PDA

View Full Version : เมาอยู่ในสมาธิ ๒๓ ปี และอยากตายเป็นตัณหา


ลัก...ยิ้ม
13-11-2009, 08:27
เมาอยู่ในสมาธิ ๒๓ ปี เพราะอนาคามีมรรค

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๖ หลวงพ่อท่านฤๅษี ท่านเมตตามาสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้

ต้นเหตุแห่งธรรมเรื่องนี้เกิดจาก เพื่อนของผมท่านยกเอาเรื่องของหลวงพ่อที่ท่านเล่าไว้ในอดีตว่า ท่านเมาอยู่ในสมาธิมา ๒๓ ปี เอาธรรมจุดนี้มาใคร่ครวญในปัจจุบันด้วยปัญญา ก็พบความจริงว่า ขนาดหลวงพ่อยังต้องใช้เวลาถึง ๒๓ ปี กว่าจะชนะกิเลสได้เด็ดขาด (ตัดสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ได้ขาด) แล้วเราเล่าจะต้องใช้เวลาขนาดไหน ยิ่งมีอารมณ์ใจร้อนอยากจะบรรลุเร็ว ๆ อยากมีฤทธิ์มีเดช อยากเด่นอยากดัง ล้วนอยากเลวทั้งสิ้น หรือล้วนเป็นตัณหา เป็นสมุทัย เป็นต้นเหตุให้จิตขยันหาทุกข์เพิ่มทุกข์ ยึดทุกข์ให้เพิ่มมากขึ้นทั้งสิ้น เมื่อเริ่มต้นผิดเป็นมิจฉามรรคแล้ว ผลมันจะเกิดได้อย่างไร เมื่อฟุ้งซ่านมาถึงจุดนี้ หลวงพ่อท่านก็เมตตามาสอนให้ว่า

๑. “เออ รู้ตัวไว้บ้างก็ดี แต่ไม่ใช่รู้แล้วปล่อยกรรมฐานให้หลุดไปจากใจ ไอ้ที่จะค้างเติ่งอยู่นาน ก็ตรงอนาคามีมรรคนั่นเอง ไม่ค่อยจะมีใครได้เร็ว ตัดรัก ตัดโกรธ มันต้องใช้ความเพียรสูง ถ้าใจมันสู้เสียอย่างเดียว อารมณ์ไหนมาปะทะ ไม่ถอย ตั้งหน้าลุยมันไปข้างหน้าลูกเดียว”

๒. “จับหลักพรหมวิหาร ๔ ไว้ให้มั่น เอามาคิดพิจารณาให้ครบทั้ง ๔ ตัว วางอารมณ์ของใจไว้ให้ถูก ในขณะจิตถูกกระทบด้วยอารมณ์นั้น ๆ ค่อย ๆ กำราบมันไป เอ็งเกิดได้ข้าก็หักล้างเอ็งได้ ชนะบ้าง แพ้บ้าง ก็ให้รู้ว่าชนะหรือแพ้ แต่ขอให้ได้ชื่อว่าต่อสู้กับมันสุดกำลังใจก็แล้วกัน”

๓. “แพ้รู้ ชนะรู้ แต่คำว่าท้อถอยไม่มีอยู่ในใจ แพ้เวลานี้โอกาสหน้าเราสู้ใหม่ สู้มันเข้าไปทุก ๆ เวลา เขาต้องทำกันอย่างนี้ จึงจะเอาชนะอารมณ์รัก อารมณ์โกรธได้” (ก็คิดว่าที่ตนแพ้อยู่เสมอ ๆ คือ อารมณ์คิดถึงหลวงพ่อ)

๔. “ก็อารมณ์รักนั่นเอง เอ็งมันหลงเปลือกของพ่อ ก็ต้องตัดด้วยพรหมวิหาร ๔ กับกายคตาและมรณาและอสุภะ นึกถึงสภาพร่างกายว่าไม่เที่ยงนะลูก” (ก็คิดว่า มันทำไม่ได้นาน แล้วมันก็กลับมาเกาะใหม่)

