ารถติดอะไร กว่าจะมาถึงที่นี่ก็เกือบสองทุ่ม...

เราก็มานั่งคิดว่า "จะเจอเหมือนเดิมหรือเปล่า ?" เพราะว่าพอร้านก๋วยเตี๋ยวข้างล่างเลิกงาน เขาจะเล่นคาราโอเกะกัน เขาร้องเพลงกันข้างล่างนี่ พื้นสะเทือนเลยนะ...

ปรากฏว่าคาดผิด เพราะสงบกว่าที่คิด อาจจะเป็นเพราะว่าเราเตรียมรับไว้แล้ว กะจะแผ่เมตตาให้สุด ๆ เลย ดันไม่โผล่มาเลย ก็เลยหลับยาว แต่ร่างกายเราไม่พอ เพราะขาดทุนมาหลายวัน ลุกขึ้นมานี่เดินเซเลย รู้ว่าเลือดไม่เลี้ยงสมอง ก็มานั่งคิดว่าขนาดเรายังไม่คิดจะเว้นเลย ไหนคุยว่าพวกกัน

งานอะไรก็ตามที่เราทำเพื่อส่วนรวมโดยเฉพาะในส่วนของความดี เขายิ่งต้องขวางให้มากเป็นพิเศษ ก็เลยกลายเป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เจอเข้านี่อย่าเป๋นะ ถ้าไปเสียหลัก หลุดจากอารมณ์เฉพาะหน้าเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง จะเข้าได้ ทีนี้ยาวเลย นั่นเขาแค่แหย่ให้เราขุ่น พอเราขุ่นเขาก็สามารถที่จะจูงเราไปทางไหนก็ได้ ต้องระวังให้ดี ๆ นะ

ถ้าจู่ ๆ คุณลูกสุดที่รักงี่เง่าขึ้นมาเฉย ๆ จากนางฟ้าน้อย ๆ ก็กลายเป็นลูกปิศาจขึ้นมาเฉยเลย นั่นแหละ..วิธีทดสอบ มันสอบได้แสบมาก ๆ"

เถรี
10-03-2010, 15:06
พระอาจารย์เล่าให้ฟังถึงผลสอบปริญญาตรี ปรากฏว่าท่านได้ที่หนึ่งของเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ท่านจึงได้ถามต่อว่า "รู้ไหมว่าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เบอร์ ๒ คือใคร ?"

"คือหลวงอาแสงชัย คราวนี้เชื่อหรือยังว่าเขาแพ้เราอยู่คนเดียว เป็นคนที่เกิดผิดยุค เพราะดันมาเกิดรุ่นเดียวกัน ถ้าเขาไปเกิดยุคอื่น จะดังมากเลย ตั้งแต่เด็กเขาจะเรียนชนะคนอื่นหมด แต่แพ้เราอยู่คนเดียว ตอนมาเรียนปริญญาตรี เขาถามว่า "แล้วผมจะเรียนไหวไหม ?" ต้องบอกว่า "เอ็งจำไว้เลยว่า เอ็งแพ้ข้าคนเดียว..!"

เถรี
10-03-2010, 15:31
พระอาจารย์ถามว่า "พวกเราที่อ่านพระไตรปิฎกกันมาบ้าง ได้ฟังเนื้อหาเรื่องราวมาบ้าง ใครสามารถวิเคราะห์ได้บ้างว่า พระฉันนะ ท่านตัวใหญ่หรือตัวเล็ก ?"

ถาม : ตัวใหญ่
ตอบ : เนื่องจาก ?

ถาม : เนื่องจากพระฉันนะบอกว่า จะอุ้มม้ากัณฐกะและเจ้าชายสิทธัตถะข้ามกำแพงไป
ตอบ : อันนั้นก็มีส่วน ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ นายฉันนะมหาดเล็กตั้งใจว่า ถ้าประตูเมืองปิด เขาจะแบกม้ากัณฐกะพร้อมกับพระลูกเจ้ากระโดดข้ามกำแพงไป

ประการที่สองก็คือว่า หลังจากพุทธปรินิพพานแล้ว คณะสงฆ์ต้องไปแจ้งข่าวกับนายฉันนะว่า พระพุทธเจ้าสั่งลงพรหมทัณฑ์ พระอานนท์เป็นผู้ไปแจ้ง ยังต้องขอการอารักขาจากหมู่สงฆ์จึงกล้าไป

ประการที่สาม อันนี้วิเคราะห์จากสภาพแวดล้อมว่า นายฉันนะเป็นมหาดเล็กคนสนิท จะว่าไปก็คือองครักษ์ เขาต้องคัดประเภทสุดยอดมาเลย

ถาม : ตัวก็ต้องใหญ่มากนะคะ
ตอบ : ก็ต้องพิเศษหน่อย ประเภทคนอื่นเห็นแล้วต้องคิดไว้ก่อนว่า ถ้าลงมือแล้วจะคุ้มไหม ?

พระฉันนะพอบวชเข้าไปแล้วไม่มีใครสอนท่านได้ ครูบาอาจารย์ท่านไหนว่า พระฉันนะไม่ฟังทั้งนั้น ท่านใช้คำพูดที่ถอดออกมาเป็นไทยว่า "พระลูกเจ้ายังไม่กล้าว่าอะไรผม แล้วท่านเป็นใคร" ก็เลยกลายเป็นตัวป่วนอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ก็ตรัสกับพระอานนท์ว่า ให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์กับฉันนะ พระอานนท์ก็ถามว่า "พรหมทัณฑ์ลงอย่างไร ?" ท่านบอกว่า "ไม่ร่วมกิน ไม่ร่วมนอน ไม่ร่วมสังฆกรรม ไม่พูดคุยด้วย"

เถรี
11-03-2010, 13:58
ถาม : โลกธรรมที่กล่าวไม่จริง ทำไมนักปฏิบัติจึงไม่ต้องไปแก้ตัว ?
ตอบ : ถ้ายังโง่ไปสนใจอยู่และไปแก้ตัว แสดงว่ายังปล่อยวางไม่ได้..!

เถรี
11-03-2010, 14:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราจริง ๆ แล้วมีปัญญา เพียงแต่ว่าใช้ปัญญาในทางที่ถูกหรือเปล่า ถ้าใช้ปัญญาในทางสัมมาทิฏฐิ ก็ปฏิบัติในเรื่องที่ช่วยเสริมให้กาย วาจา ใจ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าเป็นปัญญาของมิจฉาทิฏฐิ ก็จะปฏิบัติในสิ่งที่ทำให้กาย วาจา ใจ ของตัวเองเสื่อมลงเรื่อย ๆ"

เถรี
12-03-2010, 12:23
ถาม : การฝึกมโนมยิทธิกับการจินตนาการเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไรคะ?
ตอบ : การจินตนาการเราคิดอย่างไรก็ได้ การฝึกมโนมยิทธิต้องใช้กำลังของสมาธิ ต่างกันไหมละจ๊ะ? ไม่มีสมาธิไปไม่รอดหรอก

เถรี
12-03-2010, 12:25
พระอาจารย์ท่านเล่าว่าในเรื่องการสอบนั้น ถ้าคนอื่นเขาจะลุ้นว่าสอบผ่านหรือไม่ แต่สำหรับพระอาจารย์แล้วท่านจะลุ้นว่าได้ที่หนึ่งหรือไม่

ท่านกล่าวว่า "สิ่งนี้ต้องบอกว่าเกิดจากสัญญาเดิมของตัวเอง สัญญาเดิมที่เราตั้งความปรารถนาในพระโพธิญาณมาก่อน ในเมื่อตั้งความปรารถนาในพระโพธิญาณมา ก็คือเจตนาที่จะเป็นครูสอนคนอื่นต่อ เพราะฉะนั้นเรียนเรื่องอะไรก็ต้องรู้ให้จริง พร้อมที่จะไปสอนคนอื่นเขา ถ้ายังไม่รู้จริงก็ยังไม่เลิกค้น เลยกลายเป็นนิสัยว่า ถึงเวลาแล้วไม่ว่าเรียนวิชาอะไรก็ตาม ต้องรู้ขนาดสอนเพื่อนได้

เพราะฉะนั้น..ในส่วนของพื้นฐานเดิมช่วยได้เยอะ เพราะว่าพื้นฐานเดิมที่ปรารถนาพระโพธิญาณมา ทำให้อยากจะรู้จริงในทุกเรื่อง รู้แล้วต้องเอาไปสอนคนอื่นเขาได้ในฐานะที่เป็นครู เรียนอะไรต้องให้รู้เป็นครูเขา ถ้ายังเป็นครูเขาไม่ได้ อย่าเพิ่งเริ่ม"

เถรี
14-03-2010, 11:13
ถาม : เวลาหนูไปอยู่คนเดียว อยู่ห่างไกลครูบาอาจารย์ จะมีวิธีไหนที่จะรู้ตัวว่ายังเดินถูกต้องตามอริยมรรค อริยผล ไม่ออกนอกทาง ?

ตอบ : เอาศีลเป็นเครื่องวัด ถ้าตราบใดที่ยังไม่ละเมิดศีลก็ยังไม่ออกนอกทาง

เถรี
14-03-2010, 12:18
ถาม : ปลาอานนท์มีจริง ๆ ไหมคะ ? อยู่ใต้โลกเราจริง ๆ ไหมคะ ?
ตอบ : พวกนี้เขาอยู่กึ่งทิพย์ ไปดูในปหาราทสูตร ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ในพระธรรมวินัยนี้ ประกอบไปด้วยบุคคลที่เป็นใหญ่ คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เหมือนในท้องทะเลที่ประกอบไปด้วยปลาใหญ่ ๆ อย่างเช่น ปลาติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ มีอสูร มีนาค มีคนธรรพ์ เป็นต้น

ถ้าหากว่าไม่มี พระพุทธเจ้าท่านคงไม่เอ่ยถึง เพียงแต่เราต้องเข้าใจว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเอ่ยถึง บางอย่างเขาอยู่ในสภาพกึ่งทิพย์ ไม่ใช่คนทั่ว ๆ ไปจะเจอได้

เถรี
14-03-2010, 12:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในงานเป่ายันต์ ใครทำบุญทั่วไปแจกพระปิดตาฯ เนื้อผง ถ้าใครทำบุญ ๕๐๐ บาทขึ้นไป แจกพระปิดตาฯ เนื้อชุบทองพ่นทราย"

เถรี
14-03-2010, 12:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๔๐ ศอก ยังไม่ทันจะปิดโครงการเลย งานสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๕๐ ศอก โผล่ขึ้นมาแล้ว เขาวางศิลาฤกษ์วันที่ ๑๘ เมษายน ที่วัดพระพุทธบาทเขาน้อย จ.กาญจนบุรี

รอกฐินปลดหนี้สมเด็จองค์ปฐม ๔๐ ศอก เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วจึงจะปิดโครงการ ไปเปิดโครงการสมเด็จองค์ปฐม ๕๐ ศอกต่อ ถึงเวลานั้นแล้วค่อยทำบุญ

เราเองไม่ชอบเปิดศึกหลายด้าน เพราะเปลืองกำลังพล เปิดศึกหลายด้านต้องกระจายกำลังพลออกไป อาจจะมีรบแพ้ในบางที่ เพราะฉะนั้น..เอาทีละด้าน ทุ่มไปเลยที่เดียว"

เถรี
14-03-2010, 14:33
พระอาจารย์กล่าวถึง การเปิดตำราดูดวงว่า "การเปิดตำราดูดวงนั้น จะให้จำได้แม่นยำ ต้องอ่านทุกวัน อ่านจนจำได้หมด ประเภทเปิดไพ่ออกมาแล้วบอกความหมายได้เลย หลังจากนั้นค่อยไปหัดดูให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นถ้าไปดูให้คนอื่นเขา ประเภทดูไปเปิดตำราไป จะไม่ขลัง ถ้าจะเปิดตำราดูแล้วขลัง ต้องเป็นพระระดับหลวงปู่หลวงตา เพราะว่าท่านเปิดตำราเพื่อบังตัวเอง

กำนันเถาไปซื้อไม้ที่ปากน้ำโพ หายออกจากบ้านไปเป็นเดือน เมียก็ไปกราบหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ให้ช่วยดูให้หน่อยว่า "พี่เถาแกหายไปเป็นเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ?"

หลวงปู่จงก็เปิดตำรา "สิทธิการิยะ พระท่านว่า ขณะนี้กำนันเถาเอาเรือมาจอดหน้าบ้านแล้ว" ว่าจบก็ปิดตำรา หลวงปู่เอากระดาษคั่นหน้าไว้เลยนะ หลวงพ่อท่านก็เล็งไว้

พอหลวงปู่เผลอท่านก็คว้าตำรามาเปิดดู "มีที่ไหนวะ ตำรานาคสมพงษ์ หลวงปู่ดูคู่ให้ใครก็ไม่รู้ ?" หลวงพ่อท่านอยากรู้จริง ๆ ว่าตำราไหนที่บอกได้กระทั่งชื่อคน พอไปถามทีหลัง หลวงปู่ท่านก็บอกว่า พูดไปส่งเดชอย่างนั้นแหละ ปรากฏว่าเมียกำนันเถากลับบ้านไป เจอผัวก็เลยหน้าบาน รุ่งเช้าหิ้วปิ่นโตมาถวาย

เพราะฉะนั้น..ถ้าพระแก่ ๆ เปิดตำราได้ เปิดแล้วแม่น ถ้าพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ เปิดตำราแล้วไม่ขลัง"

เถรี
14-03-2010, 14:46
พระอาจารย์บอกว่า "คนรุ่นใหม่ใจร้อน อะไรที่ยาว ๆ แล้วข้อมูลมามาก ๆ ไม่ค่อยอ่านกันหรอก อย่างเก่งก็แค่กวาดตาผ่านไปทีหนึ่ง หรือไม่บางคนหนักกว่านั้นอีก เห็นหัวเรื่องแล้วไม่สนใจ ก็ข้ามไปเลย คลิกเข้าไปดูสักหน่อยยังไม่ทำเลย"

เถรี
14-03-2010, 15:06
ถาม : ที่หลวงพ่อบอกให้หนูไปดูเรื่องศีล หนูจะมั่นใจตัวเองได้อย่างไรว่าศีลบริสุทธิ์ ?

ตอบ : ไม่ต้องมั่นใจก็ได้ รักษาให้ได้ก็พอ ถ้าสติไม่สมบูรณ์ โอกาสพลาดก็มีบ้าง รู้ตัวก็รีบแก้ไข

เถรี
14-03-2010, 15:16
ถาม : คนที่ฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว แล้วถ้าศีลบกพร่อง มโนฯ จะลดลงมา?

ตอบ : เวลาใช้มโนฯ ถ้าศีลบกพร่องก็จะมัว แต่ถ้าหากเราไม่คล่องตัวจริง ๆ จะใช้ไม่ได้เลย แต่ถ้าหากมีความคล่องตัวมาก ๆ แล้วศีลบกพร่อง ก็จะไม่ชัดเจน

เถรี
14-03-2010, 16:29
ถาม : อยากจะให้อุทิศให้กับพี่สะใภ้ เขามีนิสัยค่อนข้างแรง
ตอบ : คิดต่อเขาด้วยความเมตตา พูดกับเขาด้วยความเมตตา ทำกับเขาด้วยความเมตตา พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ได้ จะเป็นการยึดโยงบุคคลให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

นั่งแผ่เมตตาให้เขาไป คิดเสียว่าถ้าเขายังไม่รู้ดีรู้ชั่ว ก็ขอบารมีพระสงเคราะห์ให้เขารู้ตัวด้วย เมื่อเราเองรู้ตัวมากกว่า ก็แปลว่า เรายืนอยู่ในฐานะที่ควรจะช่วยเหลือเขา เขาเองก็ควรจะได้รับการช่วยเหลือจากเรา ถ้าหากคิดด้วยใจเมตตาต่อกัน ทุกอย่างก็จะดีขึ้น

เถรี
14-03-2010, 16:31
ถาม : ถ้าเมตตาแล้วยังเป็นลบอยู่ละครับ ?
ตอบ : ถ้าเมตตาจริง ๆ จะไม่ลบ ถ้าลบแปลว่าเมตตายังไม่จริง

ถาม : แม้แต่มาร ?
ตอบ : ใครก็ได้ ถ้าคุณเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย จริง ๆ จะไม่มีลบหรอก เพราะว่าเราไม่เห็นใครเป็นศัตรู

ถาม : ถ้าเมตตาแล้วยังทำร้ายอยู่ แสดงว่ากำลังเราไม่พอใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไปทำให้เยอะ ๆ ไว้ เดี๋ยวก็รู้เอง

เถรี
14-03-2010, 23:16
ถาม : หนูเลี้ยงกุมารนี่จะดีไหม?
ตอบ : ก็เลี้ยงไปสิ ดีกว่าอยู่ว่าง ๆ ตั้งเยอะ

ถาม : หนูเอามาด้วย ดีไหมคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับเรา หมั่นปฏิบัติตามแบบที่เขาบอกมา ถ้าหากหมั่นทำเสมอ ก็จะเกิดผลดีแก่เรา ถ้าหากว่าขาดความสม่ำเสมอ บางทีก็ไม่ค่อยจะดี ฉะนั้น..อยู่ที่เรา เขาบอกว่าต้องเลี้ยงวิธีไหน ต้องอาราธนาอย่างไร ก็ทำตามนั้น

ถาม : แล้วอันนี้ดีไหมคะ ? เขาให้มาค่ะ
ตอบ : วัตถุมงคลมีพลังงานส่งเป็นปกติ สำคัญตรงใจเรา ถ้าใจเรายึดมั่น กำลังก็จะสูง ถ้าใจเราไม่ยึดมั่น ขาดความมั่นใจ กำลังก็จะต่ำ
เพราะฉะนั้น..อยู่ที่ตัวเราครึ่งหนึ่ง เครื่องส่งก็ส่งไป สำคัญตรงเครื่องรับ ว่าเปิดรับหรือไม่

วิธีที่เปิดรับที่ดีที่สุด ก็ต้องประกอบด้วยศรัทธา ถ้าไม่ศรัทธา ไม่เชื่อมั่น ก็กลายเป็นว่าขลังสู้คนอื่นเขาไม่ได้ ถ้ามีความศรัทธามาก มีความเชื่อมั่นมาก กำลังใจของเราเปิดมาก ก็ได้ผลเยอะ

เถรี
15-03-2010, 00:30
ถาม : ทุกเวลาที่มีสติ จะนึกจับภาพพระตลอด และตอนเช้าจะมีการอาราธนาขอยันต์เกราะเพชรตามที่หลวงพ่อแนะนำ ระหว่างวัน จังหวะที่เราออกไปพบเพื่อนฝูง โดนของ..
ตอบ : ถ้าอาราธนาแล้วตอนเช้า รับประกันได้ทุกครั้งว่าปลอดภัย

ถาม : ในทุกครั้งที่เราเผลอ ก็ไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้าหากจะเอาแน่ ๆ ก็อาราธนาเช้าเย็นเลย ถึงเวลาก่อนนอนก็อาราธนาอีกรอบหนึ่ง กันพวกเล่นกลางคืน

ถาม : โดยปกติเวลาเราคุยกับเพื่อน ก็ไม่คิดว่าจะโดนทำของอะไรทั้งสิ้น
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก ถ้าอย่างนั้นใครทำก็ซวยเอง

ถาม : ก็คือ เราไม่ต้องกังวลสิ่งใดนะเจ้าคะ
ตอบ : กังวลอย่างเดียว อย่าให้แรง เดี๋ยวเขาตายเสียก่อน ถ้าเขาคิดจะทำเราหนัก เขาก็รับหนักเหมือนกัน

เถรี
15-03-2010, 20:56
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "อชครังคเปรต เป็นเปรตประเภทหนึ่ง เปรตพวกนี้จะอยู่ในร่างสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเป็นพวกที่บุญกุศลส่งเสริมอยู่ พยายามถือศีลปฏิบัติภาวนา บางทีเขาก็สามารถจะกลายร่างเป็นคนได้ คราวนี้ถ้าหากว่าฉุกเฉิน สภาพความเป็นสัตว์ก็จะปรากฏ ก็จะเหมือนกับพวกจิ้งจอกในนิยายจีน ที่แปลงร่างเป็นสาว ถ้าเผลอแล้วหางจะโผล่ ต้องคอยเอียง ๆ บัง ๆ ไม่ให้พระเอกเห็น

เช่นเดียวกับพญานาค พญานาคแปลงเป็นคนได้ก็จริง แต่ในวาระสำคัญ ๆ อย่างเช่นว่า อยู่ในเขตของเขาอย่างหนึ่ง เวลาผสมพันธุ์อย่างหนึ่ง เวลาเผลอสติ หลับไปอย่างหนึ่ง จะกลายสภาพกลับไปเป็นร่างเดิม

อย่างกรณีที่มีนาคท่านหนึ่งเข้ามาบวช เพื่อนพระเห็นก็ตกใจ เพราะตอนหลับท่านกลายเป็นงูตัวใหญ่เต็มกุฏิเลย จนกระทั่งพระพุทธเจ้าต้องสั่งห้ามบวช เนื่องจากเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีโอกาสได้มรรคผล"

เถรี
16-03-2010, 00:50
ถาม : ถ้าสร้างพระในที่กลางแจ้ง บุญกับบาปอันไหนเยอะกว่ากัน?
ตอบ : บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาปจ้ะ ถึงเวลาก็ไปรับผลบุญ ถ้าหากพลาดก็ไปรับบาปก่อน

ถาม : แล้วอย่างนี้ถ้ามีคนมาบอกบุญ ให้ช่วยร่วมสร้างพระกลางแจ้ง เราควรจะร่วมบุญด้วยไหม?
ตอบ : ทำไว้ก่อน อะไรที่เป็นบุญทำไว้ก่อน เพราะเราไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างท่านให้ตากแดดอยู่แล้ว คนสร้างเขาทำก็ปล่อยเขาไป

เรื่องนี้ต้องถามอาจารย์เต้ (พระครูประทีปกาญจนธรรม) ท่านเห็นอาจารย์วิโรจน์ (พระครูไพโรจน์ภัทรคุณ) สร้างพระหน้าตัก ๑๐ ศอกบ้าง ๔๐ ศอกบ้าง พออาจารย์เต้คิดจะสร้างบ้าง คืนนั้นก็ฝันเห็นโยมแก่ ๆ ถือไม้เท้า นุ่งขาวห่มขาวเดินมา บอกว่า "อย่าเอาพ่อเรามาตากแดดตากฝนเป็นอันขาด" เห็นอย่างนั้นมาสามคืนติดกัน ท่านก็เลยเลิกคิดที่จะสร้างเลย

พอท่านมาปรารภ ก็เลยบอกท่านไปว่า "คุณคิดถูก" เพราะฉะนั้น..ของอาตมาที่จะสร้างพระชำหนี้สงฆ์ก็แปลว่าต้องสร้างอาคารเสร็จก่อนแล้วจึงค่อยสร้างพระ

เถรี
16-03-2010, 17:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๔๐ ศอก จะปิดงานให้ได้ภายในกฐินปีนี้ เพราะว่ากฐินปีนี้จัดเป็นกฐินปลดหนี้สมเด็จองค์ปฐม ๔๐ ศอก ปรากฏว่า ๔๐ ศอกไม่ทันจะเสร็จเรียบร้อย เขาขอให้เป็นประธานช่วยสร้าง ๕๐ ศอกอีกองค์แล้ว แต่อย่าเพิ่งทำบุญมา รอให้ปิดบัญชีของ ๔๐ ศอก แล้วจะเปิดใหม่เป็น ๕๐ ศอกแทน ถึงเวลาจะประกาศบอกให้ทราบ

งานนี้สร้างที่วัดพระพุทธบาทเขาน้อย ที่ตัวเมืองกาญจนบุรี วัดนี้เขาดีตรงที่ว่ามีหน้าผาสูงอยู่ ถ้าอากาศดี ๆ มองจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปก็จะเห็นพระเลย

