PDA

View Full Version : บุคคลตัวอย่าง - พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต


ฅนเมืองพริบพรี
12-02-2010, 10:52
- - - เนื่องในโอกาสวันวิภาวดี ๑๖ กุมภาพันธ์ (วันสิ้นพระชนม์ในปี ๒๕๒๐) จึงขอร่วมรำลึกถึงความดีและปฏิปทาของพระองค์ท่าน ในหนังสือ รำลึกถึงความดีของหลวงพ่อในอดีต หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง (พระราชพรหมยานมหาเถระ) รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน (หน้า ๓๐ – ๔๘) โดยขอนำบทความตอนหนึ่งในหนังสือที่คุณลุงหมอได้เมตตาเขียน ไว้ดังนี้

ขอความดีทั้งมวลพระองค์ท่านที่กระทำเกิดเป็นแนวทาง เป็นตัวอย่าง ให้ข้าพเจ้าและท่านผู้อ่านได้รับรสในพระธรรม ได้ตระหนักและนำไปปฏิบัติแม้จะได้มากน้อยเพียงใดก็ตาม ขอธรรมใดที่พระองค์ท่านถึงแล้ว จงมีปรากฏแก่ใจของข้าพเจ้าและทุกท่านในชาติปัจจุบันนี้

คลิกข้อความข้างล่าง เพื่อฟังและดาวน์โหลดเสียงธรรม
เล่าเรื่องภารกิจสุดท้ายท่านหญิงวิภาวดี- หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง (http://audio.palungjit.com/f29/เล่าเรื่องภารกิจสุดท้ายท่านหญิงวิภาวดี-3511.html)
^_^ ^_^ ^_^

ฅนเมืองพริบพรี
12-02-2010, 10:54
บุคคลตัวอย่าง คือ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต
โดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

- - - ผม (คุณลุงหมอ) ขอย้อนกลับมาหาเรื่องของท่านหญิงวิภาวดี รังสิตอีกครั้ง เพราะหากไม่ได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ท่าน ผมคงจะไม่สบายใจไปตลอดชีวิตก็ได้ เรื่องเดิมมีผู้เขียนเรื่องนี้มาแล้ว ๓ ครั้ง คือ
- - - ๑.พล.อ.ท.ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ ในหนังสือ อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ นางเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา (ท่านอ๋อย) พร้อมทั้งลงจดหมายของท่านหญิงถึงท่านอ๋อย ๒ ฉบับ ลงวันที่ ๑๗ มิ.ย.๒๕๑๙ และ ๔ ก.ค.๒๕๑๙
- - - ๒.หลวงพ่อท่านบันทึกเทปไว้ที่จังหวัดเชียงรายแล้วคุณพรนุช คืนคงดี และคุณสมพร บุณยเกียรติ ช่วยกันถอดเทปลงในหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษเพื่อเป็นอนุสรณ์ ในโอกาสคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อในเดือนตุลาคม ๒๕๒๔
- - - ๓.หลวงพ่อท่านพูดถึงบุคคลตัวอย่าง คือ ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ลงในหนังสือธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๑๐๘ เดือน ก.พ. ๓๓
- - - หากท่านผู้ใดได้ติดตามอ่านเรื่องของท่านหญิงวิภาวดี รังสิตแล้วก็คงหมดสงสัยว่า เมื่อท่านสิ้นชีพิตักษัย (ตาย) ไปแล้ว ขณะนี้ท่านอยู่ที่ใด สำหรับผมเองหมดสงสัยแล้วตั้งแต่ได้เห็นพระพักตร์ของท่านยิ้มอย่างมีความสุขที่สุด (ยิ้มอย่างกูผู้ชนะทุกอย่างในโลก) ในตอนที่ไปคอยรับพระศพ และตอนเคารพพระศพซึ่งคลุมด้วยธงชาติ ซึ่งยังติดตาและติดใจผมอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้

ข้อเท็จจริง
๑.ผมกับท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย (ในชาตินี้) จนกระทั่งหลวงพ่อท่านแนะนำให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ ที่บ้านรับรองในจวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อผมทำความเคารพท่านแล้ว ท่านรับสั่งว่า “ความรู้สึกของหญิงบอกหญิงว่า หญิงไม่ได้เพิ่งเคยรู้จักคุณหมอ หากแต่รู้จักกันมาไม่รู้กี่ชาติ ๆ แล้ว”

๒.ในวันนั้นท่านหญิงรับสั่งให้ผมเข้าพบในตำหนัก หรือวังส่วนพระองค์ซึ่งปลูกอยู่ในบริเวณจวนผู้ว่า พร้อมทั้งรับสั่งเรื่องของพระองค์ให้ผมฟังอย่างสนิทสนมและไม่ถือพระองค์เลย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเคารพและยำเกรงพระองค์ท่านมากขึ้น ต้องคอยระวังพร้อมกาย วาจา ใจ ไม่ให้บกพร่องเป็นกรณีพิเศษ