ลัก...ยิ้ม
13-11-2009, 08:31
๕. “เกาะอย่างนั้น มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์” (ตอบว่าเป็นทุกข์) “เมื่อรู้ว่าทุกข์ก็ต้องเลิกเกาะ พยายามวางเฉยในเรื่องที่รู้ทั้งหมด ปล่อยให้กาลเวลาพิสูจน์ธรรม ถ้าปล่อยให้อารมณ์จมอยู่อย่างนี้ จะมีประโยชน์อะไร”

๖. “อย่าลืมนะ มันเป็นความเศร้าหมองของจิตที่จะต้องหมั่นลบล้างออกไป จิตของพ่อตั้งมั่นอยู่ที่นิพพาน แต่ถ้าเอ็งตายในขณะที่จิตเศร้าหมองอยู่อย่างนี้ เอ็งก็จะไปสู่อบายภูมิแทน อย่างนี้แล้วจะพบกันได้อย่างไร”

๗. “อุตส่าห์สอนเอ็งแทบตาย ก็ยังเอาดีไม่ได้ ต้องพยายามตัดอารมณ์เกาะร่างกายของพ่อลงเสียให้ได้ ใช้สัจธรรม ๕ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา ทุกสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยง แล้วเอ็งจะมายึดอยู่เพื่อประโยชน์อะไร”

๘. “เอ็งไม่หวังมาเกิดอีก ก็ต้องคิดให้เป็น อย่าทำตัวเป็นคนโง่ ปล่อยให้อารมณ์ฝืนกฎธรรมชาติมันมาหลอกเอา จมทุกข์อยู่อย่างนี้ทั้งปีทั้งชาติ ก็เอาดีไม่ได้”

๙. “อย่าลืม พ่อสอนมาตลอดว่า ห้ามยึดขันธ์ ๕ ห้ามเกาะเสียง ให้ยึดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามพระธรรมนั้น ถ้ายังยึดเกาะขันธ์ ๕ กับเสียงอยู่ ถือว่าเจ้าขัดคำสั่งของพ่อและของพระพุทธเจ้าด้วย อย่าลืมพระองค์สอนให้ละ ปล่อย วางขันธ์ ๕ เวลานี้เอ็งประพฤติปฏิบัติผิดแนวคำสอนของพระองค์”

๑๐. “อยากหมดทุกข์ก็ต้องทำตามคำสั่งสอนของท่าน ถ้าอยากจมทุกข์ก็จงเกาะขันธ์ ๕ ของพ่อต่อไป ทุกอย่างต้องใช้ปัญญาพิจารณาช่วยตนเองทั้งนั้น ถ้าช่วยตนเองไม่ได้ คนอื่นก็ช่วยไม่ได้”

ลัก...ยิ้ม
13-11-2009, 08:33
หลวงพ่อท่านฤๅษี ท่านเมตตาสอนเรื่อง อยากตายเป็นตัณหา(ต้นเหตุเพราะมีพวกเราท่านหนึ่ง คิดอยากตายเพื่อจะได้พ้นกฎของกรรมเสียที) หลวงพ่อท่านจึงมาสอนว่า

“ถ้าอยากตายแบบนี้ รับรองไม่ได้ตายนะ คนยังมีความอยาก ไม่ว่าอยากอะไร รวมทั้งอยากเป็นอยากตาย รับรองว่ายังไปพระนิพพานไม่ถึง เพราะอารมณ์นั้นมันเป็นอารมณ์ของตัณหา ไม่ใช่อารมณ์สังขารุเบกขาญาณ อันเป็นอารมณ์วางเฉยของพระอรหันต์ที่เตรียมตัวเข้าพระนิพพาน รู้ไว้ด้วยจะได้ไม่คิดโง่ ๆ อีก”

ลัก...ยิ้ม
13-11-2009, 08:35
จากหนังสือ ธรรมะหลวงพ่อและธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน