PDA

View Full Version : การบวงสรวง การตั้งศาล


นางมารร้าย
20-10-2009, 13:36
:d16c4689: มาแล้วค่ะ รีบไปปั่นต้นฉบับแทบตาย เบื้องต้นนี่กรุณาอย่าเพิ่งคัดลอกไปเผยแพร่ที่ไหนนะคะ จนกว่าท่านผู้รู้ท่านจะอนุญาต แล้วนางมารร้ายจะมาบอกอีกทีว่าสมบูรณ์แล้วค่ะ

นางมารร้าย
20-10-2009, 13:45
รูปร่างและขนาด
ทางครูบาอาจารย์ของเรา ไม่ได้ระบุความกว้างยาวเอาไว้ แต่ไปศึกษาเพิ่มเติมภายหลังได้ความว่า ความกว้างยาวไม่ควรต่ำกว่าด้านละ ๑ คืบ แต่ความสูงต้อง “เพียงตา”

หรือเอาแบบวัดท่าขนุนที่พระอาจารย์ท่านสร้างเป็นหลังใหญ่เพื่อใช้เป็นที่อาศัยนอนของทั้งพระและฆราวาสได้เลย แต่ห้ามมีส้วมในนั้น

ศาลพระภูมิเจ้าที่ใช้เสาต้นเดียว ศาลอากาศเทวดาใช้ ๔ เสาขึ้นไป
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=19845&stc=1&d=1370502687 http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=19846&stc=1&d=1370502687


ตำแหน่งการตั้งศาล
ศาลพระภูมิควรตั้งไว้ทิศเหนือกับทิศตะวันออกของตัวบ้าน หรือตะวันออกเฉียงเหนือ หน้าบ้านหันทิศไหนก็ช่าง ยืนในตัวบ้านแล้วถือเข็มทิศดู ว่าทิศไหนอยู่ไหน แล้วกำหนดทิศตามนั้น หลวงปู่ฤๅษีท่านบอกว่า ถ้าตั้งทิศตะวันตกจะฉิบหาย (ถึงตายเชียวนะ) ถ้าตั้งทิศใต้ เงินทองจะไหลออกหมด

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=19847&stc=1&d=1370510615
ตัวบ้านสีแดง บริเวณที่เหมาะกับศาลพระภูมิคือบริเวณสีเขียว

ส่วนศาลอากาศเทวดา พระอาจารย์เล็กไม่ค่อยแนะนำให้ตั้ง แต่ถ้าตั้ง ท่านแนะนำทิศใต้และทิศตะวันตก ไปกราบถามหลวงปู่สุพัฒน์ ท่านก็ว่าถ้าตั้งศาลเดียว ให้เอาศาลพระภูมิไว้ก่อน เพราะอากาศเทวดาท่านไม่ค่อยอยู่หรอก เขตดูแลท่านกว้างมาก

หากจำเป็นต้องตั้งคู่กัน (หาทิศเอาเองเน้อ น่าจะเน้นทิศของพระภูมิมากกว่า) หลวงปู่ฤๅษีฯบอกว่าต้องตั้งให้ศาลอากาศเทวดาสูงกว่าศาลพระภูมิอย่างน้อย ๑ เซ็นติเมตร (หนึ่งข้อนิ้วเรา)

แต่ถ้าจะตั้งศาล ๔ เสาอย่างเดียวไม่ตั้งศาล ๑ เสา ก็ต้องแน่ใจจริง ๆ ว่าบริเวณนั้นมีอากาศเทวดาเป็นผู้ดูแลแทนพระภูมิ

หากบ้านไม่มีบริเวณนอกชายคา ก็หาตำแหน่งตั้งศาลในบ้าน บนดาดฟ้าก็ดี บางรายเทวดามาบอกให้ตั้งที่หัวนอน บางรายเช่าห้องเขาไม่สามารถตั้งได้ หลวงปู่ฤๅษีฯแนะนำให้ระลึกถึงและบอกกล่าวให้ท่านโมทนาบุญที่เราทำให้เสมอ ๆ

ส่วนหน้าศาล จะ “หัน” ไปทางทิศใดก็ได้ ให้สะดวกในการบูชาของเรา

นางมารร้าย
20-10-2009, 13:52
บายศรี
การบวงสรวงตามสายของหลวงปู่ปาน – หลวงปู่ฤๅษีฯจะมีบายศรีใหญ่ตรงกลาง เรียกบายศรีต้น และมีบายศรีปากชามวางรอบสี่ทิศเพื่อไหว้ท้าวมหาราช

บายศรีต้น หากใช้ไหว้พระ มักจะใช้บายศรีลูกเก้า (บายศรี ๑ ตัวจะเย็บเป็นเก้ากลีบใบตอง เรียกว่าลูกเก้า) จำนวนชั้นในต้นบายศรีนั้น หากเป็นพิธีใหญ่เรื่องใหญ่ เช่นบวงสรวงขออนุญาตสร้างโบสถ์ มักใช้จำนวนเก้าชั้น หากพิธีเล็ก หรือเกรงใจญาติโยมอย่างพระอาจารย์เล็ก ท่านก็มักจะใช้สามชั้นเป็นอย่างน้อย ขยันหน่อยก็ห้าชั้น และเจ็ดชั้น บนยอดบายศรีต้น ใช้ธูปเทียนประดับดอกไม้หลากสี


http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=19840&d=1370426695
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=19825&stc=1&d=1370420914
บายศรีลูกเจ็ด
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=19839&d=1370426695
บายศรีต้น ๓ ชั้น


ส่วนบายศรีสี่ทิศ ใช้บายศรีปากชาม เพื่อไหว้ท่านท้าวจาตุมหาราชในทิศทั้งสี่ ใช้บายศรีลูกเจ็ด (ซึ่งเป็นการว่าตามตำรา แต่คณะบายศรีนำโดยป้าแจ๊ดเย็บลูกเก้าหมดไม่ว่าบายศรีต้น หรือบายศรีปากชาม) มักทำชั้นเดียว ตรงกลางเป็นกรวยใบตองใส่ข้าวปากหม้อ แล้วใช้ไข่ต้มเสียบไว้ยอดกรวย
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=19828&stc=1&d=1370421411 http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=19827&d=1370426695


หากไปซื้อที่ปากคลอง เขาจะมีให้เลือกสำหรับ ไหว้พระ ไหว้พรหม หรือไหว้เทพ ถ้าไหว้เทพนี่จะเย็บใบตองลูกเจ็ด ทั้งหมด ๓ ตัว มีกรวยตรงกลาง (ต้องเอามารื้อกรอกข้าวปากหม้อเอาเอง) เหมือน ๆ ที่ทางเราทำกัน

แต่บายศรีไหว้พระไหว้พรหมของปากคลองนี่ เขามักทำตัวบายศรีแค่ ๓ - ๔ ตัว ใน ๑ ชั้น ขณะที่ทางวัดท่าซุงมักใช้ชั้นละ ๕ ตัว (ถ้าจะเอา ๕ ตัวก็สั่งล่วงหน้าได้) ส่วนตัวบายศรีไหว้พระนี่มีลูกเก้าเหมือนกัน ไหว้พรหมเขาใช้ลูกสิบหก ซึ่งสายวัดเราไม่เคยเห็นใครใช้
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=19843&d=1370426720
บายศรีปากชามจากปากคลองตลาด
เอามาเปลี่ยนยอดเป็นไข่ต้มได้
บางคนรื้อมากรอกข้าวปากหม้อใส่กรวยไม่ไหว ก็เลยเอาข้าวใส่ชามมาวางข้าง ๆ แทน