๓.ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมจึงเป็นเสมือนคนสนิทของท่าน และเป็นที่สนทนาถึงธรรมปฏิบัติของท่าน (ทั้ง ๆ ที่การปฏิบัติธรรมของผมในขณะนั้นยังไม่มีอะไรเลยที่จะไปเปรียบกับท่านได้) เมื่อตื่นบรรทมแต่เช้า ก่อนหลวงพ่อท่านฉันอาหารเช้า พระองค์จะรับสั่งกับผมทุกเช้าถึงการปฏิบัติธรรมของท่านในตอนกลางคืน

ฅนเมืองพริบพรี
12-02-2010, 10:55
- - - ๔.ผมสังเกตว่า ธรรมของพระองค์ท่านเปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ วัน ไม่มีซ้ำกัน เช่น เมื่อเจริญอานาปานุสติ (ลมหายใจเข้าและออก) แล้วก็เข้าสู่ปีติทั้ง ๕ อย่าง พระองค์ได้หมด ที่เขียนเช่นนี้เพราะหลังจากที่ท่านรับสั่งกับผมแล้ว ก็จะถามหลวงพ่อตรงอีกครั้ง เพื่อความถูกต้อง หลังจากนั้นแล้วก็ไม่เกิดปีติอีก พอเริ่มปฏิบัติจิตจะรวมตัวเป็นหนึ่งแล้วเข้าสู่การพิจารณาขันธ์ ๕ เลย (วิปัสสนา) แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ใช้วิปัสสนา หรือด้านการพิจารณาทางปัญญาตลอดมา (ผมเขียนตามสัญญาหรือความจำที่ผมฟังการสนทนาระหว่างท่านกับหลวงพ่อ)

- - - ๕.ทุกครั้งที่ออกหน่วยโดย ฮ. หากผมไปด้วย พระองค์จะประทับติดกับผมอยู่เสมอ และเรื่องที่รับสั่งล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะเกือบทั้งสิ้น แม้ในระหว่างเดินเยี่ยมตามฐานของตำรวจและทหาร หากมีเวลาส่วนองค์ จะรับสั่งเรื่องการปฏิบัติธรรมในตอนกลางคืนให้ผมฟังอยู่เสมอ เรื่องการรับสั่งเป็นปกติคือ ทุกข์ เพราะทุกข์ทั้งหลายล้วนมาห้อมล้อมใจของพระองค์ ทั้งเรื่องภารกิจของชาติและประชาชน ทางเรื่องครอบครัว และเรื่องส่วนองค์อื่น ๆ พระองค์ไม่เคยปิดบังอะไรเลย เล่าให้ฟังหมด จนพระองค์เองก็แปลกใจต้องไปถามหลวงพ่อ (เมื่ออยู่กันเฉพาะแค่ ๓ คือ หลวงพ่อท่าน , ท่านหญิง และผม) ว่าหญิงกับหมอนี่เคยเป็นอะไรกันนะ หญิงมีความลับอะไร ต้องบอกคุณหมอหมดเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยบอกความลับเช่นนี้กับผู้อื่นมาก่อน
- - - แม้พระองค์จะทุกข์แค่ไหนและอย่างไร ท่านก็ไม่เคยยอมแพ้ กลับเอาทุกข์นั้นมาพิจารณาด้วยปัญญา ให้เข้าสู่อริยสัจหมด ท่านรับสั่งกับผมว่า “ แม้หญิงจะทุกข์ขนาดไหน หญิงก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมหวั่นไหว หญิงเอาทุกข์เหล่านั้นมาพิจารณาเป็นอริยสัจหมด” คือเห็นทุกข์ทั้งหลายที่มากระทบใจนี้เป็นของธรรมดา ที่ท่านรับสั่งกับผมแบบนี้ไม่ใช่ครั้งเดียว

- - - ๖.หลังจากเยี่ยมตำรวจ ทหารภาคใต้แล้ว ก็เสด็จไปเยี่ยมตำรวจ ทหารทางภาคเหนือกับคณะของหลวงพ่อท่าน พระองค์ก็ยังทรงเมตตาให้ความสนิทสนมกับผมตลอดมา มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งผมหวาดเสียวแทนท่าน เพราะท่านบินไปเยี่ยมฐานทหาร ที่มองเห็นฐานข้าศึกอยู่ข้างหน้าอย่างแจ้งชัด ขณะที่ไปถึง ผมยังมองเห็นเครื่องบินของฝ่ายตรงข้าม บินมาทิ้งของให้กับพวกเขากับตา ผมยังต่อว่าพวกทหารว่า ทำไมถึงให้ท่านเสี่ยงขนาดนี้ ฝ่ายทหารตอบผมว่า ผมได้พยายามทัดทานท่านแล้ว แต่ท่านไม่ยอมจะเสด็จมาเยี่ยมให้ได้ ในตอนนั้นผมยังจำได้ดีว่า ฮ. ลงจอดไม่ได้ ต้องค่อย ๆ ชะลอลงใกล้พื้นดินแล้วพวกเราต้องกระโดดลง พอลงหมด ฮ. จะดีดตัวไปทันที เพราะหากจอดฝ่ายตรงข้ามอาจยิงปืน ค. มา ที่ผมกล้าไปนั้นไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะผมมีหลวงพ่อท่านไปด้วย และหลวงพ่อท่านก็ต้องโดดลงเหมือนกับพวกเรา