ท่านอาจารย์เต้ (พระครูประทีปกาญจนธรรม วัดพุน้ำร้อน) เขาก็รออาตมา "ปี ๒๕๕๓ ท่านอาจารย์ไปวางศิลาฤกษ์สร้างเจดีย์ให้ผมหลังหนึ่ง"

ส่วนอาจารย์สมคิด (พระครูบวรกาญจนธรรม วัดตะเคียนงาม) ท่านเซ็งมากเลย ตอนแรกจะปิดทอง ฝังลูกนิมิต ผูกพัทธสีมา ถอนโบสถ์ ปี ๒๕๕๒ เลยย้ายไป ๒๕๕๕ ท่านบอกว่า "รอให้พระอาจารย์ว่างก่อน"

ถาม : ท่านจองไว้ล่วงหน้า?
ตอบ : ไม่ใช่จองไว้ล่วงหน้า ท่านจองก่อนคนอื่นเลย แต่คนอื่นมาเบียด ท่านก็เลยต้องย้ายไปปี ๒๕๕๕

เถรี
16-03-2010, 17:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้ามีโยมมาขอฤกษ์แต่งงาน เขาขอฤกษ์มกราคมปีหน้า แต่อาตมายังไม่ได้ดูเอาไว้ให้ บอกว่าปีหน้าค่อยมาขอใหม่

ถ้าหากว่าดูเด็ก ๆ ในยุคปัจจุบันนี้แล้ว สงสารเด็กที่มันจะเกิดมา ถ้าเขาไม่ได้สร้างบุญไว้ดีจริง ๆ ไม่รู้ว่าเขาจะเอาชีวิตรอดจากสังคมในยุคหน้าได้หรือเปล่า ? เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เร่งรัดเข้ามา ที่ภาษาราชการเขาเรียกว่า บริโภคนิยม ทำให้ทุกคนต้องไขว่คว้าหาทุกอย่างเข้าตัว จนกระทั่งบางทีก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องของศีลของธรรม ขอให้ได้ไว้ก่อน

ก็เลยจะอยู่ในลักษณะแบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก คนที่แข็งแรงกว่า โหดร้ายกว่า จึงจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ คนที่อ่อนแอกว่าก็จะอยู่ในลักษณะโดนข่มเหง รังแกไปเรื่อย ดังนั้น..เขาแต่งงานเราไม่ได้หนักใจหรอก แต่ถ้ามีลูกเมื่อไร สงสารลูกที่เกิดมา..!"

เถรี
16-03-2010, 17:16
พระอาจารย์กล่าวถึงการที่เราไปนั่งขวางทางบุญของคนอื่นว่า

"บางอย่างเราไม่ได้มีเจตนา แต่ก็กลายเป็นกรรม อย่างเช่นเขาจะทำบุญ เรานั่งขวางเขาอยู่ อย่างนี้ก็ซวยไปเลย เวลาพอเราจะทำอะไร แทนที่เราจะได้ กลับมีก้างขวางคอเสียทุกทีไป กลายเป็นคนอื่นเขาเอาไปกินหมด "

เถรี
16-03-2010, 19:16
พระอาจารย์กล่าวถึงพระอภิธรรม ๗ บท ว่า "พระพุทธเจ้าขึ้นไปโปรดพุทธมารดา ปรากฏว่ามีพรหมเทวดาบรรลุมรรคผลในตอนนั้นแปดหมื่นโกฏิ (๑ โกฏิ เท่ากับ สิบล้าน)

สมัยก่อนเขาก็เลยถือว่าพระอภิธรรมเป็นมงคลใหญ่มาก เพราะว่าเทศน์แล้วสงเคราะห์ให้ผู้คนเข้าถึงมรรคผลได้มากขนาดนั้น สมัยก่อนเขาก็เลยใช้สวดในงานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน งานทำบุญปีใหม่ งานทำบุญสงกรานต์ ฯลฯ มาตอนหลังเขาเอาไปสวดในงานศพ คนก็เลยถือว่าเป็นอวมงคล แล้วก็เลยกลายเป็นยึดถืออย่างนั้นตลอดมา

พอขึ้น กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เราก็ไปคิดว่าเป็นงานศพ เป็นของอวมงคล แต่ความจริงแล้วถือว่าเป็นมงคลใหญ่ที่สุด"

เถรี
16-03-2010, 19:39
ถาม : หนูสู้กิเลสจนแทบตาย พอตอนหลังใช้วิธีรวบรวมกำลังใจ ตายเป็นตาย สุดท้ายกิเลสมันก็เลยยอม
ตอบ : ถ้าเราตาย เขาก็ไม่รู้จะเล่นใคร ถ้าหากเอากันให้ตายไปข้างหนึ่ง งานก็จะง่ายขึ้น

ถาม : ตอนหลังพอโดนตีก็เลยใช้วิธีนี้ อีกอย่างหนึ่งก็คือ จะมีบางคนที่เข้ามาปรึกษาการปฏิบัติกับหนู หนูก็โยนให้ไปทางหลวงพ่อ ไม่อยากให้เขามาอะไรกับหนูมาก บางทีก็กลัวเขาจะมายึดติดอะไรกับเรา แต่ขณะเดียวกัน ถ้าหนูไม่บอกเขา เดี๋ยวเขาจะเคว้งขึ้นมา ควรทำอย่างไรดี ?
ตอบ : แนะนำอยู่ในกรอบของศีล สมาธิ และปัญญา ถ้าไม่กล้าไปไกลก็เอาเบื้องต้นไว้ก่อน

ถาม : เวลาปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น หนูต้องตั้งกำลังใจเพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อหลวงพ่อ เพื่อเป็นที่พึ่ง คือ ถ้าตั้งกำลังใจเพื่อตัวเอง จะไม่ฮึด ต้องตั้งกำลังใจเพื่อคนอื่น เพื่ออย่างอื่น
ตอบ : อย่างไหนดีเอาอันนั้น เพียงแต่อย่าทิ้งนิพพานก็แล้วกัน

เถรี
16-03-2010, 20:23
ถาม : การที่เรามองเห็นว่า สิ่งที่คน ๆ หนึ่งคิด รู้สึก หรือกระทำ เป็นทางที่น่าสงสาร คือเรารู้สึกสงสาร เศร้าสลด เขาเรียกว่า สลดในธรรมได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เรียกว่า ธรรมสังเวช

ถาม : แล้วความรู้สึกนี้ ทำให้เศร้าหมอง
ตอบ : ไม่ใช่หมอง เราต้องเปลี่ยนเป็นเข็ด เป็นเบื่อ คือ สงสารว่าเขาไม่รู้จักทางที่หลุดพ้น ในเมื่อเราเบื่อแล้ว เราเห็นทางแล้ว เราก็รีบไปของเราให้เต็มที่

ถาม : แล้วความรู้สึกนี้สงสารนี้คาอยู่ในใจ จะผิดพลาดทางเทคนิคอะไรหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ได้ผิดพลาด ตัวนั้นควรจะมีอยู่ แต่ว่าให้ดูข้อผิดพลาดของเขาเป็นบทเรียน แล้วเราก็รีบไปของเรา

ถาม : แล้วทำอย่างไร ที่จะหยุดความรู้สึกนี้ ?
ตอบ : ไม่ต้องหยุด ถ้าหยุดแล้วจะเดินผิดทาง

ถาม : แต่มันห่อเหี่ยวนะคะ
ตอบ : แสดงว่าเราแบก ก็แค่เลิกแบก ดูเป็นบทเรียน เก็บเอามาใช้งาน ดูว่าเขาเป็นอย่างไร เสร็จแล้วก็ใช้อุเบกขา

รู้ไหมว่าพระพุทธเจ้าให้อุเบกขาไว้ เพื่อกันพวกเราบ้า..! ไม่อย่างนั้นก็จะมีแต่เมตตา กรุณา จนไม่บันยะบันยัง พอช่วยเหลือเขาไม่ได้ ตัวเองก็เครียดแทน แล้วก็บ้า ฉะนั้น..ของเราขาดอุเบกขา ใช้พรหมวิหารไม่ครบ รีบเบรกซะ เบรกทั้งสองขาเลย

เถรี
16-03-2010, 21:01
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการล็อกประตู ไม่ว่าจะเป็นประตูรถหรือประตูห้อง ถ้าไม่อยู่ควรจะล็อกให้เป็นนิสัย

"หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ถ้าเราไม่เปิดโอกาสให้เขา การลักขโมยก็จะไม่เกิด เพราะว่าบางคนแรก ๆ ก็ไม่คิดจะขโมย แต่พอเห็นโอกาสแล้ว การตัดสินใจชั่ววูบทำให้เขาทำในสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรมได้ ท่านก็เลยให้พวกเราล็อกประตูเสียจนชิน จะได้เท่ากับว่าไม่สนับสนุนเขาให้ทำผิด"

เถรี
16-03-2010, 23:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นเศษกรรมปาณาติบาตโดยตรง ถ้าทำไว้มากก็ป่วยบ่อย ทำไว้น้อยก็ป่วยน้อย ไม่ทำเลยก็ไม่ป่วยเลย พระพากุละเถระ ตลอดทั้งชีวิตท่าน แม้แต่สมอชิ้นหนึ่งที่จะฉันเพื่อรักษาโรคก็ไม่ต้อง สุดยอดของบุญจริง ๆ"

ถาม : ท่านไม่ทำปาณาติบาตเลยหรือคะ ?
ตอบ : น่าจะมีบ้าง แต่ท่านไปได้บุญสร้างส้วมถวายพระมาค้ำเอาไว้ ก็เลยเป็นเกราะป้องกัน อยู่จนเบื่อ อายุ ๑๕๐ แต่ไม่ตายเสียที ท่านก็เลยเข้าสมาธิแล้วไปเฉย ๆ เป็นบุคคลที่อายุยืนที่สุดที่ปรากฏในพระไตรปิฎก

สมัยนั้นบุคคลอายุ ๑๐๐ ปีเป็นประมาณ แต่ส่วนมากมักจะตายตอนอายุ ๑๒๐ แสดงว่าบุคคลที่อายุ ๑๒๐ สร้างปาณาติบาตไว้น้อยมาก

เถรี
16-03-2010, 23:55
ในเรื่องของเส้นผมนั้น พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า "บางทีก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา เฉพาะเรื่องผมเรื่องเดียว..คนผมหยิกก็ไปยืด คนผมตรงก็ไปดัด คนไม่มีผมก็อยากจะมี

ถ้าหากว่าตราบใดที่ยังขาดสันโดษ คือ ความยินดีตามมีตามได้ จะเพิ่มทุกข์ให้เราเยอะ ถ้าหากมีสันโดษอยู่ ทุกข์จะน้อยลงมา เพราะไม่ไปดิ้นรนอะไรที่เกินสภาพของตัวเอง"

เถรี
17-03-2010, 14:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี จะเป็นเศรษฐีในเรือนยาจก แปลว่า ต่อให้จนแค่ไหน ถ้ารู้สึกยินดี พอใจในสิ่งที่ตนเองมี มันก็รู้สึกว่าตนรวย

ส่วนผู้ที่ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี จะเป็นวนิพกในเรือนเศรษฐี ต่อให้รวยขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่รู้จักพอก็ยังจนอยู่

ที่ว่ามาเป็นของหลวงปู่พระพุทธพจน์วราภรณ์ (หลวงปู่จันทร์ กุสโล) วัดเจดีย์หลวง สมัยท่านเป็นพระเทพกวี วัดป่าดาราภิรมย์ ท่านติดคำคมไว้รอบวัด เช่น ถ้าอยากจะดัง อย่าหวังความสงบ"

เถรี
17-03-2010, 14:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "พัฒนาการในการฝึก ในการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม ต้องค่อยเป็นค่อยไป ถ้าหากว่าใจร้อนเมื่อไร หลงทางได้ง่ายที่สุด"

เถรี
17-03-2010, 16:44
ถาม : ครั้งล่าสุด ไปกราบวิหารสมเด็จองค์ปฐม พอไปกราบเสร็จ หลับตาปั๊บ สว่างโร่เลย ผมไม่เคยเป็นมาก่อน
ตอบ : ไปใหม่

ถาม : ไม่เหมือนเดิมครับ
ตอบ : ต้องย้อนกลับไปดูว่า ตอนนั้นเราวางกำลังใจอย่างไร ช่วงก่อนที่ทำจะอย่างนั้น เราคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร

เถรี
17-03-2010, 22:01
ถาม : วันอังคารนี้ผมจะตั้งศาลพระภูมิครับ
ตอบ : ทำไมไปตั้งวันอังคาร ?