แต่ถึงที่สุดหากหาไม่ได้ทำไม่เป็น..บ้อท่ามาจริง ๆ ท่านก็ให้เอาใบตองมาพับซ้อน ๆ กันเป็นชั้น ๆ ให้ได้ก็แล้วกัน ที่วัดหนองบัวก็จัดว่าเข้าตำราสุดท้ายนี่ เพราะทำออกมาแล้วเหมือนหัวปลี..ก็ดีกว่าไม่มีแหละน่า

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=19844&d=1370426720
ไม่มีขาย ก็เอาใบตองมาพับ ๆ ประมาณนี้


การเย็บบายศรีแบบที่วัดท่าซุงนั้น เห็นป้าสุเรียกว่าบายศรีเทวฤทธิ์ คือเทวดามาสอนป้าชอป้าเชิญทำ พอท่านถ่ายทอดให้ป้าสุเสร็จ ทั้งสองท่านก็วางมือ หากใครอยากได้บายศรีและจัดบวงสรวงตามแบบวัดท่าซุง ก็สามารถติดต่อจ้างป้าสุ หรือทิดตั้น ได้ค่ะ

ส่วนบายศรีที่วัดท่าขนุนในงานเป่ายันต์เกราะเพชรนั้น ตอนหลังเป็นบายศรีแบบทางล้านช้าง...ก็อีสานบ้านเฮานั่นแหละค่ะ จำนวนลูก จำนวนตัว จำนวนชั้น มากมายนับไม่ถ้วนเลยค่ะ นำทีมโดยหลวงพี่จำเนียร หลวงพี่คมสัน (ร่วมด้วยหลวงพี่ฉลาด หลวงพี่สมเกียรติ) ท่านเป็นยอดฝีมือทางแถบนั้น บายศรีเลยอลังการงานช้างขึ้นทุกปี..ตามอารมณ์ศิลปิน

เว้นแต่บายศรีแล้ว จะอย่างไร ของบวงสรวงก็ยังคงตามแบบหลวงปู่ปาน - หลวงปู่ฤๅษีฯ อยู่ดีค่ะ

นางมารร้าย
20-10-2009, 14:01
การวางบายศรีและเครื่องบวงสรวง

ในชุดบวงสรวงใหญ่ วางบายศรีต้นอยู่ตรงกลาง วางบายศรีปากชามที่ทิศทั้งสี่ และต้องวางของบวงสรวงให้ถูกทิศถูกสี

ทิศเหนือ บูชาท่านท้าวเวสสุวรรณ ใช้ไก่ต้มทั้งตัว ดอกไม้แดง
ทิศตะวันออก ท้าวธตรฐ ใช้หัวหมู ดอกไม้เหลือง
ทิศใต้ ท้าววิรุฬหก ใช้หัวหมู ดอกไม้ม่วง (เห็นป้าสุว่าจริง ๆ เป็นสีน้ำเงิน แต่อนุโลมให้ใช้ดอกไม้สีม่วง)
ทิศตะวันตก ทัาววิรูปักข์ ใช้หัวหมู ดอกไม้ขาว
ประดับบายศรีปากชาม และหมูไก่ ด้วยดอกไม้สีประจำทิศนั้นด้วยจะดีมาก

ถ้าเป็นบวงสรวงเล็ก ๆ บูชาในบ้าน ท่านว่าให้ใช้หมูชิ้น (หนักไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโล) แทนหัวหมูก็ได้ เคยอ่านผ่านตาว่า..ถ้ายากจนมาก..ใช้สามชิ้นไม่ไหว..ใช้หมูชิ้นเดียวไก่หนึ่งตัวก็ได้

หากเป็นโต๊ะกลม ก็วางบายศรีปากชามให้ตรงทิศเป๊ะ ๆ ไปเลยก็ดี แล้ววางหัวหมูหรือไก่เรียงต่อไปทางซ้ายหรือขวาก็ได้ แต่ถ้าเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยม ก็พยายามวางบายศรีปากชามตรงมุมโต๊ะที่ตรงทิศที่สุด และหัวหมูหรือไก่เรียงไปในทิศที่ใกล้เคียง

ของบวงสรวงนอกนั้นจะเหมือนกันทั้งสี่ทิศ คือ ข้าวตอก ดอกไม้(สีตามทิศ) กล้วย ส้มโอ มะพร้าวอ่อน ขนมต้มขาว (แป้งข้าวเหนียวปั้นกลมไส้กระฉีก) ขนมต้มแดง (แป้งข้าวเหนียวปั้นกลมแบนคลุกกับหน้ากระฉีก)

กระฉีก – มะพร้าวทึนทึกขูด ผัดกับน้ำตาลปึก อบเทียนได้ก็จะอร่อยเหาะ ถ้าทำสำหรับปั้นไส้ ต้องเคี่ยวให้แห้งกว่าที่ใช้คลุก
กล้วย – เคยได้ยินป้าสุเปรย ๆ ว่าจริง ๆ แล้วเขาใช้กล้วยน้ำ หน้าตาเหมือนกล้วยน้ำว้า แต่ผิวเหลืองสวยมากแม้ยังดิบอยู่ (ดูรูปประกอบ) แต่มันหายากเลยอนุโลมให้ใช้กล้วยน้ำว้าแทน แต่ดูท่าทางพระอาจารย์แล้ว...ต่อให้มีกล้วยน้ำให้เลือกท่านก็คงเลือกกล้วยน้ำว้าดังเดิม
ขนมจีน - ถ้าตั้งบวงสรวงที่วัดท่าซุง จะมีขนมจีนน้ำพริกและน้ำยาเพิ่มเติม เพื่อบูชาหลวงปู่ขนมจีนที่วัด ถ้านอกวัดก็ไม่ต้อง
ปลาแป๊ะซะและถั่วลาชมาศ - สำหรับไหว้เจ้าที่ ปลาแป๊ะซะ (ปลาช่อนนึ่งธรรมดา..อย่าคิดมาก) ถั่วลาชมาศ (ถั่วเขียวเราะเปลือกคั่ว)
กระถางธูป เทียน – ส่วนใหญ่ตั้งไว้ทางทิศเหนือ ถ้าไม่ได้ก็ทิศตะวันออก เทียนคู่ปิดทองหรือไม่ก็ได้ กระถางธูปอยู่ระหว่างเทียน
หมากพลู ยานัตถุ์ – อันนี้เราจัดมาเพื่อหลวงปู่ฤๅษีฯ วางไว้ข้างกระถางธูป ยานัตถุ์ต้องยี่ห้อ “ลูกสาวหมอมี” นะ
กระดาษแดงรองหัวหมูและไก่ – เมื่อแรกใช้ หลวงปู่ฤๅษีฯท่านว่าเพื่อกันไฟไหม้ แต่ถ้าทาสีแดงทั้งไก่ทั้งหมู ท่านว่ากันวินาศภัย

ถ้ามีที่ ให้ตั้งโต๊ะเล็กที่หน้าศาลเจ้าที่เพื่อของไหว้เจ้าที่โดยเฉพาะ ได้แก่ บายศรีเล็ก(บายศรีต้นเล็กหรือปากชามก็ได้) ปลาแป๊ะซะ ถั่วลาชมาศ ผลไม้...ส้มโอ กล้วย มะพร้าว..อีก ๑ ชุด ที่จุดธูปเทียน แล้วเวลาบวงสรวง ให้จุดธูปเทียนไหว้เจ้าที่ก่อน บอกกล่าวท่าน แล้วจึงค่อยจุดธูปเทียนเริ่มบวงสรวงที่ชุดใหญ่ เพราะถ้าท่านท้าวจาตุมหาราชมาท่านตำแหน่งน้อยกว่า จะอยู่รับบริเวณนั้นไม่ได้

แต่ถ้าไม่มีที่วางโต๊ะเล็กแยกบูชาพระภูมิเจ้าที่ ก็เอาแค่ปลากับถั่ว ๒ อย่างเท่านั้น วางรวมเพิ่มในโต๊ะบวงสรวงใหญ่นั่นแล

นางมารร้าย
20-10-2009, 14:11
ฤกษ์บวงสรวง
เวลาบวงสรวง ควรเป็นตอนเช้าไม่เกินสาย เพราะตอนเที่ยงเทวดาไปประชุมหมดแล้ว

ส่วนวัน เรามักใช้ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ โดยนิยมฤกษ์ “สามดาว” กัน แล้วเลือกวันแตกต่างกันไปตามงาน คือ..