ฅนเมืองพริบพรี
15-02-2010, 12:53
- - - ๗. ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการ ร.พ.ตำรวจ เมื่อ ๒๙ ต.ค.๒๕๑๙ และได้รับยศว่าที่นายพลตำรวจตรีในวันเดียวกัน ซึ่งผมเองไม่รู้เรื่องเลย เพราะกำลังอยู่ในป่าออกเยี่ยมตำรวจ ทหารกับหลวงพ่อและท่านหญิง เมื่อกลับมาจึงทราบ (เขาแต่งตั้งให้แล้วประมาณ ๒ วัน) หลวงพ่อท่านเลยเรียกผมว่า "นายพลป่า" เพราะเขาตั้งให้ขณะอยู่ในป่าเมื่อได้รับตำแหน่งใหม่ งานในหน้าที่ก็ยุ่ง เพราะเป็นของใหม่ ทุกข์ก็เพิ่มขึ้น การจะออกไปเยี่ยมตำรวจ ทหารกับหลวงพ่อ และท่านหญิงก็ต้องชะลอไว้ หลวงพ่อและท่านหญิงทราบดี ผมจึงห่างจากการติดตามไปจนอีก ๓ เดือนกว่า ๆ ก็ได้รับทั้งวิทยุ และโทรศัพท์ทางไกลจาก จ.สุราษฏร์ธานี โดย พ.ต.ท.สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในขณะนั้น) ปัจจุบันมียศ พล.ต.ต.ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน

ฅนเมืองพริบพรี
15-02-2010, 12:57
- - - ๘.ตอนท่านหญิงเสด็จไปยุโรป ได้ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงผมหนึ่งฉบับดังนี้

๒๓ Walple Street
London S.W.๓
วันที่ ๘ ก.ค.๑๙
เรียน คุณหมอสมศักดิ์ทราบ
............ฉันได้ออกเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ เดือนก่อน ท่องเที่ยวมาได้ ๔ ประเทศ ทั้งอังกฤษนี้ แต่อาการไม่สู้ดีเลย อยากจะกลับไปเจริญวิปัสสนาที่วัดท่าซุงมากกว่าอย่างอื่น เพื่อนฉันที่นี่ล้วนหรูหราและน่ารัก อยู่ปราสาทบ้าง บ้านสวยที่สุดบ้าง เป็นดัชเชสก็มี เลดี้ต่าง ๆ ก็มี เมื่อก่อนฉันก็เคยคบชอบพอกันดี ตอนนี้ได้แต่ปลง
............มีข่าวประหลาดจะเล่าให้คุณหมอฟัง วงการจักษุแพทย์จะต้องงงไปหมด อยู่ ๆ ต้อกระจกของฉันซึ่งเป็นมา ๔ ปีกว่า จนตาขวามืดไป เห็นแต่เพียงเงา ๆ หมออุทัยว่า จะต้องผ่าตัดจึงจะหายนั้น บัดนี้หลวงปู่รักษา (ฉันท่องคาถาที่หลวงปู่ให้ทุกวัน) หายได้ใน ๒๗ วัน เริ่มรักษาเมื่อวันที่ ๓ เดือนที่แล้ว หลวงปู่ (ครูบาธรรมชัย) ว่า ๒๘ วันจะหาย พอถึงวันที่ ๒๗ ก็สว่างโร่ขึ้นมาจนตกใจไปหมด ท่านชายเมื่อแรกก็ไม่เชื่อ จนฉันใช้ตาข้างเสียอ่านหนังสือให้ฟัง (ปิดข้างดีเสีย) จึงต้องเชื่อแต่งงไปหมดเลย ให้ใช้กล้องส่องดูตาฉันว่า ต้อยังอยู่ไหม หมอที่ลอนดอนที่ Harley Street การใหญ่นัดพบทีเป็นอาทิตย์ ๆ แล้วก็แพงมาก เสียเวลาด้วย ฉันเลยไม่อยากไปยุ่งด้วย กลาง ๆ เดือนนี้ก็จะกลับแล้ว จะติดต่อกับคุณหมอเพื่อนัดพบหมอตาที่ ร.พ.ตำรวจก็ยังได้ จะได้พิสูจน์กันหลาย ๆ คน
............เรื่องตาของฉันวันนี้ ถ้าคนอื่นมาเล่าให้ฟังก็แทบจะไม่เชื่อ นี่เกิดขึ้นกับตัวเองและฉันก็ถือศีล ๕ คงจะไม่หลอกคนทั้งเมืองแน่ กลับมาก็จะเอาตาไปให้จักษุแพทย์พิสูจน์ด้วย คงจะต้องงงกันบ้างเป็นแน่
............เวลานี้ตอนว่าง ๆ ฉันนั่ง edit เรื่องของหลวงพ่อที่จะพิมพ์ใหม่ชื่อ กรรมฐาน ๔๐ คุณหมอเตรียมซื้อเถิด เยี่ยมมาก เมื่อกลับไปบ้านฉันเตรียมจะไปอยู่กับหลวงปู่ เพื่อเขียนชีวประวัติของท่าน
คิดถึงมาก
วิภาวดี