ถาม : ฤกษ์พรหมประสิทธิ์พอดีครับ
ตอบ : ส่วนใหญ่การตั้งศาลพระภูมิเขาให้ใช้ฤกษ์วันพฤหัส เดือนคู่ อย่างเดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปดข้างขึ้น และเดือนสิบสอง เดือนแปดข้างแรมและเดือนสิบเขาไม่ทำกัน เพราะถือว่าอยู่ในช่วงพรรษา ฉะนั้น..เราลองไปดูใหม่ เอาวันที่เหมาะ ๆ หน่อย

เถรี
18-03-2010, 11:34
ถาม : ขอกราบเรียนถามเรื่องใช้ทรายเสก ที่เขาบอกว่าสาดจากข้างในออกไป หมายถึงในตัวบ้าน ในตัวอาคารเลย ?
ตอบ : ซัดในบ้านก่อน จากนั้นค่อยไปล้อมเป็นวง ถ้าคุณไปล้อมวงก่อน ของข้างในเขาออกไม่ได้ เดี๋ยวจะมีการอาละวาดหนักเลย

ถึงเป็นตึกสิบชั้น ยี่สิบชั้นก็ไม่เป็นไร ตั้งใจแค่ชั้นเดียวก็พอ อานุภาพคลุมถึงหมด

ถาม : ทำเองได้ โดยที่ไม่ต้องให้ใครทำให้ ?
ตอบ : ไม่ต้อง ตั้งใจกราบขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ เวลาซัดก็ว่า นะโมพุทธายะ

ถาม : อย่างนี้ถ้าซัดไปแล้ว สัตว์เขาตาย เท่ากับปาณาติบาต ?
ตอบ : เคยมีตัวอย่างว่า มีบ้านโยมบางคน มีงูเข้ามาแล้วตายพาดอยู่กับวงทรายเสก เขาก็ไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า นั่นเขามาร้าย ถ้าเขามาดีจะไม่เป็นอะไร สามารถเข้าออกได้

ถาม : ซัดในอาคาร กวาดได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ท่านบอกว่าซัดทิ้งไว้สัก ๓๐ นาที แล้วค่อยกวาด ถ้ากลัวว่าจะไม่พอทำรั้ว เราเอาไปโรยใส่ทรายอื่นเยอะ ๆ ก็ได้ โรยลงไปแล้วคลุกเลย จากนั้นก็เอาไปใช้ได้เหมือนกัน

ถาม : ขอบพระคุณครับ ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะต้องเอาไปกี่สิบถุงถึงจะพอใช้

เถรี
18-03-2010, 13:53
ถาม : ในระหว่างที่ผมนอนหลับ จะรู้สึกว่ามีแผ่นใส ๆ มาปิดที่ใบหน้า ช่วงนั้นจะรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ค่อยออก แต่พอสักพักหนึ่ง มันคลุมตัว พอตื่นมารู้สึกจิตกระปรี้กระเปร่าขึ้น อันนี้เกิดจากสาเหตุอะไรครับ ?
ตอบ : มีอยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือ สภาพจิตเป็นสมาธิทรงตัวมากขึ้น พอสมาธิทรงตัวมากขึ้น ลมหายใจจะน้อยลงโดยอัตโนมัติ แล้วเรายังไม่เคยชิน ก็เลยรู้สึกอึดอัดในระยะแรก

อย่างที่สอง เป็นเหตุผลทางการแพทย์ เขาบอกว่าคนที่นอนไม่หลับ ถ้าระบบการหายใจไม่ดี จะมีอาการเป็นอย่างนั้นเอง

ถาม : เราก็เลยกลัว เพราะหายใจขัด
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วจะเสียเพราะกลัว คือ ถ้าหากว่าเป็นอย่างแรก ที่สมาธิเริ่มทรงตัวมากขึ้น ถ้าหากว่าเรากลัว ก็จะถอยหลังเลย กลายเป็นกลัวดี ต้องตัดสินใจให้ได้ว่าตายเป็นตาย เพื่อแลกกับความดี

เถรี
18-03-2010, 13:57
ถาม : เรื่องคาถาเงินล้าน การท่องสัมปะจิตฉามิกับสัมปะติจฉามิ มีข้อแตกต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : ท่องไปทั้งคู่นั่นแหละ

ถาม : ท่องได้ทั้งสองอย่างใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อย่างหนึ่งเป็นคาถาป้องกัน อย่างหนึ่งท่านเรียกว่า แก้วสารพัดนึก

ถาม : แล้วคาถาเงินล้านแบบพิเศษเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าท่านอนุญาตแล้วจะบอก ไม่ได้พิเศษอะไรหรอก น้อยเป็นพิเศษ ท่องน้อยแต่ได้เยอะ

ส่วนใหญ่พวกเราชอบทางลัด ก่อนที่จะมาถึงตรงนี้ได้ อาตมาเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า วันหนึ่งภาวนาเป็นพันจบ ต้องว่าจนกระทั่งทรงตัวแล้ว หลังจากนั้นสูตรพิเศษก็จะตามมา ข้ามขั้นตอนไม่ได้

ถาม : ต้องเข้าสมาบัติแปดท่องหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ต้อง

เถรี
22-03-2010, 08:53
ถาม : เมื่อก่อนสังเกตอารมณ์ตัวเอง อย่างเวลามีความกำหนัดเกิดขึ้น จะมีอยู่สองอารมณ์ที่เกิดขึ้น ก็คือ พยายามที่จะทำตามความรู้สึกนั้น กับพยายามที่จะให้ความรู้สึกนั้นหายไป ทีนี้เกิดมีอีกอารมณ์หนึ่งเกิดขึ้นเข้ามา ก็คือ รู้สึกว่าความกำหนัดเกิดขึ้น แต่ไม่ได้อยากให้หายไป และก็ไม่ได้อยากจะทำตาม ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของสังขารุเปกขาญาณหรือเปล่า ?
ตอบ : อันหลังนี่เป็นอารมณ์ที่ถูกต้องกว่า เพราะว่าสภาพร่างกายของเราถ้ายังดีอยู่ เรื่องของราคะ โทสะ โมหะ จะแรงเป็นปกติ แต่จะแรงก็แรงไป เราไม่ให้ความใส่ใจ ไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งจินตนาการ ก็จะอยู่ได้ไม่นาน แล้วก็จะหายไปเอง

เพราะฉะนั้น..เราทำตัวเป็นคนดู พอถึงเวลามีตัวละครขึ้นเวทีมา เราก็ดูไปเรื่อย พอเล่นครบบทเดี๋ยวมันก็ลงเวทีไปเอง ถ้ายิ่งสติ สมาธิ ปัญญาของเราเข้มข้น แหลมคม ว่องไวมากเท่าไร ระยะเวลาที่จะอยู่ได้ก็สั้นลงเท่านั้น และท้ายสุดถ้าหากว่าไวจริง ๆ ก็จะตัดตั้งแต่เหตุเลย แล้วมันจะเกิดไม่ได้ ถ้าถึงตอนนั้นคุณสบายแล้ว

อย่างเช่นมองไปจะสักแต่เห็นว่าเป็นคนหรือเป็นสัตว์เท่านั้น จะไม่มีการคิดต่อว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย สวยหรือไม่สวย ชอบหรือไม่ชอบ เพราะฉะนั้น..ทั้งราคะ ทั้งโทสะก็เกิดไม่ได้ ก็คือเห็นก็สักแต่ว่าเห็น

หูได้ยินเสียงเหมือนกัน ต่อให้ไพเราะขนาดไหนก็ตาม แต่ทันทีที่ได้ยินก็จะกลายเป็นสักแต่ว่าได้ยิน เพราะรู้ว่าถ้าคิดตามหรือทำตามจะเกิดโทษอย่างไร

ประเภทนี้กว่าจะถึงได้จะต้องโดนจนเข็ด พลาดแล้วพลาดอีก ผิดแล้วผิดอีกจนนับครั้งไม่ถ้วน แล้วในที่สุดพอเข็ดขึ้นมาแล้วจะหาวิธีการ คือ เริ่มใช้ปัญญาแล้ว ไม่อย่างนั้นจะโดนอีก
ที่ว่าหาวิธีการไหนที่จะหลีกเลี่ยง อันดับแรกก็ต้องหยุดไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้นท้ายสุดก็เลิก

ฉะนั้น..ที่เราทำอยู่ปัจจุบัน ถือว่าถูกต้องมากกว่าอย่างแรก แต่ขอให้รู้ว่า ไม่ว่าจะชอบ ก็คือคล้อยตาม หรือว่าจะชัง ต่อต้านก็ตาม จะเสียทั้งคู่ ถ้าชอบก็เป็นราคะตรง ๆ ชังก็เป็นโทสะ กินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง

ถาม : อันนี้เป็นขั้นหนึ่งที่ก้าวเข้าใกล้อารมณ์สังขารุเปกขาญาณหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่าเป็นสังขารุเปกขาญาณไหม ? ยังไม่เป็น เพราะถ้าหากว่าสังขารุเปกขาญาณนี่ จะปราศจากการปรุงแต่งแล้ว จะเรียกว่าก้าวเข้าไปใกล้ไหม ? ใกล้กว่าเดิมสักก้าวหนึ่ง เหลืออีกกี่กิโลว่ากันอีกที

เถรี
22-03-2010, 08:55
ถาม : สงสัยมาจากครั้งก่อนครับ ที่ถามเรื่องนิพพิทาญาณ ที่หลวงพ่อบอกว่าจะต้องพิจารณาให้ก้าวต่อไปสู่สังขารุเปกขาญาณ ก็คือ มาทางนี้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามาทางนี้ ถูกแนวแล้ว ต่อไปก็ทำอย่างไรที่จะรู้ทันและหยุดมันให้ได้ ถ้าถึงตอนนั้นแล้วก็จะสักแต่ได้เห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส แล้วให้อยู่แค่นั้น อย่าให้เข้ามาในใจ ไม่คิดต่อจะจบเลย คิดต่อเมื่อไร เป็นโทษทันที

แล้วหลังจากนั้นต่อไป ปัญญามีมากขึ้น ก็เห็นเหตุว่าเกิดจากอะไร ก็จะตัดเหตุอันนั้นเลย ต่อไปจะสักแต่ว่าเห็น ถ้าถึงตอนนั้น จะเป็นโต๊ะก็ดี จะเป็นเสาก็ดี จะเป็นคนก็ดี จะมีราคาเท่ากันหมด คือเราสักแค่ว่าเห็นเป็นรูปหรือเป็นธาตุเท่านั้น ไม่มีความเป็นหญิง เป็นชาย เป็นเรา เป็นเขา ตัวที่จะปรุงแต่งไปทางราคะ โลภะ โทสะ โมหะก็หมดไป

ทำไปเถอะ ขอให้ถึงไว ๆ จะได้หมดภาระอาตมาไปสักคน

เถรี
23-03-2010, 19:31
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พ.ต.อ. อรรณพ กอวัฒนา ด้วยความที่ท่านเป็นตำรวจและผจญกับผู้ร้ายมาเยอะ ก็เลยเชื่อมั่นในเรื่องวัตถุมงคล

ตอนนั้นท่านไล่จับผู้ร้ายทางจระเข้น้อย ออกไปทางสมุทรปราการ ท่านบอกว่ายิงมันกระเด็นตกเรือไป คาดว่าตายแน่นอน แต่จ้างคนงมเท่าไรก็ไม่เจอ ปรากฏว่าอีกไม่กี่วันมันไปปล้นอีกแล้ว สืบดูก็เลยรู้ว่าโจรมันพกเขี้ยวเสือหลวงปู่ปาน วัดคลองด่าน ของท่านขลังขนาดนั้นเลยหรือ ? ยิงกระเด็นตกเรือไปเลย แต่กลับไม่เป็นอะไร