บวงสรวงตั้งศาล ท่านว่าวันพฤหัส ข้างขึ้นเหมาะสมดี
บวงสรวงทำบุญบ้าน นิยมวันศุกร์ข้างขึ้นมากที่สุด (ถ้าตรงกับเดือนคู่ก็นิยมใช้เป็นฤกษ์แต่งงานด้วย) ท่านว่ามันคล้องกับคำว่า “สุข” หลีกเลี่ยงวันอาทิตย์ เพราะมันร้อน
บวงสรวงเปิดร้าน ท่านว่าให้ใช้วันจันทร์ หลีกเลี่ยงวันศุกร์
วันเสาร์ ๕ เป็นวันดีใช้สำหรับปลุกเสกวัตถุมงคลเท่านั้น อย่าริอ่านไปทำการมงคลอื่นใด เพราะมันจะแรงเกินไป ถ้าแต่งงานก็มีหวังได้ตีกันหัวร้างข้างแตก (แต่งงาน เลี่ยงวันเสาร์ และอังคาร)

ดำเนินการบวงสรวง
ใช้เปิดเทปหลวงปู่ฯเอา คือเมื่อได้เวลาก็จุดธูปเทียน ตั้งนโมฯสามจบ อาราธนาขอบารมีพระพุทธเจ้าก่อน แล้วก็เปิดเทปบวงสรวง น้อมใจอัญเชิญท่านท้าวมหาราช หรือจะว่าเอาเองก็ได้ เสร็จแล้วรอจนธูปเทียนดับ (ถ้ามีเวลา) ค่อยลาเก็บเครื่องบวงสรวง

นางมารร้าย
20-10-2009, 15:34
:d16c4689: เรื่องการบวงสรวงนั้นเป็นประสบการณ์ตรงค่ะ เพราะท่านแม่เป็นคนหนึ่งในทีมงานบายศรีของป้าสุ สมัยที่หลวงปู่ฤๅษีฯยังอยู่ จนตอนนี้ป้าสุไปประจำที่วัดเขาวงแล้ว ท่านแม่ข้าเจ้าก็วางมือแล้ว

รายละเอียดที่มาที่ไปอีกหลาย ๆ อย่างก็ได้มาจากการซักถามพระอาจารย์เรานี่แหละค่ะ และก็อ่านหนังสือเพิ่มเติมของหลวงปู่ฤๅษีฯด้วย เห็นว่าน่าสนใจและสนุกดี เลยคัดลอกเอามาเพิ่มเติมให้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

นางมารร้าย
20-10-2009, 15:35
ศาลพระภูมิ
สำหรับพระแม้ในป้จจุบัน ก็มีหลายท่านด้วยกันที่โจมตีพระภูมิ หาว่าการตั้งศาลพระภูมิไม่เป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็มีอนุศาสนาจารย์ของกองทัพบกท่านหนึ่ง ท่านเคยออกอากาศเมื่อสมัยที่เป็นร้อยตรี เคยโจมตีพระภูมิเหมือนกัน แล้วต่อมาเห็นคุณค่าของพระภูมิ เวลานี้เลยเป็นหมอตั้งศาลพระภูมิไป อันนี้ ผลอย่างนี้จะปรากฏขึ้นเพียงใด ก็เป็นเรื่องของท่านผู้อ่านหรือท่านผู้ฟังให้ค่อย ๆ พิจารณากันไปเอง

สำหรับพระภูมินี้ อาตมาเองผู้พูด แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ค่อยจะเชื่อเหมือนกัน แล้วก็เป็นเอามาก ๆ ด้วย ทีนี้พระภูมิก็มาประสบเข้ากับตนเอง คือสมัยเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๒ ปีนั้นไปรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ในตอนต้นที่อาตมาไปถึง กุฏิของหลวงพ่อปานไม่มีพระอยู่ ก็ไปเรียนถามหลวงพ่อเล็ก อาจารย์ฉัตร ในสมัยนั้นที่เป็นพระอาวุโสและทรงพระกรรมฐานอย่างเลิศ คำว่าเลิศนี่เลิศในคณะ ไม่ใช่เลิศสำหรับคนอื่น ในกลุ่มนั้นท่านเลิศ ถามว่าทำไมไม่อยู่กุฏิของหลวงพ่อปาน นิมนต์ท่านไปอยู่ ท่านบอกว่าท่านไม่รับรอง ท่านไม่ยอม
ไปอยู่ ถ้าหากว่าท่านไปอยู่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นใครจะช่วยเหลือท่าน

เมื่อหาพระไปอยู่ไม่ได้ อาตมาเคยเป็นลูกศิษย์มา ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นถ้าไม่มีคนอยู่ผมจะอยู่เอง ตอนเย็นก็หอบเสื่อหอบหมอนเข้าไปไม่มีอะไรมาก แบบเจ๊กมาจากเมืองจีน มีหมอนลูก เสื่อผืน มุ้งหลัง

พออีตอนที่จะเข้าไปหลวงพ่อเล็กเห็นเข้าบอกว่า ทำไมไม่บวงสรวงขออนุญาตเสียก่อน ก็เลยบอกว่าสมัยก่อนผมนอน ผมไม่ได้บวงสรวงผมก็นอนได้ มาอีตอนนี้ผมไปนอนอีกจะต้องบวงสรวงก็เห็นจะไม่เป็นเรื่องละ ไม่ยอมบวงสรวง มันจะเป็นไร ก็อยากจะรู้กันสักที วัดนี้เขามีความสำคัญมากแค่ไหน ผมไม่เคยรู้ รู้บ้างก็ไม่หนักนัก เป็นแต่เพียงผีหลอก ถือกันสมัยก่อนก็ไม่เห็นเป็นเรื่องหนัก

หลวงพ่อเล็ก ท่านก็ไม่ว่าอะไร ก็ไอ้คนมันบ้า ๆ บอ ๆ เสียแล้วนี่ จะไปว่าอะไรกันได้ ท่านก็นิ่ง เมื่อท่านนิ่งก็เลยเดินเข้าไป ทำความสะอาดพอสมควร มันก็ไม่สะอาดนัก แหวก ๆ ที่นอนเอา จัดที่นอนภายในห้อง ในกุฏินั้นเป็นกุฏิฝาเฟี้ยมปิดตลอด แต่มีกั้นในอยู่ ๑ ห้อง คือห้องที่หลวงพ่อปานเคยจำวัด