ฅนเมืองพริบพรี
15-02-2010, 16:47
- - - ๙.หลังเสด็จกลับเมืองไทย ท่านหญิงก็เสด็จเยี่ยมตำรวจและทหาร พร้อมกับหลวงพ่อและคณะทางเหนือหลายหน ผมได้สังเกตเห็นว่าในตอนเย็น ท่านเกือบไม่ได้เสวยอะไรเลย หากจะเสวยก็เสวยแบบเสียไม่ได้ เพราะผู้จัดหาอาหารมาชักชวนหนัก ๆ เข้า พร้อมทั้งพวกพระสหายต่างก็จัดของเสวยให้ ท่านจึงเสวยแบบเอาใจคน กลัวเขาจะเสียกำลังใจ พอมีโอกาสว่างท่านหญิงก็รับสั่งกับผมว่า ความจริงไม่รู้สึกหิวเลย ปกติแล้วจะไม่เสวย เพราะหากเสวยเข้าไปแล้ว มันจะออก (อาเจียน) จิตมันอยากจะถืออุโบสถศีลอยู่เรื่อย เพราะอะไรก็ไม่ทราบ ผมสังเกตทั้งที่เชียงใหม่และเชียงราย ส่วนใหญ่จะเสวยแค่ผลไม้ ๒ - ๓ ชิ้น

- - - ๑๐.ตอนปลายปี ๑๙ หรือต้นปีเดือน ม.ค.๒๕๒๐ จำไม่ได้แน่ ท่านหญิงมีรับสั่งให้ผมเข้าเฝ้าที่วังวิทยุเป็นการส่วนพระองค์ ท่านหญิงทรงเมตตาต่อผมมากที่ให้ชมสมบัติอันล้ำค่าทั้งหมด พร้อมทั้งทรงอธิบายว่าได้มันมาจากที่ไหนบ้าง มีสมบัติหลายชิ้นที่ซื้อมาจากต่างประเทศ ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต นอกนั้นก็มีพระพุทธรูปในสมัยโบราณ สวยงามอีกจำนวนหนึ่ง แล้วในที่สุด ท่านก็สรุปว่า "สมบัติเหล่านี้มันไม่มีความหมายสำหรับท่าน วังวิทยุนี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับท่าน" หากผมจำไม่ผิด หลังจากนั้นมาอีก ๑ - ๒ อาทิตย์ ผมก็ได้ข่าวว่า ท่านหญิงได้ยกสมบัติอันมีค่าเหล่านี้ ให้แก่ทางพิพิธภัณฑ์ไปส่วนหนึ่ง และให้กับผู้อื่นที่ควรแก่การให้ไปอีกส่วนหนึ่งจนหมด คำตรัสอีกประโยคหนึ่งที่ชอบตรัสเสมอ ๆ ก็คือ "ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย" รู้สึกว่าพวกเราที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่ออีกหลาย ๆ คน ที่ได้ยินจนชินหูในช่วงระยะ ๓ เดือนก่อนที่ท่านจะสิ้นชีพิตักษัย

ฅนเมืองพริบพรี
17-02-2010, 12:34
- - - ๑๑. พระศพได้ถูกนำเสด็จมาทางเครื่องบินในวันนั้น (๑๖ ก.พ.๒๕๒๐) เดิมจะให้ทาง ร.พ.ตำรวจเป็นผู้จัดสถานที่รับพระศพ แต่ต่อมาได้ขอเปลี่ยนเป็นที่ ร.พ.จุฬาฯ แทน ผมจึงได้พบกับบุคคลสำคัญ ๓ คน คือ
...........ก) พ.ต.ท.สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในสมัยนั้น ปัจจุบันมียศ พล.ต.ต.) นายตำรวจท่านนี้มีความใกล้ชิดกับท่านหญิงมาก จะติดตามเสด็จทุกครั้ง ที่ท่านหญิงเสด็จไป จ.นครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี ท่านได้เล่าให้ผมฟังว่า ท่านหญิงได้ประทานพระสมเด็จฯ ที่ทรงแขวนประจำองค์อยู่ให้กับตน ในการเสด็จภาคใต้ครั้งสุดท้ายนี้ ไม่นึกเลยว่าท่านหญิงจะจากไปอย่างคาดไม่ถึง ถ้าผมรู้ก่อนผมจะไม่ยอมรับพระสมเด็จที่ประทานให้ และเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนเช้าให้ผมฟัง
...........ข) คุณทิพา ซึ่งเป็นข้าหลวงของท่านหญิง ติดตามและรับใช้ท่านหญิงมาตลอด ผมจึงมีความคุ้นเคยกับคุณทิพาดี ผมได้ถามคุณทิพาว่า เมื่อเช้านี้ ท่านหญิงรับสั่งกับทิพาว่าอย่างไร ทิพาบอกว่า ท่านตื่นบรรทมแต่เช้าเหมือนปกติ แล้วเรียกทิพาไปพบแล้วรับสั่งว่า ทิพา "ถ้าฉันตาย เธออย่าร้องไห้นะ" ทิพาเลยปล่อยโฮใหญ่ และพูดว่า ทำไมท่านหญิงรับสั่งอย่างนั้นล่ะเพคะ ท่านหญิงทรงเงียบไม่ตอบแต่รับสั่งเรื่องงานกับทิพาว่า ทิพาบ่าวชื่อนี้ เธอจ่ายเงินจำนวนเท่านี้ให้เขา บ่าวชื่อนี้จ่ายเงินให้เท่านี้ ทิพาก็รับคำสั่งโดยไม่ได้จด ท่านหญิงก็รับสั่งว่า "ทิพาคราวนี้เธอต้องจดนะ" จากนั้นก็ให้ทิพาออกไปและรับสั่งให้มาลีมาพบ
..........ค) คุณมาลี ซึ่งเป็นพยาบาลประจำหน่วยของท่านหญิง ผมจึงรู้จักเธอดี และได้ถามคุณมาลีว่า มาลีเมื่อเช้าท่านหญิงรับสั่งกับมาลีว่าอย่างไร คุณมาลีตอบว่า ท่านหญิงรับสั่งว่า "มาลี คนอย่างฉันหากจะตาย ฉันไม่ขอตายในบ้าน เพราะมันไม่มีเกียรติ สำหรับฉัน ฉันจะต้องตายนอกบ้านและศพของฉันจะต้องคลุมด้วยธงชาติ" ท่านหญิงรับสั่งกับมาลีเพียงเท่านี้ แล้วก็ไล่มาลีให้ออกมา