ของอย่างนี้จะต้องมีประสบการณ์เองจึงจะเชื่อมั่นมากขึ้น พวกเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ทำให้พระจำเป็นต้องออกธุดงค์ เพราะว่าเมื่อต้องผจญอันตราย ไม่ว่าจากสัตว์ร้าย ภูตผีปิศาจหรือว่าเทวดาแกล้งก็ตาม ท้ายสุดถ้าเอาคุณพระรัตนตรัยเข้าสู้ จะไม่มีอะไรสู้ได้ กลายเป็นว่าคุณพระรัตนตรัยสูงสุด ไม่มีสิ่งใดจะมาลบล้างได้ ก็จะเกิดความเชื่อมั่นพระรัตนตรัยอย่างเต็มที่ เต็มจิตเต็มใจไปเอง

ไปไหนก็เลยจะเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง นั่นเป็นกติกาข้อแรกของความเป็นพระโสดาบัน เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ คราวนี้ก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือ ไปชำระศีลให้บริสุทธิ์ และระลึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย

ที่เขาไปธุดงค์กันจนแทบปางตาย เขาต้องการแค่นี้แหละ เขาไม่ต้องการอะไรมากมาย"

ถาม : ถ้ามีความเคารพพระรัตนตรัยเสียอย่าง การรักษาศีล นึกถึงความตายก็...
ตอบ : เท่ากับเป็นส่วนประกอบเลย ที่ยากที่สุดอยู่ที่ข้อแรก

เถรี
23-03-2010, 20:14
ถาม : ถ้าเราพิจารณาว่าร่างกายไม่มี ทำไมรู้สึกว่าร่างกายมันหนัก
ตอบ : เพราะเป็นภาระ

ถาม : มันหนักขึ้นเรื่อย ๆ
ตอบ : สมาธิแน่นขึ้น พอสมาธิแน่นขึ้น ทรงตัวมากขึ้น ถ้าถึงระดับฌานสองต่อฌานสาม เราจะรู้สึกหนัก หรือบางทีเหมือนกลายเป็นหินไปเลย

ความจริงไม่อยากจะบอก แต่ว่าถ้าไม่บอกก็อธิบายไม่ชัด แต่พอบอกไปก็ให้ระมัดระวังไว้ว่า ต่อไปเวลาปฏิบัติอย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น ถ้าอยากให้เป็นอย่างนั้นเมื่อไร ชาตินี้ก็ไปไม่ถึง เพราะจะกลายเป็นฟุ้งซ่าน รอว่าเมื่อไรจะเป็นอีก ให้เราปฏิบัติไปเหมือนเดิมทุกอย่าง จะเป็นหรือไม่เป็นก็เรื่องของมัน

ถาม : ก็คือ ช่างมัน
ตอบ : จ้ะ เรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างมัน

ถาม : แล้วบางทีใจหวิว ๆ
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ เรื่องของร่างกาย อย่าไปสนใจมากนัก คิดว่าเราทำความดีอยู่ ตายตอนนี้ก็ช่างมัน

อยากจะบอกกับโยมว่า ที่มานั่งตอบตรงนี้ได้เพราะหวิวมาเยอะแล้ว ทุกขั้นตอนที่โยมว่า อาตมาเจอมาหมดแล้ว

ถาม : มันจะตาย
ตอบ : ถ้าใจจะขาด ให้ตัดใจไปเลย ตายเป็นตาย..!

เถรี
23-03-2010, 21:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่เขาจะก่อความวุ่นวาย บางทีทางใต้เขาจะสวมรอยพร้อม ๆ กัน ความสนใจที่มุ่งมาทางกรุงเทพฯ ทางด้านนั้นจะโหว่...

ถ้าหากว่าฝ่ายป้องกันขาดความระมัดระวัง จะเป็นเหตุให้ทางภาคใต้ก่อเหตุความรุนแรงได้ง่าย"

เถรี
23-03-2010, 21:29
ถาม : หลวงพ่อเคยรู้สึกขี้เกียจไหมครับ ?
ตอบ : เคย

ถาม : บ่อยไหมครับ ?
ตอบ : นาน ๆ ที

ถาม : แล้วตอนขี้เกียจทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : นอน..!

ถาม : ตื่นมาแล้วหายไหมครับ ?
ตอบ : ตื่นมาแล้วก็ทำงานต่อ ขี้เกียจอีกไม่ได้ เพราะหน้าที่บังคับ

มีหลายครั้งในลักษณะของการปฏิบัติเพื่อสู้กิเลส บางทีสู้กิเลสไม่ไหวจริง ๆ ต้องใช้วิธีโกงก็คือนอนเลย

จริง ๆ นะ ไม่อย่างนั้นเราจะพิจารณาหรือภาวนาอย่างไร ก็เอาไม่อยู่ทั้งนั้น ถ้าเอ็งมีปัญญาอาละวาดก็อาละวาดไป ข้าจะนอน พอตื่นขึ้นมาคราวนี้มีแรงฟัดกับมันต่อได้ วิธีโกงอย่างนี้ก็มีเหมือนกัน ใช้มาหลายครั้งแล้วด้วย

ถาม : มันไม่ตามไปตีต่อในฝันหรือครับ ?
ตอบ : ตอนนั้นเรามืดบอดไปหมด ชนิดในฝันมันก็เอาเราไม่ได้แล้ว ฉะนั้น..บางทีก็โกงได้ซึ่ง ๆ หน้าเหมือนกัน

เถรี
26-03-2010, 02:18
ถาม : ระหว่างอุปาทานกับการคิดเอง จะพิจารณาว่าต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : อุปาทาน คุณเข้าใจว่าอะไร ? อุปาทาน คือ การยึดมั่นถือมั่นไปกับสิ่งที่เราได้รู้มา อันนั้นคืออุปาทาน ไม่ใช่คิดเอง

การคิดเองอาจจะเป็นจินตามยปัญญาก็ได้ จินตามยปัญญาเป็นปัญญาเกิดจากการคิด โดยที่อาศัยการอนุมานเอา จากประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เราได้มา จะเป็นการได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้ศึกษาก็ตาม

แต่ภาวนามยปัญญา เป็นการรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว อย่างเช่น รู้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ใครก็เถียงไม่ได้ รู้ว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ ใครก็เถียงไม่ได้ รู้ว่าไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา อย่างนี้เป็นต้น

ฉะนั้น..อุปาทานที่เราว่า เราเข้าใจรากศัพท์จริงไหม ? อุปาทาน คือการไปยึดของเก่าเป็นหลัก อย่างเช่นว่า พระอินทร์จะต้องเขียว ๆ ถ้าท่านมาในลักษณะอย่างอื่นที่ไม่เขียว เราก็คิดว่าไม่ใช่

ถาม : การยึดมั่นถือมั่นเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ตราบใดที่ยังไม่เข้าถึงความเป็นอริยเจ้า ตราบนั้นยังมีความเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่

ฉะนั้น..คุณไม่ไปกังวลหรอก เป็นแทบทุกคน จะเป็นมากเป็นน้อยเท่านั้น ถ้าเป็นชนิดที่ไม่เชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเลย ก็มิจฉาทิฏฐิแท้ ถ้าเชื่ออยู่บ้าง แต่ปฏิบัติไม่ได้ ก็ถือว่ามีส่วนของความเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่บ้าง

เถรี
26-03-2010, 03:16
ถาม : หนูไปทำตามที่หลวงพ่อบอก ก็คือ ฟังเสียงเทศน์ไปเรื่อย ๆ ทั้งคืน แล้วก็เหมือนไม่ค่อยได้หลับทั้งคืน พอวันที่สี่ หัวหมุน ตาโฟกัสไม่ได้
ตอบ : อันนั้นแสดงว่ายังไม่ใช่ ถ้าหากว่าใช่จริง ๆ ตัวเราหลับแต่ใจเราตื่น

ถาม : หลวงพ่ออยู่ได้อย่างไร ทั้งที่เวลานอนมีนิดเดียว ?
ตอบ : ก็อยู่อย่างนี้แหละ

ถาม : แล้วหัวไม่หมุนหรือคะ ?
ตอบ : ก็ได้นอน คือเราขอนิดเดียวเท่านั้น พอกำลังใจละเอียดขึ้น การพักผ่อนน้อยก็เหมือนพักผ่อนมาก เพราะร่างกายได้พักจริง ๆ อาจจะพักในระดับที่ว่า อวัยวะภายในหยุดทำงานเลย นี่บอกข้ามขั้นตอนไปหน่อย เอาไว้ทำถึงตรงนี้แล้วค่อยมาถาม

ในเมื่อร่างกายที่ทำงานมาตลอด จู่ ๆ ดับเครื่องไปสัก ๑๕ นาที ก็ถือว่าพอแล้ว ถึงเวลาก็เริ่มต้นใหม่

เถรี
26-03-2010, 03:17
ถาม : กราบเรียนถามเรื่องการใช้สีรถให้ถูกโฉลก
ตอบ : สีอะไรก็ได้ ยกเว้นสีดำก็พอ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเองว่า "เป็นการไว้ทุกข์ให้ตัวเอง..ไม่ดี.." แต่ส่วนใหญ่ร้อยละร้อย มักจะเอาแต่สีดำ

ถาม : รถสีเทาได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ก็ยังจัดว่าอยู่ในโทนดำ

เถรี
26-03-2010, 11:02
ถาม : เมื่อคืนฝันว่าเห็นท่านมาบอกเคล็ดเรื่องอาราธนาพระ แต่บอกเป็นภาษาบาลีครับ ผมจำไม่ได้
ตอบ : ไม่ต้อง จำไม่ได้ ก็ปล่อยไป

ถาม : เป็นท่อนก่อนขึ้น พุทธัง อาราธนานังครับ
ตอบ : อะไรในฝัน ถ้าได้ก็คือได้ ไม่ได้คือไม่ได้

เถรี
26-03-2010, 14:23
ถาม : เมตตาเพศตรงข้ามอย่างไรไม่ให้เป็นราคะ?
ตอบ : ตั้งกำแพงกั้นเอาไว้เลย ถ้าไม่ตั้งกำแพงกั้นไว้ ให้เขาเข้าใกล้ได้ เดี๋ยวก็เสร็จ..! เพราะของอย่างนี้จะดึงดูดกันโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ถึงเวลาเขาเข้ามา เราก็ยันออกไป ตอนนั้นเราเบรกด้วยขา คือยัน ไม่ใช่อุเบกขา

อารมณ์เมตตาจริง ๆ จะไม่มีราคะเจือปน แต่เนื่องจากว่ากำลังของเรายังไม่บริสุทธิ์จริง ถึงเวลาแล้วสถานการณ์พาไป เผลอไปนึกคิดปรุงแต่ง ก็จะออกไปทางราคะได้ ฉะนั้น..ต้องตั้งกำแพงกั้นไว้เลย

ถ้ายังทำได้ไม่ดี เราอุเบกขาไม่ได้ เราก็เบรกด้วยขา เข้าใกล้มาก็ถีบพลั่ก..!