เดินเข้าไปจัดสถานที่เรียบร้อยแล้ว ประมาณ ๒ ทุ่มก็ออกมาบูชาพระที่หน้าพระ ก็อยู่ภายในประตูปิดเหมือนกัน ขณะที่บูชาพระตั้งนะโม ปรากฏว่ากุฏิห้องที่นอนอยู่นั้นแหละ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใคร มีลูกกรงเหล็กเข้าไม่ได้ เสียงประตูเปิดอ๊าด ดังสนั่น แล้วก็มีคนเดินขย่ม ไม้หนามากนะ ความจริงคนเดินยังไม่ค่อยจะยุบตัวเลย คนเดินไม้สะเทือนกุฏิหวั่น แสดงว่ามีน้ำหนักมาก

ขณะนั้นกำลงตั้งใจจะบูชาพระ หลับตาอยู่ เห็นคนนุ่งขาวห่มขาวมือสีแดง มือขวามีสีแดงจัด ยืนอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร ลืมตาขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่เทียนจุดสว่างอยู่หลายเล่มก็เห็นเป็นคน หลับตาก็เห็น ก็นึกในใจว่า เอ๊ะ! มันคนอะไรของมัน ไอ้คนตามธรรมดาลืมตาเห็นได้ หลับตาไม่เห็น แต่อีตาคนนี้ลืมตาก็เห็นหลับตาก็เห็น ก็เลยถามว่าแกเป็นใคร

เขาก็รายงานบอกว่า ผมคือภูมิเทวดา หรือพระภูมิรักษาพื้นที่ของวัดนี้ ถามว่ามาทำไม แกก็บอกว่าจะมาเตือนท่าน ท่านเป็นเจ้าอาวาส ทำไมจึงไม่ตั้งศาล ศาลพระภูมิ ก็เลยบอกแกว่า ศาลหน้าวัดข้างศาลาน่ะเยอะแยะ ใครเขาเป็นเจ้าอาวาสคนนั้นเขาก็ตั้งศาลกัน ที่วัดนี้โดยมากเจ้าอาวาสมีชีวิตไม่ยาว หลายองค์มาแล้ว เป็น ๒-๓ ปีก็ตาย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร หลวงพ่อปานเองท่านไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส ตอนหลังท่านรับตำแหน่งเจ้าอาวาส ๒ ปีก็มรณภาพ

ก็ถามว่า ทำไมไม่อยู่ล่ะ ศาลน่ะเยอะแยะไป เลือกเอาตามใจชอบ แกบอกว่าไม่ได้หรอก ท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านต้องตั้งใหม่ ถามว่าศาลเก่าน่ะอยู่ไม่ได้เรอะ แกก็เลยบอกว่าไอ้เรื่องตั้งศาลนี่ไม่ใช่ให้เป็นที่อยู่นะ ภูมิเทวดาเขามีวิมานเป็นที่อยู่ การตั้งศาลนี่นะ เป็นการแสดงว่ายอมรับนับถือซึ่งกันและกันเท่านั้นนะ หมายความว่าเป็นที่สักการะบูชา

นางมารร้าย
20-10-2009, 15:49
เมื่อแกบอกอย่างนั้น ก็เลยนึกในใจว่าแปลก เลยบอกกับแกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ยังไม่ตั้งหรอก ถ้าไม่ตั้งศาลจะมีอะไรเกิดขึ้น แกบอกว่าหลวงพ่อปานน่ะเป็นอาจารย์ท่านนะ ยังเคารพในผม แล้วท่านทำไมไม่เคารพล่ะ เราเกรงใจกันนะ ผมไม่ใช่บังคับให้ท่านมาเคารพผมหรอก แต่ว่าเกรงใจกัน อาศัยซึ่งกันและกัน ก็เลยบอกแกว่ายัง ยังไม่เกรงใจหรอก เพราะว่ายังไม่เห็นฤทธิ์เห็นเดชนี่ ไม่เก่งจริงก็เกรงใจไม่ได้ คนที่จะเกรงใจต้องเป็นคนเก่ง แสดงคุณค่าอย่างใดอย่างหนึ่งให้ปรากฏ

แกก็เลยบอก ได้..ถ้าต้องการอย่างนั้นละก็ได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ วันพรุ่งนี้เวลา ๕ โมงเย็น หากว่าท่านยังไม่ตัดสินใจจะตั้งศาล จมูกข้างซ้ายจะหายใจไม่ออก วันมะรืนนี้ห้าโมงเย็น ถ้าหากว่าท่านยังไม่ตัดสินใจที่จะตั้งศาล จมูกข้างขวาจะหายใจไม่ออกอีกข้างหนึ่ง ต่อไปก็ต้องหายใจทางปาก พอต่อไปวันมะเรื่อง ถ้าหากว่าท่านยังไม่คิดตั้งศาล หลอดลมจะใช้ไม่ได้ ลมจะไม่มีออกได้เลย ก็เลยบอกว่าตกลง ให้ความจริงปรากฏเสียก่อน ถ้ามีความจริงปรากฏจะยกศาลเรื่องเล็ก แต่ว่าถ้ายังไม่จริง ไม่ทำ

พอวันรุ่งขึ้นเวลาฉันข้าวเช้าหลวงพ่อเล็กก็ถามว่า เมื่อคืนนี้พระภูมิเขาไปหาใช่ไหม แหมท่านรู้เสียด้วย แบบหลวงพ่อปาน ก็บอกว่าใช่ ตกลงกับเขาว่าอย่างไร ก็เลยเล่าให้ท่านฟัง ท่านบอกว่า เขาเอาจริงนะ หลวงพ่อปานก็เกรงใจเขา ฉันเองก็เกรงใจเขา เขามีอานุภาพมาก มือขวาเขาแดงจัด ก็เลยกราบเรียนถามว่าพระภูมิมีมือแดงทุกองค์หรือ ท่านตอบว่ามี แต่ว่าองค์ไหนมีมือแดงจัดองค์นั้นมีอานุภาพมาก มีสีแดงน้อยมีอานุภาพน้อย ก็เลยบอกว่าลองก่อน ผมอยากจะลองดีเขา ถ้าเขามีดีจริงก็เคารพ

พอเวลา ๕ โมงเย็น ท่านผู้ฟัง หายใจไม่ออกจริง ๆ ตามธรรมดาเป็นหวัด ถ้าเราปิดข้างหนึ่งดันลมอีกข้างหนึ่งมันออกง่าย แต่อันนี้ไม่ยอมออกทั้งหมด แน่นจริง ๆ พอรุ่งขึ้นวันที่ ๒ ข้างขวาล่อเข้าอีก ตอนนี้เป็นยังไงกลายเป็นหนุมานไปเลย อ้าปากหวอ หายใจทางปากยอมแพ้ เลยใช้เด็กให้ไปบอกตาโต๊ะเขา บอกแล้วนี่ว่า
คนยกศาลต้องตาโต๊ะคนเดียว คนอื่นยกไม่ได้ เขาไม่ยอมรับนับถือ เพราะกินเหล้าเมายา ก็จดหมายไปบอกให้ตาโต๊ะไปยกศาล

แต่พอเด็กไปเรียกตาโต๊ะ แกอยู่บ้านไกลประมาณสักกิโล ไปเรียกบอกว่าท่านมหาให้เอาจดหมายมาให้ แกก็ร้องออกมา ไม่ต้องหรอกรู้แล้ว จะตั้งศาลรึ รู้แล้ว ไปบอกท่านมหาเถอะว่าศาลนี้กำลังทำ พรุ่งนี้จะเอาไป ให้ไปรับรองเขาเมื่อจะตั้งก็แล้วกัน เมื่อคืนนี้เขามาบอกแล้วว่าแพ้เขาน่ะ เป็นอันว่ารู้เรื่องกัน พอรุ่งขึ้นเช้าโยมโต๊ะก็มาตั้งศาลให้ตามพิธีกรรมที่หลวงพ่อปานสอน เรื่องก็เป็นอันว่าเสร็จกันไป