ฅนเมืองพริบพรี
17-02-2010, 12:44
- - - ๑๒. เมื่อผมคุยกับท่านทั้งสามแล้ว ผมก็อุทานว่า "งั้น ท่านหญิงก็ทรงทราบล่วงหน้าก่อนแล้ว ว่าจะต้องจากไป" คุณทิพาจึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในคืนสุดท้ายนี้ท่านหญิงก็ถวายสังฆทานกับหลวงปู่ครูบาธรรมชัย เหมือนกับท่านจะรู้ก่อนจริง ๆ ด้วย

- - - ๑๓. รับสั่งครั้งสุดท้ายกับหลวงพ่อและหลวงปู่
...........ก) โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ หญิงไม่ต้องการมีร่างกายอีก ขอลาหลวงพ่อไปนิพพาน
...........ข) หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทูลท่านชายด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน
...........ค) หลวงพ่อ หญิงอยากไปนิพพาน ช่วยนำหญิงไปนิพพานด้วย (ประโยคนี้ผมจำไม่ได้แน่ว่า ท่านอ๋อยเล่าให้ผมฟัง หรือ พ.ต.ท.สุดินทร์) แสดงว่า ขณะนั้น ท่านหญิงทรงมีสติ สัมปชัญญะสมบูรณ์ไม่แสดงอาการว่าเจ็บปวดแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ควรจะปวดมาก
...........ง) ท่านเงียบไปสักครู่ แล้วจึงเปล่งเสียงออกมาดัง ๆ ฟังชัดว่า โอ สว่างแล้ว ๆ ถึงนิพพานแล้ว ๆ สวยจัง เมื่อท่านหญิงทรงตรัสเองเช่นนั้นแล้ว ก็เงียบสงบมีพระพักตร์ยิ้มน้อย ๆ อย่างมีความสุขที่สุด ซึ่งผมได้เห็นอย่างใกล้ชิดตอนรับพระศพ และเคารพพระศพที่คลุมด้วยธงชาติ ตามที่ท่านได้รับสั่งกับคุณมาลี ในตอนเช้าวันนั้นทุกประการ

ฅนเมืองพริบพรี
17-02-2010, 12:58
ข้อพิจารณา
..........ในฐานะที่ผมเป็นหมอตำรวจ ย่อมได้พบและเห็นคนที่ถูกยิงแล้วเสียชีวิตบ่อย ๆ จึงขอเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับพระศพของท่านหญิงที่ท่านได้ทรงแสดงธรรมให้ผมเห็น ตามรายงานของแพทย์ และคำบอกเล่าของ พ.ต.ท.สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในขณะนั้น)