ถาม : เผอิญว่าไม่ได้มีรายเดียวด้วยค่ะ
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ถึงวาระที่กรรมจะส่งผล โอย..ไหลมาเทมา

ถาม : ใช่ค่ะ
ตอบ : คอยยันเอาไว้ พอพ้นวาระก็จะพ้นเลย จากที่เคยให้ความสนใจก็จะธรรมดาปกติ

ถาม : หนูก็พยายามไปตัดตัวโลภะด้วย เพราะหนูเห็นว่า พอทำให้ตัวโลภะเบาบาง ราคะก็เบาบางลงด้วย
ตอบ : จะไปตัดตัวไหนก่อนก็ได้ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มีกำลังเท่ากัน ตัวไหนเบาลงที่เหลือก็เบาไปด้วย เหมือนกับกองทัพกิเลส

ถ้าเขามีกองทัพอยู่ ๔ กอง คือ รัก โลภ โกรธ หลง กองหนึ่งมีทหารสัก ๑๐,๐๐๐ ก็แปลว่าจำนวนยอดก็คือ ๔๐,๐๐๐ ไม่ว่าเราจะทำลายกองทัพใดกองทัพหนึ่ง อาจจะสูญเสียไพร่พลไปสัก ๕๐ คน ๑๐๐ คนก็ตาม ก็ตัดไปจากยอดสี่หมื่น อย่างน้อยก็เท่ากับว่าส่วนอื่นกำลังน้อยลงไปด้วย

ไม่ใช่ว่าของคุณเสียกำลังไปกองหนึ่ง อีกสามกองกำลังเท่าเดิม...ไม่ใช่..เราต้องดูในภาพรวม

เถรี
30-03-2010, 14:14
ถาม : ถ้าเราอธิษฐานขอให้ไม่รู้ไม่เห็น พอถึงเวลาเราจะรู้ จะเห็นไหมคะ ?
ตอบ : เหมือนกับว่าพอไปถึงสถานที่นั้นแล้ว..ก็ต้องเห็น ไม่ต้องการรู้..ก็ต้องรับรู้

เถรี
30-03-2010, 16:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "กำลัง ๗ ช้างสาร เป็นกำลังบุญ ไม่ใช่กำลังทั่ว ๆ ไป

กำลังบุญในที่นี้ ก็คือ พลังงานขนาดนั้น แม้จะมีอยู่ แต่สภาพร่างกายก็แก่เหมือนคนทั่ว ๆ ไป กำลัง ๗ ช้างสารนั้นมีไว้ประคองร่างกายตัวเอง

เราต้องนึกถึงท่านย่าวิสาขา ท่านย่าวิสาขาอายุ ๑๒๐ ปี นั่งอยู่ท่ามกลางลูก ๒๐ คน หลาน ๔๐๐ คน เขาแยกไม่ออกว่าคนไหนคือท่าน เพราะท่านมีเบญจกัลยาณีที่เรียกว่า วัยงาม ก็คือ คลอดลูกคนแรกอายุเท่าไร ลักษณะหน้าตาจะอยู่อย่างนั้นไปตลอดชีวิต

เบญจกัลยาณีมี
๑) เกสะกัลยาณิ คือ ผมงาม ผมสวย เขาบอกว่ายาวสลวยลงมาประมาณบั้นเอว แล้วปลายจะงอนช้อนขึ้น สีเหลือบเขียวเหมือนหางนกยูง แสดงว่า ต้องเงางามมาก
๒) มังสะกัลยาณิ คือ เนื้องาม เขาบอกว่า เนื้องามให้ดูริมฝีปากเป็นหลัก เพราะว่าส่วนของร่างกายที่บางที่สุด คือ ริมฝีปาก
๓) อัฏฐิกัลยาณิ คือ กระดูกงาม ท่านบอกให้ดูฟันเป็นหลัก เพราะกระดูกที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายก็คือฟัน
๔) ฉวิกัลยาณิ คือ ผิวงาม แสดงว่าผิวพรรณเกลี้ยงเกลา ละเอียดอ่อน ไม่ว่าจะเป็นคนผิวสีไหนก็สวย
๕) วยกัลยาณิ คือ วัยงาม ไม่แก่ตามวัย มีลูกคนแรกตอนอายุเท่าไร รูปร่างหน้าตาจะอยู่แค่นั้นตลอดไป

คราวนี้นางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านมีกำลังเท่ากับ ๗ ช้างสาร ตรงนี้ที่พิสูจน์ได้ก็ตรงเครื่องประดับของท่าน เพราะเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ ทำขึ้นมาจากทองพันแท่ง เงินพันแท่ง เรามานึกดู ทองแท่งละบาทก็แย่แล้ว ยังมีแก้วมณี ๑๑ ทะนาน แก้วประพาฬ แก้วไพฑูรย์อย่างละ ๒๒ ทะนาน ร้อยขึ้นมา ลักษณะเป็นมงกุฎรูปนกยูงรำแพน มีชายลงมาเป็นเสื้อคลุม น้ำหนักก็เลยมากเป็นพิเศษ

ตอนที่นางวิสาขาประกาศขายเครื่องสาธน์ เขาต้องใส่เกวียนไป แต่ถึงเวลาที่ท่านใส่ ท่านก็สามารถใส่ได้สบาย ๆ เพราะกำลังของท่านเยอะ

เถรี
30-03-2010, 16:54
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ข่าว ก็ไปแอบดูนางวิสาขา ตอนแรกดูไม่ออกเพราะสาวเหมือนกันหมด พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านฉลาด ท่านรู้ว่า คนแก่ร่างกายไม่ดี กำลังไม่พอ เพราะฉะนั้นถ้าคนแก่ลุกขึ้น ต้องเอามือค้ำพื้นเพื่อช่วยยัน ท่านก็ไปเล็งดู และในที่สุดก็เห็นว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์เสร็จแล้ว ในกลุ่มนางวิสาขาพร้อมกับลูกหลาน เวลาลุกขึ้นมีสาวอยู่คนหนึ่งที่ต้องใช้มือยันพื้นก่อน ก็คาดว่าต้องเป็นคนนี้แน่นอน

คราวนี้การพิสูจน์ยังไม่มั่นคง เพราะไม่รู้จักตัวจริง ท่านก็เลยให้เอาช้างไปซุ่มไว้กลางทาง พอถึงช่วงที่เป็นตรอกแคบ แล้วปล่อยช้างวิ่งเข้าใส่ คนอื่นก็วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง คุณยายวิสาขาหันมา เอานิ้วทิ่มหน้าผาก ในอรรถกถาท่านอธิบายละเอียด ท่านบอกว่าจะจับงวงบิดก็เกรงว่าจะเป็นอันตรายแก่ช้างถึงชีวิต ก็เลยแค่เอาสองนิ้วทิ่มหน้าผากไว้ ช้างวิ่งเข้ามาไม่ได้ ติดอยู่แค่นั้น

คราวนี้ในเรื่องของกำลัง ถ้าถามว่าคนในปัจจุบันนั้นมีไหม ? ก็ต้องบอกว่าได้เห็นจากหลวงพ่อวัดท่าซุง คำว่าได้เห็นจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็ไม่ได้เห็นชัดเจนมาก เป็นการประมวลเอา

อย่างเช่นว่า เวลาท่านรับสังฆทานเรียบร้อย จะกลับกุฏิ เดินลงจากศาลานวราช โยมก็มักจะนั่งเป็นสองแถวให้ท่านเอาไม้เท้าเคาะหัว ท่านจะมีไม้เท้าอะลูมิเนียม ที่มันเป็นรู ๆ เลื่อนได้ หมุนปรับได้ แล้วตอนปลายก็หุ้มยาง

เราจำหน่ายวัตถุมงคลอยู่บนศาลานวราช ก็อยู่ในเหตุการณ์ ท่านก็เคาะ ๆ โยมไปเรื่อย พอเคาะเสร็จ มีโยมคนหนึ่งเอาทิชชูแปะศีรษะไว้ เราก็ถามว่าเป็นอะไร ? เขาบอกว่าเลือดออก หัวแตกเลย ไม้เท้าอะลูมิเนียมเบา ๆ แถมหุ้มยางด้วย แต่หลวงพ่อท่านเคาะโยมจนหัวแตก..!

เถรี
30-03-2010, 21:01
อีกท่านหนึ่ง หลวงพี่มหาดำ ปัจจุบันคือ ท่านเจ้าคุณโสภณธรรมเวที วัดสุวรรณคีรี (วัดขี้เหล็ก)

หลวงพี่เจ้าคุณดำตอนนั้นท่านยังเป็นพระมหาอยู่ ท่านรักและเคารพหลวงพ่อมาก เวลาได้พบหน้าหลวงพ่อทีไร ท่านจะมักเข้าไปกราบที่อก พอกราบที่อก หลวงพ่อท่านก็โป๊ก..! "เป็นยังไงวะ..ไอ้ดำ ?" หลวงพี่มหาลงไปกราบที่เท้า อาตมา ก็คิดว่าพี่เรานี่เคารพหลวงพ่อจริง ๆ กราบหน้าอกแล้วยังลงไปกราบที่เท้าอีก

พอหลวงพ่อท่านขึ้นกุฏิ ก็ปรารภเรื่องนี้กับท่าน หลวงพี่ท่านบอกว่า "ไอ้บ้า..กูเกือบสลบ..!" หลวงพ่อตบหัวด้วยความเอ็นดู อย่างกับโดนตะลุมพุกทุบหัวเอา ที่ลงไปที่ตีนไม่ได้กราบหรอก แต่ทรุด..!

คราวนี้ที่ชัดที่สุด ปกติอาตมาจะเข้าเวรเฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อ ถ้าไม่มีคำสั่งท่านนี่ห้ามคนอื่นเข้าเด็ดขาด มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อท่านเรียก "เฮ้ย..เล็ก เข้ามาหน่อยสิวะ" เข้าไปถึง ท่านก็บอกว่า "ยกออกไปทีซิ..วันนี้รู้สึกกำลังดี เลยลองใช้ดู ดึงสองทีเอง..ขาดเลย..! "

เป็นเครื่องออกกำลังแบบโยก ๆ จะมีสปริงตัวเท่าแขนอยู่สองฝั่ง หลวงพ่อท่านบอกว่า ดึงสองที ทีที่สองขาดเลย แสดงว่าคงจะดึงจนสุด อาตมาก็เอ๋อรับประทาน แบกเครื่องนั้นออกมาด้วยความงง ๆ

ก็เลยมานึกถึงในเรื่องของกำลัง ๗ ช้างสาร ก็คือ กำลังบุญ ตัวเองเป็นคนแก่ ถึงเวลากำลังนั้นจะช่วยพยุงร่างกาย แต่พอไปใช้กับคนอื่นแล้วกลับมีเยอะ ก็คงเหมือนกับช้างแก่ ๆ ไม่มีเรี่ยวแรง แต่พอเดินไปไหนแค่เฉี่ยว ๆ เราก็แทบหมุนไปสามตลบเลย

ดังนั้น..ในเรื่องของกำลัง ๗ ช้างสาร ต้องดูว่าเป็นเรื่องของบุญ ในสมัยนั้นที่ระบุไว้ชัดเจนถึงบุคคลที่มีกำลัง ๗ ช้างสาร ก็มีพระอานนท์ นางวิสาขา นางบุญทาสี และพันธุลเสนา

เถรี
30-03-2010, 21:34
แล้วกำลังของพระพุทธเจ้ามีเท่าไร? ต้องไปดูในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก

เมื่อพระพุทธเจ้าฉันสูกรมัททวะของนายจุนทะไปแล้ว ก็เกิดปักขันธิกาพาธ ถ่ายเป็นโลหิต ท่านบอกว่าพระพุทธเจ้าที่มีกำลังเท่ากับช้างเป็นแสนเชือก หมดกำลังเหมือนกับน้ำที่ใส่ตะกร้าแล้วรั่วไปหมด

นั่นขนาดรั่วไปหมดนะ ท่านยังเดินไปถึงกุสินารา ถ้าเป็นพวกเรากำลังหมดจะเดินไหวไหม?

เถรี
30-03-2010, 21:53
ถาม : พอดีผมได้ของอะไรบางอย่างมา ชีวิตผมไม่ค่อยจะดี
ตอบ : ก็โยนทิ้งไปเท่านั้นเอง

ถาม : ฝากไว้กับหลวงพ่อองค์หนึ่ง
ตอบ : แล้วจะไปห่วงอะไร ?

ถาม : ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะฝากท่านไว้เฉย ๆ แต่จะไปเอาคืน
ตอบ : กลัวว่าชีวิตจะดีเกินไปใช่ไหม ?

ถาม : หลวงพ่อมีคำแนะนำอะไรบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีหรอก ถ้าเรารู้ว่าไม่ดีเพราะอย่างนั้น ถ้าไปเอากลับมา ก็ไม่ดีต่อสิ

ถาม : แล้วควรจะไปไว้ที่ไหนดีครับ ?
ตอบ : ฝากท่านไว้ ก็ฝากยาวไปเลย

ถาม : ฝากยาว ท่านไม่ว่าหรือครับ ?
ตอบ : ฝากลืม หรือไม่ก็บอกท่านว่า ถวายเลยครับ

ถาม : ตอนแรกท่านจะไม่เอาครับ ท่านบอกว่าให้คุยกับทางที่เอามา
ตอบ : คิดว่าพ้นตัวไปแล้วสบายเกิน ก็ไปเอากลับมา..!