สายท่าขนุน
20-10-2009, 15:51
สงสัยตรงถั่วลาชมาศ ที่ไม่เคยเห็นว่าต้องเราะเปลือก
(แม้แต่ครั้งที่เห็นที่โต๊ะฝีมือโยมสุของหลวงตา)
ขอความรู้ที่ถูกต้องด้วย:onion_love:
อีกเรื่องคือ กล้วยบนโต๊ะบวงสรวง ให้ใช้กล้วยสุก ห้ามใช้กล้วยดิบ
มะพร้าวอ่อนให้เปิดฝา
และความรู้ล่าสุดคือ หากจะปิดทองที่เทียน ให้ใช้ตั้งแต่ ๓ แผ่นขึ้นไป
ข้าวปากหม้ออาจใส่ชามวางข้างบายศรีพร้อมแก้วน้ำ
หากผิดพลาดไป รบกวนช่วยให้ความรู้ที่ถูกต้อง:onion_wink:

นางมารร้าย
20-10-2009, 15:59
การตั้งศาลพระภูมิ
ผู้ถาม : เรื่องตั้งศาลพระภูมิ ขอให้หลวงพ่อแนะนำหน่อยค่ะ
หลวงพ่อ : พิธีกรรมฉันไม่มีกับเขาหรอก เพราะเรื่องนี้ฉันไม่ได้ศึกษากับใครเขา ถ้าเมื่อก่อนฉันตั้งให้ ฉันใช้เชิญท้าวมหาราช เพราะท้าวมหาราชท่านเป็นนายพระภูมิ เมื่อเชิญมาแล้วท่านก็สั่งให้ลูกศิษย์ท่านรักษา ดีกว่าเราขอร้อง ฉันทำแบบนี้

ตั้งศาลบนดาดฟ้า
ผู้ถาม : แล้วการตั้งนี่ ถ้าจะตั้งบนดาดฟ้านี่ สมควรไหมครับ?
หลวงพ่อ : คนตั้งไม่แน่ แต่พระตั้งได้ เพราะฉันเคยไปตั้ง ได้..ไม่เป็นไรนะ ฉันเคยไปตั้งเมื่อก่อนยังตั้งศาลอยู่ ก็ไปที่จังหวัดชัยนาท มันหาที่ไม่ได้ ที่ข้าง ๆ ที่ติดกับตึก ตึกเขาเป็นดาดฟ้านะ ไล่ไปไล่มาก็ถามเทวดา (ไปเชิญเทวดาชั้นจาตุฯ เป็นศาลสี่เสา) หาที่ไม่เหมาะก็ถามท่านเวสสุวัณว่า เอาตรงไหนดี ทานก็บอกว่า เอาบนหลังคาก็แล้วกัน ก็ให้เขาย้ายศาลขึ้นหลังคา

เป็นอันว่าพอเชิญท่านเสร็จ เขาหุ้นกับพวกตึกแถวนะ แถวเดียวกันนี่เข้าหุ้นกันได้ ขณะอัญเชิญท่านมา ท่านก็บอกว่า ที่นี่จะมีไฟนะ ไฟจะไหม้ บอกเจ้าของบ้านเขาด้วยนะ ประเดี๋ยวจะหาว่าผมไม่พูด ถ้าเป็นปกติแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ ถามท่านอีกที วิธีช่วยได้เป็นอย่างไร...ต้องถามท่าน ท่านบอกให้เขาทำอีกครั้งหนึ่ง ศาลไม่ต้องทำใหม่ แต่ของเชิญทำอีกครั้ง วันหลังก็ได้ หมูใช้สีแดงทา ไก่ก็เหมือนกันแล้วใช้กระดาษแดงใส่ถาดรองหมูรองไก่ เขาก็ทำตามนั้น

เมื่อเชิญท่านเสร็จ ท่านก็บอกว่า ไฟนี้ต้องไหม้นะ แล้วกัน! ถามว่าไหม้ที่ไหน ท่านบอก ไหม้ที่โรงแรม ถามว่าไหม้มากไหม ท่านว่าไหม้ผ้าริ้ว แต่ไม่ติดฝา แต่ต้องไหม้ ไง ๆ ก็ต้องไหม้ จะละเลยไม่ได้ ทีแรกจะต้องไหม้ทั้งหมดเลยนะ ไหม้หมดแถว

เขาก็ทำตามนั้น ฉันก็เลยให้เขาระวังกัน เป็นจริงตามนั้นไม่ถึง ๑๐ วัน ชั้นสองของโรงแรมมีไฟขึ้นมา เขาวิ่งไปดูกัน ไหม้ผ้าขี้ริ้วจริง ๆ แบบขโมยเข้าบ้านแล้วต้องเอาหน่อยใช่ไหม...ไม่งั้นเสียศักดิ์ศรีขโมย

ตั้งศาลพระภูมิเอง
ผู้ถาม : พวกลูก ๆ จะตั้งกันบ้างนี่ ขอบารมีหลวงพ่อช่วยแนะนำบ้างครับ
หลวงพ่อ : พวกนี้ช่วยเก็บบารมีไว้ซิ ทำไง...เอาอย่างนี้วิธีง่าย ๆ ใช้ "เทปบวงสรวง" ใช้ได้ นึกเอาตามนั้นนะ

อันดับแรกจุดธูปเทียน อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าก่อน ทีหลังก็เปิดเทป แล้วก็น้อมใจไปตามเสียงนั้นนะ ในเทปนั้นเขาอัญเชิญท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวเวสสุวัณ พร้อมด้วยอินทกะและบริวาร ขอมาช่วยคุ้มครองว่าเรื่อยเฉื่อยไปก็แล้วกัน แต่ว่าถ้าจะตั้งแบบนั้นยังมี ปลาแป๊ะซะ ๑ ตัว
เติมนะ เรื่องพระภูมิพอจะใช้ได้นะ ตั้งไว้เยอะแล้ว

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ หลังจากวันตั้งแล้วนี่นะครับ ปลาแป๊ะซะจะมีถวายอีกไหมครับ?
หลวงพ่อ : ท่านไม่ว่าหรอก เอาอย่างนี้ดีกว่า เวลาตรุษสารทนะ ถวายให้ครบถ้วนดีกว่านะ เพื่อความสบายใจของเรา คือว่าท่านไม่ทวงเราแน่ แเต่เพื่อความสบายใจของเราเอง เพราะเราทำครบแล้ว ใช่ไหม...เอาอย่างนั้นดีกว่านะ

ผู้ถาม : ของคาวและเหล้า ก็หมายถึงว่าสมควรตั้งอย่างเดียว อย่างหลังไม่ต้องตั้งใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อ : ถมเถิดไป ฉันก็เคยใช้ เทวดาไม่เคยต่อว่า ของคาวน่ะมีได้ แต่เหล้าไม่ควรจะมี เทวดาเขาเลิกแล้ว ไอ้ที่ต้องใช้เหล้าน่ะ เทวโด่ไม่ใช่เทวดา จริง ๆ นะ ฉันไม่ใช้เลยนะ

ผู้ถาม : ถ้าสมมติจะตั้ง ควรจะหันหน้าศาลไปทางทิศไหนครับ?
หลวงพ่อ : หน้าศาลเขาไม่จำกัด เอาแค่เราเข้าบูชาสะดวก แต่ว่าทิศที่ตั้งศาลนี่ จำกัด ที่ว่าพระภูมิก็ไม่สมควรตั้งทิศตะวันตก ถ้าตั้งทิศตะวันตกเอาจริง ๆ หลวงพ่อปานท่านเคยบอกว่า ทิศนี้ฉิบหายแล้วตายโหง ฉันเคยไปพบจังหวัดอุทัยธานีกับจังหวัดชัยนาทเป็นความจริงตามนั้น เศรษฐีนะพังไป ๒ ราย และพังในเหตุที่ไม่ควรจะพัง ไม่น่าจะพัง และอีกทิศหนึ่งก็ทิศใต้ไม่ควรตั้งนะ