..........สรุปโดยย่อได้ว่า กระสุนปืนที่ยิงถูกเฮลิคอปเตอร์นั้นหลายนัด แต่มีเพียงนัดเดียวที่ทะลุลำตัวเฮลิคอปเตอร์ เข้าด้านหน้าเฮลิคอปเตอร์เฉียดเท้าของนักบิน แล้วจึงมาโดนท่านหญิง (โดยเฉพาะ) เข้าหน้าท้อง กระสุนผ่านตับ ทะลุปอดข้างขวา แล้วออกด้านหลัง บาดแผลด้านหน้า รูกระสุนเข้าเล็ก แต่ทางออกของกระสุนปืนใหญ่มาก จนมองเห็นเลือดและเนื้อของปอด ออกมาจุกอยู่ที่ปากแผลชัดเจน ในลักษณะบาดแผลเช่นนี้ บุคคลธรรมดาแล้วควระจะเสียชีวิตทันที เพราะช็อค (shock) เนื่องจากการเสียเลือดมากอย่างกะทันหัน
โดยมีการตกเลือดมากในช่องท้อง ในช่องปอด และที่สำคัญก็คือ ความกดดันภายในช่องปอด ถูกทำลายทันทีจนปอดข้างขวาทั้งหมดแฟบลงอย่างรวดเร็ว คนไข้จะช็อค เพราะขาดทั้งลมหายใจ และเลือดไปเลี้ยงสมองอย่างกะทันหัน แต่เป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง ท่านหญิงยังทรงมีสติสัมปชัญญะดีตลอดเวลา ยังชะลอขันธ์ ๕ กลับมาได้ และรับสั่งกับหลวงพ่อ หลวงปู่ได้อย่างผู้มีสติดีตามข้อ ๑๓ โดยธรรมชาติที่ท่านแสดงให้ผมเห็นนี้ ผมจึงเข้าใจเอาเองว่า ท่านเป็นผู้ทรงฌานสมาบัติชั้นยอด สามารถใช้ฌานสมาบัติของท่านได้ทันทีเป็นอัตโนมัติเพื่อบรรเทาทุกขเวทนาทางกายและใช้วิปัสสนาญาณชั้นสูงพร้อมกันไปด้วย จึงทำให้จิตเป็นสุขตลอดเวลา
สมจริงตามที่ท่านตรัสไว้เสมอ ๆ ใน ๓ เดือนก่อนที่ท่านจะดับขันธ์ว่า "ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย" (ผมขออนุญาตขยายความว่า ความตายไม่มีความหมาย เพราะคนเราเกิดแล้วต้องตายทุกคน ร่างกายนี้มันหาใช่เรา ใช่ของเราไม่ เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราเป็นเพียงผู้ที่อาศัยร่างกายนี้อยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น โลกนี้ไม่เที่ยง ไม่มีใครสามารถจะเอาสมบัติของโลกนี้ติดตัวไปได้เลย ไม่มีใครเป็นใหญ่ได้ในโลก เพราะต้องมีความตายเป็นที่สุดและโลกนี้มีความพร่องอยู่เป็นปกติ เนื่องจากตกเป็นทาสของตัณหา ขอสรุปว่า ท่านไม่ได้ติดวัตถุธาตุใด ๆ ในโลกนี้แล้ว รวมทั้งร่างกายที่ท่านอาศัยอยู่ หรือจะกล่าวได้ว่า ท่านไม่ได้ติดสมบัติใด ๆ ในโลกแล้วก็คงไม่ผิด)

ฅนเมืองพริบพรี
18-02-2010, 11:10
.........นอกจากนี้ ท่านหญิงไม่เคยแสดงอารมณ์ใด ๆ ไม่พอใจต่อผู้ก่อการร้ายเลยแม้แต่น้อย ทรงให้อภัยทานอยู่ปกติ ด้วยบารมี ๑๐ ครบถ้วนบริบูรณ์ จากทานบารมี - ศีล - เนกขัมมะ - ปัญญา - ขันติ - สัจจะ - อธิษฐาน - เมตตาและอุเบกขาบารมี ขอให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตาม (ธัมมวิจยะ) บารมี ๑๐ ดูแล้วจะเข้าใจเอง ดีกว่าให้ผู้อื่นมาเป็นผู้บอกให้ฟัง ๑,๐๐๐ เท่า หรือ ๑๐,๐๐๐ เท่าทีเดียว

เมื่อเข้าใจด้วยตนเองแล้ว จึงจะเข้าใจในอารมณ์ช่างมัน หรืออารมณ์อุเบกขา หรือ อารมณ์สังขารุเปกขาญาณได้ ว่ามันเป็นอันเดียวกัน แต่มันมีได้ตั้งแต่หยาบ ๆ มาหาชั้นกลาง และละเอียดตามลำดับ และยังเห็นได้ชัดว่าบางคน บางวัน ก็มีอารมณ์ช่างมัน แต่บางวันกลายเป็นอารมณ์ช่างเผือกไปก็มีไม่น้อย ทั้งนี้เพราะอารมณ์นี้ขึ้นอยู่กับศีลเป็นสำคัญ