เถรี
31-03-2010, 10:59
ถาม : ไปซื้อ Twilight มาอ่านตามหลวงพ่อ
ตอบ : อ่านแล้วได้อะไรมาบ้าง ?

จุดใหญ่ใจความ ก็คือ แม้ว่าเขาเองจะเห็นนางเอกเป็นอาหาร แต่เขาก็ยังอดใจไว้ได้ การหักห้ามใจลักษณะนั้นแหละ คือ ศีล แล้วการที่เขาสามารถจะค้นหาสิ่งต่าง ๆ โดยการอนุมานเอาจากกลิ่น หรือสภาพอากาศ ตรงนั้นเป็นทิพจักขุญาณอย่างหนึ่ง

เป็นเราไหวไหมละ ? เธอหอมน่ากินขนาดนั้น แล้วต้องมานั่งเฝ้าอยู่ทุกคืน แมวเฝ้าปลาย่าง แล้วมีกติกาว่าห้ามกินนี่ สุดยอดทรมานจริง ๆ

แต่ถ้าเรามาดูเบลล่า (นางเอกของเรื่อง) เขามีพื้นฐานดีมาก่อน ถ้าเป็นลักษณะของธรรมะ ก็คือ ปุพเพกตปุญญตา สร้างบุญไว้แต่ปางก่อนดี จึงส่งผลดีในชาตินี้ ปกติพอเป็นแวมไพร์ใหม่ ๆ ก็จะกระหายเลือดมากกว่าปกติ แต่เบลล่าเองสามารถหักห้ามใจได้เลย ห้ามได้แบบเด็ดขาดด้วย

ส่วนสำคัญที่สุด ก็คือ เรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง มีไม่เว้น แม้แต่พวกผีดิบก็ยังมีเป็นปกติ อยากใหญ่ อยากมีอำนาจ ไม่อยากให้คนอื่นเด่นกว่าตัว มีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลงเหมือนกัน

ถาม : แต่นางเอกตอนเป็นมนุษย์...(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ใช่..คนปกติใครเขาจะทำอย่างนั้น ต้องบอกว่าเป็นบุพเพสันนิวาส แค่เห็นก็มืออ่อนตีนอ่อน ยอมมอบกายถวายชีวิตแล้ว ต่อให้รู้ว่าพระเอกไม่ใช่คน ก็ไม่เปลี่ยนใจ

เถรี
31-03-2010, 11:05
สิ่งที่เย้ายวนใจขนาดนั้นอยู่ตรงหน้า แล้วสามารถหักห้ามใจได้ ถ้าเราทำอย่างนั้นได้ เรื่องการสู้กิเลสก็เป็นเรื่องเล็กมาก ถ้าเรื่องขนาดนั้นยังห้ามใจตัวเองได้ เรื่องอื่นก็ไม่มีอะไรรุนแรงไปกว่านั้นหรอก

ถาม : ใช้กำลังตรงนี้หักห้ามใจ เหมือนกับว่าห้ามทั้งชีวิตเลยนะคะ ต้องใช้กำลังใจสูงมาก เหมือนแทบเอาชีวิตเราไปเลย
ตอบ : เรายังไม่มีประสบการณ์ อาตมาเจอประเภทที่เขาหันหลังไปแล้วน้ำตาไหล เราเองหัวใจจะขาดรอน ๆ ต้องบอกว่าโชคดีที่ไม่เจออย่างนั้น เพราะอาจจะวิ่งตามเขาไปเลย

มาดูถึงตัวเอง เขามาทวงสัญญาจะให้สึก เราก็พยายามหนี โดยอ้างว่า พระไม่สามารถจะอยู่กับผู้หญิงสองต่อสองได้ เขาก็ไปหาเพื่อนผู้ชายมา ตามไปทุบประตูเรียกมาเจรจา อยากจะบอกว่า ที่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้เพราะกำลังของครูบาอาจารย์ท่านช่วย

ตอนช่วงนั้นมันเหมือนกับเรารู้ว่า นี่เป็นศึกสงครามครั้งสุดท้าย ถ้าไม่เขาตาย เราก็ตาย..! เหมือนกับกำลังของเราทั้งหมดที่สั่งสมมาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนั้นมารวมตัวกันหมด นิ่งสุด ๆ จริง ๆ ไม่ว่าเขาจะอ้อนวอนทั้งน้ำตาขนาดไหนเราก็เฉย..!

ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับเป็นหินใหญ่อยู่กลางสายน้ำ ไม่ว่าสายน้ำจะไหลมาอย่างไร มีแต่ต้องแหวกออกข้างไปเอง เราไม่สะดุ้งสะเทือนหรอก พอปฏิเสธประโยคสุดท้ายออกไป เขาหันหลังร้องไห้ วิ่งหนีไปเลย

เมื่อรู้สึกว่าเขาพ้นจากตรงหน้าแล้ว สมาธิเราก็คลายตัว โอ้โห..คราวนี้เกือบตายเลย ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับไม่มีกำลังเหลือ ถ้าเขาเหลียวมานิดเดียว เราจะตามเขาไปเลย โชคดีเขาไม่เหลียวมา เขาไปแล้วไปเลย

ปกติเวลาที่เขาขับรถกลับ เขาก็จะต้องผ่านกุฏิ เราก็ไปยืนจ้องตรงหน้าต่าง "ถ้ามองมานิดเดียว จะตามไปเลย" เขาก็ไม่มอง นี่ถ้าไม่ใช่ครูบาอาจารย์ช่วยก็เสร็จไปแล้ว แค่เขาเหลือบมานิดเดียวก็จะตามไปเลย ฉะนั้น..อย่าให้เจออย่างนั้น ถ้าเจอแล้วกำลังไม่พอ..เสร็จแน่..! ตูสะสมกำลังมาสิบกว่าปี พลังวัตรยังไม่พอเลย..!

เถรี
31-03-2010, 16:01
ถาม : อารมณ์มันโดดขึ้นโดดลง
ตอบ : เรื่องปกติ พอถึงเวลาเราเผลอให้กิเลสเข้ามาได้ ก็ต้องหล่น ให้ตั้งหน้าตั้งตาตะกายใหม่ ก็จะขึ้น เหลืออยู่อย่างเดียว คือทำอย่างไรที่เราจะประคองอารมณ์ให้สม่ำเสมอติดต่อกันได้ นั่นเป็นวิธีที่ต้องไปหาทางจัดการเอาเอง

บอกได้...แต่ต้องไปซ้อมเอง ในขณะที่เรากำลังทำอย่างอื่น เอาให้นิ่งได้เหมือนตอนที่เรากำลังปฏิบัติ แรก ๆ ก็ครู่เดียว พอเคลื่อนไหว..เผลอ..ก็ขาดสติ พอเราตั้งใจประคอง นานไป ๆ ก็จะอยู่นานขึ้นเรื่อย ๆ พอได้เป็นเดือนเป็นปี คราวนี้จะมีความสุขมากเลย

ถาม : เมื่อก่อนไม่เป็น ตัวร้าย ๆ มันมาจากไหนก็ไม่รู้
ตอบ : เขาอยู่ข้างใน ยิ่งทำยิ่งละเอียด ยิ่งเห็นหน้าเขาชัดขึ้น คือ ก่อนหน้านี้เรายังไม่เห็น ก่อนหน้านี้เราอาจจะเห็นแค่ต้น พอตัดต้นหมด ลงไปดูรากสิ มีแต่เล็กลงเรื่อย ๆ และเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งละเอียด ก็จะเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ

ไม่มีอะไร รับรู้แล้วก็วาง รับรู้แล้วก็วาง กิเลสชวนไปทำอะไร ก็อย่าไปทำตาม

เถรี
31-03-2010, 16:38
ถาม : ถ้าเรากำหนดรู้จิตของเรา แล้วเราต้องการรู้จิตของคนอื่นด้วย ก็กำหนดรู้เหมือนดูจิตของตนเองใช่ไหมคะ?
ตอบ : ถ้าหากระดับสูงกว่า เสียเวลาไปดู ถ้าท่านปิดก็มืดตื๋อ

ถาม : แล้วถ้าคนทั่ว ๆ ไปล่ะคะ?
ตอบ : ดูเอาไว้เป็นบทเรียนก็พอ การดูจิตที่มีประโยชน์จริง ๆ คือ ดูจิตตัวเอง ดูจะได้รู้ว่ามีกิเลสอะไรอยู่บ้าง แล้วก็แก้ไขได้ ดูจิตของคนอื่น อย่างเก่งก็...เราก็รู้ของเขาเหมือนกันนะ

เถรี
31-03-2010, 16:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "อากาศที่ร้อน ฝรั่งเขาบอกว่าเป็นภาวะโลกร้อน แต่ที่พระพุทธเจ้ากล่าวเอาไว้ชัดเจนก็คือ การก่อตัวขึ้นของพระอาทิตย์ดวงใหม่ ท่านบอกว่าพระอาทิตย์จะก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งครบ ๗ ดวง ไฟบรรลัยกัลป์จะล้างโลก

พระอาทิตย์ดวงใหม่ที่ก่อตัวขึ้น ตอนนี้มีลักษณะเหมือนพระจันทร์ข้างแรม คือ เป็นเสี้ยวเดียวเท่านั้น ขนาดเสี้ยวเดียวและอยู่ห่างขนาดนั้น ยังเพิ่มความร้อนได้ระดับนี้"

ถาม : ดวงที่สองหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ดวงที่สอง

คราวนี้ในเรื่องของพระอาทิตย์ที่ก่อตัวขึ้น ทางด้านดาราศาสตร์เขาก็รู้ แต่เขารู้ในลักษณะที่ว่าดาวฤกษ์เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เขาไม่รู้ว่าที่ก่อตัวขึ้นมาเพื่อจัดการโลกเราโดยเฉพาะ..!

ท่านบอกว่า พอวาระสุดท้ายน้ำทั้งหลายก็แห้งเหือดไป ทุกอย่างมันอยู่ในลักษณะกรอบเกรียม แค่ลมพัด ใบไม้สีกัน ก็เกิดเป็นไฟ คราวนี้ก็ไหม้เลย

เราอยู่ไม่ถึงหรอก ไม่ต้องไปกังวล ยกเว้นทะลึ่งดันไปเกิดใหม่..!

เถรี
31-03-2010, 20:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราพอเกิดศรัทธา อาจจะโดนหลอกลวงได้ง่าย

อันดับแรก เชื่อง่ายเป็นอธิโมกขศรัทธา โดนหลอกได้ง่าย
อันดับที่สอง สิ่งที่แฝงมาหลอกลวง เขาใช้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา มาหลอกเรา ก็ลักษณะเดียวกับที่กิเลส เขาใช้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ดีที่สุด มาหลอกเรา"

เถรี
31-03-2010, 21:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "สถานที่หลายแห่งมีพื้นที่ทับซ้อนอยู่ ถ้าหากได้ทิพจักขุญาณจริง ๆ ก็จะเห็น บางทีก็มีท่านทั้งหลายเจริญกรรมฐานอยู่ตรงจุดนั้นบ้าง ทำอะไรตรงนี้บ้าง เราไม่เห็นเขา เราไม่รู้สึกอะไร แต่เขาคงจะรำคาญเราบ้างเหมือนกัน

อย่างพระธาตุอินทร์แขวนในพม่า ก็มีส่วนที่ทับซ้อน แต่ส่วนที่ชัดที่สุด จะเป็นพระธาตุมอละอิต

พระธาตุมอละอิตอยู่ไม่ไกลจากชายแดนไทยมาก แต่ว่าอยู่บนเขาสูง เป็นพระเจดีย์องค์เล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก อยากรู้ว่าใหญ่เท่าไร ถามหลวงตาแสงดูได้ เพราะท่านไปมาแล้ว

สมัยก่อนคนที่จะขึ้นไปไหว้พระเจดีย์ ไปมือเปล่าได้ จะมีพวกในพื้นที่ทับซ้อนเอาอาหาร เสื้อผ้ามาเตรียมไว้ให้ ถึงเวลาก็ไปกินข้าวกินน้ำ เปลี่ยนเป็นชุดขาว เดินขึ้นไปไหว้พระเจดีย์ ที่นั่นอากาศเย็นสบายทุกปี แต่แปลกตรงที่ว่า ฝนตกจากข้างล่างขึ้นข้างบน..!