ทิศใต้นี่ก็เป็นแต่เพียงท่านบอกว่า จะเก็บสตางค์ไว้ไม่อยู่ ทิศที่ควรตั้งคือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือทิศเหนือ หรือทิศตะวันออก ๓ ทิศนี่นะ แต่ว่าถ้าบ้านมีดาดฟ้า ตั้งดาดฟ้าเลยดีกว่า สบายใจนะ

ผู้ถาม : หมายถึงส่วนของดาดฟ้านี่นะครับ เราก็ตั้งช่วงที่อยู่ด้านทางทิศตะวันออก
หลวงพ่อ : ใช่ ๆ ให้ถูกทิศ

ผู้ถาม : หันหน้าไปทางไหนก็ได้ ใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อ : หันหน้าไม่จำเป็น หันหน้าแค่เราบูชาได้สบายนะ แต่ว่านึกถึงตำรา แต่มันก็ไม่มีตำราเขียน หลวงพ่อปานท่านเคยสั่ง ก็เลยบอกคนเขาเขียนไว้ พอถึงปีจริง มีเรื่องตัวเองก็ต้องตาย เงินทองก็เสียหายมาก เสียหายอย่างมากเลยนะไม่ใช่อย่างน้อย

นางมารร้าย
20-10-2009, 16:16
วันและเวลาที่เป็นมงคล

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ เวลาเช้าจะยกศาลดีไหมครับ?
หลวงพ่อ : ตั้งศาลก็อย่าให้ถึงเที่ยงนะ ตั้งแต่เวลาเช้าอย่าให้ถึงเที่ยง ใช้เวลาตั้งแต่เช้าไปถึงสายดีกว่า ถ้าถึงเที่ยงเทวดาไปประชุมหมด ความจริงภูมิเทวดาตั้งก็มีผล คำว่า "มีผล" เขามีกันมาแล้วนะ

ผู้ถาม : วันที่เป็นมงคล ควรจะเป็นวันไหนครับ?
หลวงพ่อ : วันที่มีหมู มีไก่ มีบายศรี มีไข่ มีข้าว มีกล้วย มีมะพร้าวอ่อน ส้มโอ มีขนมต้มแดงต้มขาว ข้าวตอกดอกไม้...เสร็จ มีศาล มีคนตั้ง วันนี้เป็นมงคล เอาอย่างนี้สิ เอาฤกษ์พรหมประสิทธิ์ ต้องหาประจำปี เอาฤกษ์หลวงพ่อปานก็ได้ ต้องนั่งไล่เบี้ย ไม่ได้ทำตารางไว้นี่ เอางี้ดีกว่า ฤกษ์ไหนที่เขาว่าดี ที่เราชอบใจ เราชอบใจฤกษ์ที่เขามีอยู่ วันไหนที่เขาว่าดี ทำวันนั้นนะจะไม่ลำบากใจ

ผู้ถาม : ดูตามตำราใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อ : ใช่...ดูตามตำรา คือว่าถ้าเราฝืนตำรา เดี๋ยวคนโน้นพูด คนนี้พูดฝืนตำรา ไม่ทำตามตำรา วันนี้ไม่ดีไม่เป็นมงคลบ้าง...อะไรนี่ ยุ่งไปใจไม่สบาย

ตั้งศาลไว้ในบ้าน
ผู้ถาม : ถ้าตั้งไว้ในบ้านเลยนี้ได้ไหมครับ?
หลวงพ่อ : ไม่เป็นไร ๆ ที่คุณถามนี่ดี มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันยังตั้งศาลอยู่นะ เจ๊กที่จังหวัดอุทัยธานี แกก็นิมนต์ไปตั้งศาล พอไปถึงบ้านแล้วก็หาที่ตั้งไม่ได้ ร้านค้าในตลาดนี่นะ ด้านหลังมันชนกัน เรียกว่าเป็นห้องแถวทั้งสองด้านนะ สมัยก่อนเขามุงจากมุงสังกะสีหลังชนกัน ข้างหลังก็มีหลังคาปิด ด้านหน้าเป็นฟุตบาทก็ตั้งไม่ได้

พอไปถึงเข้าแล้วก็ปรากฏว่า ฉันก็อั้นเหมือนกัน แกถามว่าตั้งที่ไหน...ฉันก็นิ่งเขาก็ถามว่าที่นั่นได้ไหม...ที่นี่ได้ไหม...มันไม่ได้ ไป ๆ มา ๆ ก็ไม่มีตำราจะพลิก ก็ถามพระภูมิที่นั่นว่า จะตั้งที่ไหนดี...นี่เขาเคารพนับถือ เขาจะตั้งศาลเป็นเครื่องบูชา แล้วก็สถานที่มันไม่เหมาะ ท่านจะเอาตรงไหน...ท่านตัดสินใจเอาหัวนอนก็แล้วกัน ได้เรื่องเลย ก็ตั้งศาลที่หัวนอน

เมื่อเชิญเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อมาเจ๊กคนนั้นก็ถูกนินทา เจ๊กคนนั้นบ้าไม่มีใคร เขาตั้งศาลในบ้าน ใช่ไหม...ตั้งไว้บนที่นอน พระภูมิโมโห งวดนั้นเลยให้ตานั่นถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๒ แหม...น่าจะโมโหบ่อย ๆ นะ เจ๊กคนนั้นแกขายหมู ต่อมาเวลาบวงสรวงหัวหมูกี่หัวก็ตามแกเอาให้ฟรีหมด เวลานี้แกตายไปแล้ว ลูกชายแกทำต่อ ได้ผลแล้วก็รวยขึ้นนะ ก็เป็นอันว่าถ้าจะเป็นที่ไหนก็ได้นะ ใช่ไหม...เป็นการแสดงความเคารพนับถือกัน...ใช้ได้

เจ้าที่
ผู้ถาม : เจ้าที่กับภูมิเทวดาต่างกันไหมครับ?
หลวงพ่อ : เจ้าที่ต่างกับพระภูมิแน่ เพราะเจ้าที่เป็นคนก็ได้ เป็นสัตว์ก็ได้ เพราะเป็นเจ้าของที่ ใช่ไหม...คำว่า เจ้าที่ หมายถึง อากาศเทวดา หมายถึงเทวดาชั้นจาตุมหาราช ถ้าอากาศเทวดาต้องใช้ศาล ๔ เสา หรือ ๖ เสา ภูมิเทวดาเขาใช้ศาลเสาเดียว ถ้าถามว่ากำลังอำนาจเเตกต่างกันไหม...ก็ต้องตอบว่า เจ้าที่คือเทวดาชั้นจาตุมหาราช คุมพระภูมิ พระภูมิหลายสิบจุดขึ้นกับจาตุมหาราชจุดหนึ่ง เหมือนกับกำนันผู้ใหญ่บ้าน เอาตามนั้นนะ

หลวงพ่อ : เมื่อกี้ตอนอุทิศส่วนกุศล ท่านลุงพระยายมมาบอกว่า เวลาที่เราเลิกบูชาพระ ตอนอุทิศส่วนกุศลให้พระภูมิเขาบ้าง ท่านอารักขาอยู่ ควรจะให้ท่านโมทนาบ้าง ท่านบอกว่าภูมิเทวดาท่านอยู่ใกล้ที่สุด ตามอารักขาคอยช่วยเหลืออยู่ไม่บอกให้ท่าน ท่านก็โมทนาไม่ได้