หากศีลยังไม่เป็นศีล เต็มบ้างไม่เต็มบ้าง (ศีลน้ำขึ้นน้ำลงหรือโลกียศีล) อารมณ์ก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ตามศีล แต่หากศีลของผู้ใดเป็นอัตโนมัติแล้ว หรือมีสีลานุสติอยู่กับใจตลอดเวลา หรือโลกุตรศีล หรือศีลของพระอริยะเบื้องต้น หรือศีลของพระโสดาบันนั่นเอง ซึ่งเป็นอธิศีลจะไม่มีคำว่าเผลอ ไม่มีคำว่าขาดอีกต่อไป บุคคลเหล่านี้แหละ จึงจะมีอารมณ์ช่างมันจริง แม้จะมีอะไรมากระทบก็ทรงอยู่ได้ แต่หากกระทบแรง ๆ ย่อมมีความหวั่นไหวในตอนแรกเป็นธรรมดา แต่ท่านก็สามารถปรับอารมณ์ของตนเองได้ หรือช่วยตนเองได้ เอาตัวเองรอดได้ในเวลาไม่นาน (ตามบารมีที่ท่านมีอยู่ในขณะนั้น) ผู้ที่หมดความหวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ คือ พระอรหันต์เท่านั้น
.........สิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความหวั่นไหว ก็คือ ศีลอีกนั่นแหละ แม้ศีลจะเป็นอธิศีลก็ตาม แต่ยังไม่ละเอียดพอ พระพุทธองค์จึงให้ใช้กรรมบถ ๑๐ คุมอารมณ์จิตต่อไป จากกรรมบถ ๑๐ พระองค์ทรงให้ใช้เทวธรรมคุมอารมณ์จิต ไม่ให้เกิดอารมณ์พอใจ หรืออารมณ์ยินดีด้วยในกามฉันทะ และปฏิฆะ โดยใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นแนวทางในการปฏิบัติ

.........ดังนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ศีลคือแม่ของพระธรรม หรือศีลเป็นมารดาของพระพุทธศาสนา (ผมขอให้ท่านผู้อ่านจงพิจารณาเอาเอง จะได้รู้ได้เห็นด้วยตนเอง เพราะธรรมของพระองค์จะรู้ได้เห็นได้จริง ตามความเป็นจริง ด้วยการปฏิบัติตามวิธีของพระองค์เท่านั้นและรู้ได้เฉพาะตนด้วย หากผู้ใดปฏิบัติยังไม่ถึง หรือยังไม่เข้าใจธรรมะของพระองค์ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางรู้ ทางเห็นได้ เพราะตัวเข้าใจคือ ตัวปัญญา หรือสัมมาทิฏฐิเกิด ผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมะ ปัญญายังไม่เกิด หรือยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่) หากจะใช้สังโยชน์ เป็นเครื่องวัดความดีของท่านหญิง ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผมคือ

.....๑.สักกายทิฏฐิ ข้อแรกนี้ชัดเจนในคำอุทานที่ว่า “ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” ผมขอผ่านไป
.....๒.วิจิกิจฉา ข้อสองนี้ก็เช่นกัน ท่านเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยการปฏิบัติตาม ๑๐๐ % คือปฏิบัติตามอริยมรรค ๘ ซึ่งย่อแล้วเหลือ ๓ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือปฏิบัติบูชาด้วย ทาน ศีล ภาวนา ท่านปฏิบัติตลอดเวลาชนิดเป็นอกาลิโก (คือ ทำตลอดเวลาในทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน)

ฅนเมืองพริบพรี
18-02-2010, 12:16
.......๓.ศีล เป็นอธิศีล หรือมีสีลานุสติอยู่ในจิต โดยไม่ต้องระวังหรือกลัว หรือสงสัยว่าจะผิดศีลหรือไม่ จนกระทั่งแม้กรรมบถ ๑๐ เท่าที่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่านและได้สนทนากับท่านเสมอ ๆ พรหมวิหาร ๔ ท่านเต็ม ๑๐๐% จากการเสียสละความสุขส่วนองค์ ทำทุกอย่างเพื่อประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อตำรวจ ทหารที่อยู่แนวหน้า สละแม้แต่ชีวิตและทรัพย์สินที่รักและหวงแหน โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเท่ากับตัดโลภะ (ราคะ) นั่นเอง ส่วนปฏิฆะนั้น เมื่อพรหมวิหาร ๔ เต็ม อารมณ์ไม่พอใจย่อมไม่เกิด หรือเกิดก็ดับไปทันที เรื่องกามฉันทะกับปฏิฆะนั้น ผมเพียงคาดคะเน หรือเดา หรือเพียงแค่สงสัยเท่านั้น เพราะผมยังปฏิบัติไปไม่ถึง เมื่อยังไม่ถึงก็ต้องมีความสงสัยอยู่เป็นธรรมดา

.......อนึ่ง จะเห็นได้จากลายพระหัตถ์ที่มีถึงท่านอ๋อย (๑๗ มิ.ย.๒๕๑๙) และถึงผม (๘ ก.ค.๒๕๑๙) ท่านรับสั่งว่า ท่านทรงศีล ๕ เป็นปกติ แต่ใจมันอยากอยู่ในอุโบสถศีลเป็นปกติ และผมก็ขอยืนยันตามเหตุผลในข้อ ๙ ตามตำราศีล ๘ คือศีลของพระอนาคามี เป็นคุณธรรมข้อหนึ่งของท่าน เมื่อมีคุณธรรมถึงอนาคามี ศีล ๘ จะปรากฎเองไม่ใช่แกล้งทำ หรือต้องบังคับให้เป็นศีล ๘ เหมือนกับผม ซึ่งพยายามรักษาศีล ๘ ไว้เกิน ๑๐ ปีแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีคุณธรรมของพระอนาคามีปรากฎให้เห็นแม้แต่น้อย ผู้ที่ถือศีล ๘ ได้ในขณะนี้มีเป็นแสน ๆ คน แต่ผู้ที่มีคุณธรรมครบหายากจริง ๆ แม้แต่พระสมมุติสงฆ์ และสามเณรกว่า ๓ แสนรูปก็เช่นกัน

