เถรี
15-12-2009, 16:55
นั่งในท่าที่เราถนัด อย่าลืมว่าแม้จะอยู่ในท่าที่ถนัดก็ตาม เราต้องตั้งกายให้ตรงไว้ก่อน บาลีท่านบอกว่า อุชุ ํ กายํ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่นอยู่เฉพาะหน้า คือ กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเรา ให้อยู่กับลมหายใจเข้า...ลมหายใจออก แรก ๆ ก็ให้หายใจยาว ๆ ระบายลมหยาบออกไปก่อน หลังจากนั้นก็กำหนดความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป....ไหลตามลมหายใจออกมา พร้อมกับคำภาวนาหรือพร้อมกับภาพพระของเรา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ ถือว่ายังอยู่ในวาระวันเฉลิมพระชนม์พรรษาอยู่ เมื่อวานนี้เราก็ได้ตั้งใจปฏิบัติธรรม แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากข่าวที่ทุกท่านได้เห็น ก็จะเห็นได้ว่าพระพลานามัยของพระองค์ท่านนั้นไม่สู้จะแข็งแรงแล้ว ไม่สามารถที่จะนั่งทรงตัวตรง ๆ ได้เหมือนกับพวกเรา ไม่สามารถที่จะมีพระราชดำรัสยาว ๆ ได้
เราเห็นแล้วขอให้มองเข้ามาหาตัวเราด้วย ภาษาบาลีว่า โอปนยิโก น้อมเข้ามาข้างใน ก็คือ ดูเข้ามาที่ตัวเรา ว่าขณะนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชราภาพ พระชนมายุถึง ๘๒ พรรษาแล้ว เราก็จะเป็นอย่างนั้นเช่นกัน พระองค์ท่านเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็จะต้องเป็นอย่างนั้นเช่นกัน ถ้าหากว่าเรารู้จักดูและน้อมนำเข้ามาหาตัวเอง ก็จะเห็นจริง ๆ ว่าสภาพร่างกายของเรากับพระองค์ท่านก็ไม่ได้ต่างกัน มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และท้ายสุดก็สลายไป มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความหนาวความร้อน ความหิวกระหายเป็นปรกติ เหมือนกับพวกเรานี่เอง
เมื่อเห็นดังนั้นแล้วคิดเลยไปอีกนิดว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครูของพวกเรา เป็นผู้ทรงพระปัญญาธิคุณอันล้ำเลิศ สามารถตรัสรู้อริยสัจซึ่งเป็นธรรมที่ไม่มีใครรู้ได้มาก่อน พระองค์ท่านก็เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานไป ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว ผู้ที่ถือว่าเลิศยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งหมด เลิศกว่าเทวดา พรหมทั้งหมด คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่อาจจะล่วงพ้นจากความตายไปได้ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ที่ทรงเจริญพระชนมายุมา ๘๒ พรรษาเต็ม เริ่มก้าวเข้าสู่ ๘๓ พระองค์ท่านก็มีสภาพเช่นเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ท้ายสุดก็จะสวรรคตเช่นกัน เมื่อบุคคลที่ทรงความดีเห็นปานนั้น ท้ายสุดก็ไม่อาจล่วงพ้นความตายไปได้ แล้วตัวเราทั้งหลายจะล่วงพ้นความตายไปได้อย่างไร ?
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ ถือว่ายังอยู่ในวาระวันเฉลิมพระชนม์พรรษาอยู่ เมื่อวานนี้เราก็ได้ตั้งใจปฏิบัติธรรม แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากข่าวที่ทุกท่านได้เห็น ก็จะเห็นได้ว่าพระพลานามัยของพระองค์ท่านนั้นไม่สู้จะแข็งแรงแล้ว ไม่สามารถที่จะนั่งทรงตัวตรง ๆ ได้เหมือนกับพวกเรา ไม่สามารถที่จะมีพระราชดำรัสยาว ๆ ได้
เราเห็นแล้วขอให้มองเข้ามาหาตัวเราด้วย ภาษาบาลีว่า โอปนยิโก น้อมเข้ามาข้างใน ก็คือ ดูเข้ามาที่ตัวเรา ว่าขณะนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชราภาพ พระชนมายุถึง ๘๒ พรรษาแล้ว เราก็จะเป็นอย่างนั้นเช่นกัน พระองค์ท่านเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็จะต้องเป็นอย่างนั้นเช่นกัน ถ้าหากว่าเรารู้จักดูและน้อมนำเข้ามาหาตัวเอง ก็จะเห็นจริง ๆ ว่าสภาพร่างกายของเรากับพระองค์ท่านก็ไม่ได้ต่างกัน มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และท้ายสุดก็สลายไป มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความหนาวความร้อน ความหิวกระหายเป็นปรกติ เหมือนกับพวกเรานี่เอง
เมื่อเห็นดังนั้นแล้วคิดเลยไปอีกนิดว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครูของพวกเรา เป็นผู้ทรงพระปัญญาธิคุณอันล้ำเลิศ สามารถตรัสรู้อริยสัจซึ่งเป็นธรรมที่ไม่มีใครรู้ได้มาก่อน พระองค์ท่านก็เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานไป ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว ผู้ที่ถือว่าเลิศยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งหมด เลิศกว่าเทวดา พรหมทั้งหมด คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่อาจจะล่วงพ้นจากความตายไปได้ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ที่ทรงเจริญพระชนมายุมา ๘๒ พรรษาเต็ม เริ่มก้าวเข้าสู่ ๘๓ พระองค์ท่านก็มีสภาพเช่นเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ท้ายสุดก็จะสวรรคตเช่นกัน เมื่อบุคคลที่ทรงความดีเห็นปานนั้น ท้ายสุดก็ไม่อาจล่วงพ้นความตายไปได้ แล้วตัวเราทั้งหลายจะล่วงพ้นความตายไปได้อย่างไร ?