เทวดาต้องการศาล ๔ เสา
ผู้ถาม : คือลูกตั้งใจจะตั้งศาลพระภูมิที่บ้าน พอตั้งใจปุ๊บ ปรากฏว่าตอนกลางคืนมีเทวดามาบอกว่า ข้าคือเจ้าพ่อพระภูมิ ถ้าเอ็งไม่เชื่อข้าให้ไปถามหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง ที่จะเรียนถามก็คือว่าพระภูมิท่านสั่งว่า "ศาลของฉันให้เอาเสา ๔ ต้น” แต่เห็นที่อื่นเขามีต้นเดียว จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ...?
หลวงพ่อ : นั่นไม่ใช่ภูมิเทวดาแล้ว เป็น อากาศเทวดา ดินแดนตรงไหนถ้าท่านพวกนี้อยู่นะ ถ้าเราไม่รับรองท่าน ๒ ปีแรกท่านให้คุณ ถ้าปีที่ ๓ ไม่รับรองเริ่มเจี๊ยะแล้ว แต่ถ้ารับรองแล้วจะดีมาก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าตามแบบฉบับฉันมี ๖ เสา เพราะบางแห่งเขากลัวจะล้มลงมา เขาใส่ ๖ เสา

แต่แบบ ๔ เสานี่เป็นอากาศเทวดา นี่สำคัญมากนะ เคยเจอะหลายรายการแล้ว บางทีไปถึงนั่ง ๆ คุย ๆ แกก็ย่องมา เขาบอกว่าแกทำมาหากินมาก แล้วเทวดาท่านก็มาบอกผมอยู่ที่นี่ครับ เขตนี้เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ทีนี้เจ้าของบ้านกับเราไม่ได้ชอบพอกันมา ไปแนะนำให้เขาตั้งศาลเขาจะหาว่าบ้า ๆ บวม ๆ น่ะซิ

พูดไปพูดมาก็ถามว่า โยมตั้งศาลรับเขาบ้างหรือเปล่า...เขาบอกจ้าวเจ้อวไม่สำคัญ พอปีที่ ๓ ชักเริ่มแล้ว ขายของขาดทุน ไป ๆ มา ๆ ของเก่าขาดด้วย ตรงกันข้ามบ้านอีกหลังหนึ่งมีสภาพเช่นเดียวกัน เขาก็ถาม จึงบอกว่า "ไอ้หนู..อากาศเทวดาที่คุมพระภูมิท่านอยู่ตั้งศาลรับท่านเสีย" บ้านนั้นรับเดี๋ยวนี้รวยใหญ่

ผู้ถาม : ฉะนั้นรายนี้เขาบอก ๔ เสาก็ต้อง ๔ เสาตามเขานะครับ
หลวงพ่อ : ต้องตามเขา ไม่แน่นะรายการนี้ดุมาก ถ้าเฮี้ยวขึ้นมาละน่าดู ใครยั้งไม่อยู่หรอก นั่นท่านตั้งใจช่วยอยู่แล้วนะ ถ้าเขาไม่ตั้งใจช่วยเขาไม่บอกหรอก เธอรับฉันฉันก็ช่วยเธอ เธอไม่รับฉันฉันก็ไม่ช่วย แต่สงสัยว่าเทวดาองค์นี้กับคนที่พบในอดีตคงจะเป็นพวกกัน ไม่อย่างนั้นไม่บอก

ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ ถ้าจะตั้งศาลพระภูมิที่บ้าน จะตั้งศาล ๔ เสาได้ไหมคะ...?
หลวงพ่อ : ตั้งศาล ๔ เสา ก็อากาศเทวดา จะตั้งก็ได้
ผู้ถาม : แล้วศาลเสาเดียวสำหรับภูมิเทวดา จะตั้งด้วยได้ไหมเจ้าคะ...
หลวงพ่อ : ได้...เพราะบางทีท่านอาจจะเกรง ๆ เหมือนกัน

เจ้าที่เจ้าทาง
ผู้ถาม : มีคนเขาบอกว่าบ้านลูก สาเหตุที่วุ่นวายและมีตายไม่ดีเกิดขึ้น เขาบอกว่ามาจากเจ้าที่ที่ไม่ตั้งศาลให้ ไม่ทราบว่าเจ้าที่มีอิทธิพลกับเจ้าของบ้านด้วยหรือคะ...?
หลวงพ่อ : ไม่ยาก...โทษผีนี่ไม่ยาก ไม่เห็นตัว โทษเจ้าที่ท่านแน่หรือไม่แน่...ดูก่อน! เจ้าที่ความจริงเขาไม่ทำใครถึงตาย ถ้าเอาจริง ๆ นะ จะเอาแค่ ป่วยหนาว ๆ ร้อน ๆ ผิวเนื้อผิวตัวจะร้อน เทวดาทำคนตายไม่ได้ เจ้าที่เขาเป็นเทวดา ย่อมมีลูกน้องเป็นสัมภเวสี คนที่ลงโทษเราต้องเป็นสัมภเวสี ไม่ใช่เทวดา รายการนี้มันผิดที่ไม่ใช่เจ้าที่ แต่เป็นเจ้าทาง

นางมารร้าย
20-10-2009, 16:34
ตั้งศาลพระภูมิไว้ในใจ
ผู้ถาม : ลูกฟังเรื่องศาลพระภูมิจากหลวงพ่อก็มีศรัทธาอยากจะตั้งบ้าง ก็บังเอิญที่บ้านเป็นที่ทรัพย์สิน บอกสามี สามีก็บอกว่า ที่ทรัพย์สิน "ในหลวง" ท่านเป็นพระภูมิใหญ่อยู่แล้ว ลูกก็เลยตั้งไม่ได้ เพราะความขัดคอกัน อยากเขียนถามว่า ถ้าหากตั้งไม่ได้แต่จิตระลึกอยู่เสมอ และอยากจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างใดอย่างหนึ่งให้เทวดาที่เป็นพระภูมิที่นั่นจะทำได้ไหมคะ...?
หลวงพ่อ : (หัวเราะ) เอาอย่างนี้ซิ เวลาบูชาพระก็ตาม หรือกราบพระก็ตาม จิตใจยอมรับนับถือ ใช้ได้เลย

ตั้งศาลพระภูมิ ๒ หลัง
ผู้ถาม : คือว่ากระผมมีความจำเป็นต้องตั้งศาลพระภูมิ และศาลอากาศเทวดาในที่ใกล้เขตกัน จึงอยากเรียนถามว่า ความสูงต่ำระหว่างศาลพระภูมิและศาลอากาศเทวดานี้ จะต้องจัดการอย่างไร
หลวงพ่อ : สูง...ต่ำ...จะเท่าเสมอกันไม่ได้นะ ต่ำตั้งแต่ ๑ เซ็นต์ลงมาใช้ได้ เพราะภูมิเทวดาเป็นลูกศิษย์อากาศเทวดาอยู่แล้ว