.......ดังนั้นการถือศีล ๘ จึงไม่ใช่ผู้วิเศษอะไร หากผู้ใดถือศีล ๘ แล้วไปเที่ยวอวดผู้อื่น หวังประโยชน์จากการถือศีล ๘ ในทางโลก (โลกธรรม) เพื่อตนก็น่าเศร้าเช่นกัน ผู้ถือศีล ๘ โดยขาดปัญญา จึงเป็นการเบียดเบียนตนเอง ทรมานตนเองโดยเปล่าประโยชน์ และยังทำให้จิตเศร้าหมอง เนื่องจากความฟุ้งซ่านของจิต ความสงสัยที่เกิดกับจิตว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้น ที่ตนกินไปนั้นที่เวลาเกินเที่ยงไปนั้น มันจะผิดศีลหรือเปล่า จิตเต็มไปด้วยความสงสัย ความระแวง จิตจึงเกิดกิเลสเมื่อกิเลสเกิดอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจย่อมเกิด (ตัณหา) เมื่อตัณหาเกิด อุปาทานก็เกิด ผลคือจิตก็ปรุงแต่งไป และสร้างอกุศลกรรมต่อ ทางใจไปสู่ทางวาจา และออกทางกายในที่สุด และบางคนถือศีล ๕ ยังไม่ครบเลย เห็นเขาถือศีล ๘ ก็ถือกับเขาบ้าง โอกาสใกล้นรกจึงมีมากขึ้น ผู้ใดมีปัญญาให้ใช้วิธีของหลวงพ่อท่านคือ ถือเฉพาะเวลา เช่น ตอนเจริญกรรมฐาน เจตนาคือตัวบุญ ขอให้บริสุทธิ์จริง ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ จิตก็จะไม่เศร้าหมอง

ฅนเมืองพริบพรี
18-02-2010, 14:57
........สำหรับท่านหญิงนั้น ศีล ๘ ได้ปรากฎขึ้นกับจิตของท่านเอง เมื่อประมาณ ๖ - ๗ เดือนก่อนจะทิ้งขันธ์ ๕ ตามตำรากล่าวไว้ว่า เมื่อฆราวาสจบกิจพระศาสนา จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน ๑ วัน หรือ ๒๔ ชั่วโมง สำหรับส่วนตัวผมมั่นใจว่า ท่านหญิงทรงทราบอยู่แล้วว่าจบกิจ จึงได้บอกกับคุณทิพาและคุณมาลีให้รับทราบตามตรง (โปรดย้อนดูข้อเท็จจริงข้อที่ ๑๑) แต่ทั้งสองคนไม่เข้าใจ

.......นอกจากนั้นหลวงพ่อท่านก็รู้ ตามที่พระมาบอกท่านว่า ท่านหญิงจบกิจเมื่อเวลาสองนาฬิกา แต่ขณะนั้นหลวงพ่อท่านพักอยู่ที่ ต.ช.ด.เขต ๘ ทุ่งสง ส่วนท่านหญิงอยู่ที่บ้านรับรองของโรงปูน ส่วนรายละเอียดผมจะไม่ขอเขียนอีก เพราะหลวงพ่อท่านเล่าไว้ละเอียดแล้ว

........ปัญหามีอยู่มากในขณะนั้น(เรื่องของโลกธรรม) เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจเรื่องฆราวาสจบกิจในพุทธศาสนา จะต้องตายภายใน ๒๔ ชั่วโมง (ท่านเจ้ากรมพล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ท่านเขียนไว้ชัดในหนังสืออนุสรณ์ ในการพระราชทานเพลิงศพภรรยาของท่าน) ผมของดกล่าว เพราะในหนังสือเล่มนั้นมีของดี ๆ น่าอ่านน่าศึกษาอยู่มาก
........ต่อเมื่อเวลาได้ล่วงเลยมากว่า ๑๐ ปี แล้ว จนถึงปัจจุบัน ปัญหานี้ก็หมดไป เพราะมีผู้มาปฏิบัติธรรมและฝึกมโนมยิทธิกันเป็นจำนวนมากกว่าแสนคน ซึ่งสามารถจะพิสูจน์ความจริงในพระพุทธศาสนาได้ด้วยตนเอง หลังจากท่านหญิงท่านสิ้นชีพิตักษัยเพื่อประเทศชาติไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า สถาปนาขึ้นเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต เพื่อตอบแทนคุณความดีของพระองค์ท่าน (เมื่อวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๐)

ฅนเมืองพริบพรี
18-02-2010, 15:17
วันต่อไปจะเป็นบทสรุปส่งท้าย... จบแล้วครับ