อันนี้ถ้าหากเราดูกันในแง่ของสิ่งเหนือธรรมชาติ ก็จะรู้สึกว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องปกติ ฝนตกจากข้างบนลงข้างล่างนั่นแหละ แต่ลมจากภูเขาที่แรงมาก พัดตีหวนขึ้นไปข้างบน ก็เลยกลายเป็นฝนตกจากข้างล่างขึ้นข้างบน

แต่พอมาระยะหลัง คนไร้ศีลไร้ธรรมมีมากเข้า ถึงเวลากลับลงไป เสื้อผ้าก็ไม่คืนเขา กินแล้วเก็บถ้วยชามเขาไปด้วย เขาก็เลยเลิกช่วย รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้แทบทุกแห่งเลย เขาทนความโลภของมนุษย์ไม่ได้

อาตมาตั้งท่าไปพระธาตุมอละอิตอยู่หลายครั้ง ปรากฏว่าไม่สำเร็จ คนนำทางพาหลง เอาไว้มีโอกาสค่อยไปใหม่"

เถรี
01-04-2010, 01:22
ถาม : เรื่องปีชง เชื่อได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเราเชื่อและกังวลใจก็อาการหนัก ถ้าหากว่าไม่เชื่อ มีความมั่นใจในตัวของเราเอง ก็น้อยหน่อย

เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า มโนมยา สำเร็จด้วยใจ ถ้าเราไปเชื่อว่าไม่ดี พอไปเจอปีชงเข้า เราก็คิดว่าไม่ดี ๆ ๆ ๆ อยู่ตลอด ก็เท่ากับว่าไปแช่งตัวเอง ก็จะเป็นไปตามที่เราแช่ง

ถ้าหากกำลังใจของเรามั่นคงในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา มั่นคงในคุณพระรัตนตรัย เรื่องพวกนี้แทบจะกระทบไม่ได้เลย

เถรี
01-04-2010, 01:41
ถาม : ที่มีข่าวบอกว่า ค้นพบรอยพระพุทธบาทที่สนามศุภชลาศัย ไม่ทราบว่าเป็นรอยจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องไปถามคนพบ เรื่องของรอยพระพุทธบาทที่พบ จะจริงหรือไม่จริง ไม่ใช่สาระสำคัญ สำคัญที่กำลังใจของเราระลึกถึงหรือเปล่า ? ถ้านึกถึงก็เป็นพุทธานุสติ ฉะนั้น..จริงหรือปลอมไม่ใช่สาระ

เถรี
01-04-2010, 10:11
ในขณะที่กำลังสนทนาเรื่องศีลแปด พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของศีล..ถ้าปฏิบัติเข้มงวดไว้แหละดี เพราะว่าถ้าเข้มไว้แล้วหย่อนก็จะพอดี แต่ถ้าหากเราผ่อนตั้งแต่แรก ถึงเวลาแล้วจะยาน

โดยเฉพาะระยะหลัง บางทีพระเห็นเราทำสบาย ๆ ท่านก็สบายด้วย โดยที่ไม่รู้ว่าของเราที่สบายนี่ เราลำบากมามากแล้ว แต่ของท่านเองยังไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย แล้วก็ไปสบาย ก็แปลว่ากำลังหาเรื่องเดือดร้อน..!"

เถรี
01-04-2010, 13:15
ในขณะที่พระอาจารย์หยิบใบประกาศการทำบุญของสายพระป่ามาอ่าน ท่านก็กล่าวให้ฟังว่า

"อยากจะบอกอะไรบางเรื่อง ไม่รู้ว่าพวกเราเคยสังเกตหรือเปล่าว่า พระธรรมยุตท่านสามัคคีกลมเกลียวกันดีมาก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าหากเป็นธรรมยุตแล้ว เขาจะช่วยเหลือกันดี

โดยเฉพาะครูบาอาจารย์ที่มรณภาพแล้ว ถ้ามีคนนับถือเป็นจำนวนมาก เขาจะสร้างเจดีย์หรือพิพิธภัณฑ์ใหญ่ ราคาเป็นร้อยล้านพันล้าน เพื่อบรรจุอัฐิธาตุหรือบริขารของครูบาอาจารย์ไว้ในลักษณะเป็นพิพิธภัณฑ์ เป็นเครื่องระลึกถึง ให้คนที่ไปถึงแล้วได้กราบไหว้บูชา เหมือนอย่างกับท่านยังมีชีวิตอยู่ นี่คือลักษณะการยกย่องครูบาอาจารย์ของพวกเขา ซึ่งต่างจากมหานิกายของเรา

มหานิกายของเราเหมือนกับต่างคนต่างอยู่ ไม่มีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ถ้านับแล้วความเจริญในเรื่องของวัตถุ โดยเฉพาะศาสนสถานของธรรมยุต เขาจะดูดีกว่ามาก สมถะก็สมถะเรียบไปเลย แต่ในความเรียบ แฝงเอาไว้ด้วยสารพัดอย่างที่พร้อมจะปรากฏทันที ถ้าหากครูบาสายนั้นท่านอนุญาต เพราะคนเต็มใจที่จะทำให้ แต่ขณะเดียวกัน จะเอาเลิศลอยอย่างวัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วนารามก็ได้ ราคาไม่ถึงหมื่นล้านก็ใกล้เคียง"

เถรี
01-04-2010, 13:19
"ฉะนั้น..ในส่วนนี้ที่เรามอง จะเห็นว่าการบริหารจัดการของเขาเหนือกว่าเรามาก โดยเฉพาะถ้ามีปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ในด้านของธรรมยุต เรื่องจะจบเร็วที่สุดเลย นี่คือการทำงานของเขา

พวกเรามองเห็นตรงนี้ไหม ? ฝากเอาไว้ ถึงเวลาเราควรบริหารจัดการอย่างไร ตัวอย่างมีให้ดูแล้ว โดยเฉพาะความสามัคคีพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เส้นสายของเขาถึงกันทุกมุมและทุกประเทศของโลก ขณะที่ของเราต่างคนต่างทำ

พวกเราส่วนใหญ่เห็นกันทุกคน แต่ไม่สามารถเอามาประมวลเป็นเรื่องเดียวกันได้ ก็เลยทำให้ไม่เห็นระบบการทำงานของเขา ในเมื่อเราเห็นแล้วส่วนไหนที่เป็นเรื่องดี ที่เราสามารถทำได้ก็ต้องทำ

อย่างตอนนี้อาตมาก็เริ่มวิ่งช่วยพี่ช่วยน้อง วัดนั้นบ้างวัดนี้บ้าง เพื่อสร้างความกลมเกลียวให้เกิดขึ้นในหมู่คณะ ถึงเวลาจะได้กลายเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ ยิ่งกลุ่มใหญ่มากเท่าไร ก็จะมีพลังในการทำงานเพื่อพระศาสนามากเท่านั้น เพราะฉะนั้น..เรื่องของสายสัมพันธ์ต่าง ๆ ปัจจุบันนี้ ธรรมยุตเขาสามัคคีกลมเกลียวหนาแน่นกว่าเราเยอะมาก และทันทีที่เห็นว่าจะมีนอกทุ่งนอกท่า นอกคอกออกไป จะทำให้เสียหายถึงชื่อเสียงเมื่อไร เขาตัดทิ้งทันที ไม่มีการเสียดาย เพื่อรักษาส่วนที่ดีไว้ เป็นลักษณะสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต แล้วเรื่องก็จะสงบลงอย่างรวดเร็ว"

เถรี
01-04-2010, 13:25
"แม้กระทั่งอาตมาเองก็โตมากับสายพระป่า จุดเปลี่ยนที่มาทางสายมหานิกาย เพราะว่าก่อนสิ้นหลวงปู่ฝั้นสองปี มีโอกาสฝึกปฏิบัติตามสายหลวงพ่อ ปัญหาที่เราสงสัยต่าง ๆ ได้รับคำตอบจากทางด้านนี้หมด เพราะว่าทางสายนั้นเขาให้เราทุ่มเทกับการปฏิบัติจริง ๆ มีปัญหาอะไร ติดขัดแล้วจึงไปสอบถาม

ท่านใช้คำว่า 'ไปทำเอา ไปภาวนาเอา' กว่าจะหาจังหวะ หาเวลาไปปรึกษาท่านในเรื่องอารมณ์ปฏิบัติได้..มันยาก พอมาทางสายหลวงพ่อแล้ว รู้สึกว่าสิ่งที่เราสงสัยทั้งหมดมีคำตอบอยู่ตรงนี้ ก็เลยค่อย ๆ เลี้ยวมาทางนี้โดยไม่รู้ตัว

แต่ขนาดเลี้ยวมาทางนี้แล้ว สองปีแรกก็ยังแขวนเหรียญหลวงปู่ฝั้นอยู่เหรียญเดียว เพราะถือว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์คนแรก

มองอะไรอย่ามองผ่านเฉย ๆ มองแล้วคิดวิเคราะห์ด้วย แล้วเราจะได้อะไรอีกเยอะ ถ้ามองผ่านเฉย ๆ อ๋อ..ใบประกาศของเขาทำดี ก็เอาเสียหน่อย ขอทำบุญด้วย เราจะได้มีส่วนด้วย เท่านั้นจบ..! อย่างอื่นก็ไม่เห็น

พวกเราจะกลายเป็นคนเข้าป่าที่ เห็นป่าแต่ไม่เห็นต้นไม้ ป่าประกอบไปด้วยต้นไม้ชนิดใดบ้างก็แยกแยะไม่ออก ต้องซักซ้อมเอาให้มากกว่านี้ ธัมมวิจยะจะได้เจริญ แล้วเราจะได้เห็นว่าเหตุนี้เกิดจากอะไร ? ผลนี้เกิดจากอะไร ? เหตุนี้จะทำให้เกิดผลอะไร ? ผลนี้เกิดจากเหตุไหน ?

ถ้าแยกอย่างนี้ได้ ส่วนที่ดีเราก็สร้างเหตุขึ้นมา..ผลดีก็จะเกิดกับเรา ถ้าส่วนไม่ดี..เราก็ไม่แตะต้องเหตุนั้นผลร้ายก็จะไม่เกิด ก็จะมีแต่ความเจริญในธรรมโดยส่วนเดียว"

เถรี
01-04-2010, 17:58
ถาม : แล้วเราจะเริ่มมองแบบแยกแยะอย่างไรคะ บางทีไม่รู้ว่าเป็นการแยกแยะหรือเป็นการฟุ้งซ่าน ?
ตอบ : เอาสมาธิเป็นหลัก ถ้าสมาธิทรงตัว ก็ฟุ้งไม่ได้อยู่แล้ว

ถาม : บางทีไม่ทันจะแยก โดนกิเลสมันพาไปเสียก่อน เลยแยกไม่ออก
ตอบ : นั่นเขาเรียกว่า กำลังจะยืนก็ยังไม่มี ก็เลยโดนกระแสน้ำกวาดเอาไป

เถรี
02-04-2010, 00:06
พระอาจารย์กล่าวกับพระที่มาฟังธรรมว่า "ถ้าคุณเอาสิ่งที่เขาตั้งใจทำบุญอย่างหนึ่ง ไปทำอีกอย่างหนึ่งโดยพลการ มีโทษเท่ากับย้ายเจดีย์ ลงอเวจีสถานเดียว ถ้าเป็นพระนี่โดนปรับอาบัติหลายชั้น เพราะไปทำศรัทธาเขาให้ตก"

ถาม : เหมือนเรารวบรวมเงินทำบุญอย่างหนึ่งแล้วเอาไปใช้อีกอย่างหนึ่งใช่ไหมคะ ?
ตอบ : นั่นแหละ..เหมือนกัน อย่างเช่นเงินทำบุญกฐิน แต่เอาไปเป็นค่ารถ ค่ากิน พวกนี้โดนไปเต็ม ๆ

ถาม : แล้วถ้ามีคนเขาเชื่อมั่นในเรามาก เขาฝากเงินเราไปทำเฉย ๆ
ตอบ : ถ้าเขาไม่ได้ระบุชัดเจนไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาระบุชัดเจนว่าจะทำอะไรบ้าง ต้องทำให้เขาตามนั้น