จำเป็นต้องตัดต้นไม้
ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ลูกซื้อที่ดินตั้งใจจะปลูกบ้านใหม่ แต่บังเอิญมีต้นก้ามปูใหญ่ต้นหนึ่ง จำเป็นต้องตัดต้นไม้นี้ทิ้ง วิธีที่จะตัดนี้ลูกเกรงว่าไปกระทบกระเทือนเทวดา จึงมาเรียนถามหลวงพ่อว่า เรามีวิธีจะพูด...จะบน...จะบ่นอย่างไร... เพื่อให้เทวดาท่านอโหสิไม่มีโทษ... ไม่มีเวรมีภัยต่อกัน?
หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้สิ บอกท่านดี ๆ นะ "เทวดาเจ้าคะ...เทวดาเจ้าขา กรุณาฉันเถิด...ตามมีตามเกิด ปลูกศาลให้ ๑ หลังเจ้าค่ะ" ศาลพระภูมิเล็ก ๆ นะว่าได้ไหม...(หัวเราะ) จำเป็นต้องปลูกบ้านตรงนี้ ต้นไม้มันขวางที่ใช่ไหม... ในเมื่อเราโค่นลงไปวิมานท่านก็สลายตัว ถ้าเราปักเสา เอาศาลพระภูมิเทวดา ศาลเล็ก ๆ ก็แล้วกัน
วิมานแค่แปะได้ ใช้ได้ เป็นการแทนกัน

ผู้ถาม : แล้วในกรณีที่เป็นชาวสวนชาวไร่ล่ะครับ จำเป็นต้องใช้รถแทรคเตอร์ปรับพื้นที่ในที่บางแห่งอาจจะมีต้นไม้ใหญ่น้อยล้มลงมากมาย อย่างนี้ควรจะตั้งศาลอย่างไรดีครับ?
หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตั้งศาล ๔ เสาเสียเลย...หมดเรื่องกัน!

หน้าที่ของพระภูมิ
ผู้ถาม : ผมเห็นศาลพระภูมิ...บางบ้านตั้ง ๒ ที่
หลวงพ่อ : ดี...พระภูมิจะได้สบาย ๆ หลังนี้ร้อนไปอยู่หลังโน้น หลังโน้นหนาวไปอยู่หลังนี้ จะเป็นไรไป เป็นเครื่องการแสดงยอมรับนับถือ ไม่ใช่ของแปลก ไม่ใช่ว่าเกณฑ์พระภูมิมาอยู่ที่ศาล เรานี่คิดว่าพระภูมิมาอยู่ที่ศาลนี่ก็ไม่เป็นไรนะ แต่จริง ๆ แล้วท่านมีวิมานของท่าน ท่านเป็นเทวดา องค์หนึ่งคุมพื้นที่เป็นกิโลนะ ไม่ใช่
บ้านละองค์นะ

เรื่องพระภูมิเจ้าที่นี่มีเรื่องเยอะ ที่เคยพบมา เมื่อปี ๒๕๐๐ ฉันไปป่วยที่กรมแพทย์ทหารเรือ แล้วตอนนั้นก็ปรากฏว่าคืนวันหนึ่งตี ๒ ฉันตื่นขึ้นเห็นคนๆ หนึ่งขึ้นที่หน้าตึก ตึกคนไข้นะ ตึกเขาก็ใหญ่แต่มันก็มีฝา แต่เขาให้เห็นไม่ใช่นั่งกรรมฐานนะ นั่งธรรมดาตื่นขึ้นก็ลุกขึ้นหยิบนั่นหยิบนี่ หยิบน้ำขึ้นมากินบ้างอะไรบ้าง เห็นคนขึ้นที่หน้าตึก ก็สังเกตดูคน ๆ นี้จะไปไหนกัน เขาเดินไปตามเตียงคนไข้ ไปถึงแต่ละเตียงแกหยุดนิดหนึ่งหยุดมอง แล้วเดินผ่านไป ๆ แล้วทีนี้มาที่ห้องที่ฉันอยู่ มันเป็นเตียงที่ ๓ มันเป็นเตียงกั้นกลางนะ

พอถึงเตียงนั้นแกยืนนาน ยืนมองอยู่นาน เดี๋ยวก็เลิกจากเตียงนั้นมาเตียงต่อมา แล้วผ่านมาถึงฉัน ฉันยังไม่นอน ยังนั่งอยู่แล้วก็ถามว่าเดี๋ยวก่อนซิจะไปไหน...มาจากไหน...คุยกันก่อน แกเลยบอกผมตั้งใจจะมาคุยกับท่าน...ได้เรื่องเลย! ถามว่าคุณเป็นใคร...แต่งตัวเป็นคนธรรมดา ไม่มีเสื้อ นุ่งกางเกงขาสั้น เก่าด้วยสิ คงจน
ใช่ไหม...น่ากลัวเมื่อเวลาจะตายแกแต่งตัวเเบบนั้น โดยมากเขาจะมาในลักษณะตายในลักษณะจริงเขาสวย...พระภูมินะ ก็ยืนคุยกัน

ท่านก็บอกว่าผมเป็นภูมิเทวดา ถามว่ารักษาเขตไหนบ้าง...ในกรุงเทพฯ นี่นะ แกบอกระยะทางเป็นกิโลเลย ถามว่าคุณคนเดียวจะรู้ได้อย่างไร... มีหน้าที่อะไร...แกบอกว่าผมรับรู้การทำความดีและทำความชั่วของคน ใครทำความดีผมก็บันทึก แล้วก็คนเป็นแสนในเขตของคุณนะ คุณจะรู้ได้อย่างไร... คนต่างคนต่างอยู่ต่าง
กรรมต่างวาระ ทำไม่เสมอกัน บางทีก็ทำเวลาเดียวกัน คุณจะรู้ได้อย่างไร...?

แกบอกว่าอย่าลืมว่าจิตใจผมเป็นทิพย์นะครับ แน่ะ...คุยเสียด้วย แล้วก็ถามว่าวิธีจดคุณทำอย่างไร...แกมามีมือเปล่า แกชูมือมาเป็นกระดาษแผ่น ขึ้นติ๊ก ๆ ขึ้นเป็นชื่อคนว่าทำอะไร ๆ แกบอกว่าขึ้นอย่างนี้ครับ ของเขาไม่ต้องใช้เครื่องแล้ว เวลาเดินมาก็ไม่ต้องถือกระดาษ ต้องการกระดาษมาเลย แล้วถามว่าจริง ๆ แล้วมี
กระดาษจดแบบนี้หรือ...แกบอกเปล่า ท่านถามผมก็ทำให้ดู นี่เล่นกับพระภูมิ พระภูมิไม่ก้อยนะ ไม่งั้นท่านเป็นเทวดาไม่ได้ เทวดาต้องฉลาด ถ้าโง่เป็นเทวดาไม่ได้

ความจริงเขารู้กฎของกรรม กฎของกรรมไม่ต้องไปนั่งจด ถ้าเขาทำอะไรจะมีความสุขหรือมีความทุกข์ หรือทำกรรมดีหรือไม่ดี มันปรากฏแก่ใจเขาเอง เขาเล่าตอนนี้ตอนนะ เลยถามว่าเมื่อกี้ คุณไปยืนที่ตรงนั้นทำไม... แกบอกว่าตี ๓ นี่เจ้าคนนี้จะมีอาการเป็นแบบนี้ แล้วก็ถ้าอาการเป็นแบบนี้เกิดขึ้นนะ ต้องเอายาในตู้
ของหมอนะ ให้หมอใช้ยาขนานนี้ฉีด แล้วแกคุยประเดี๋ยวแกก็ไป พอไปแล้วตี ๓ คนนั้นก็ดิ้นตึงตังโครมครามเป็นอาการแบบนั้น

พอขณะที่คุยอยู่นี่หมอพยาบาลเขาฟังอยู่ อยู่ใกล้ ๆ เขาได้ยิน เขาเลยวิ่งไปเอายาหลอดนั้นฉีด มาบรรเทา ก็คิดว่าตายเหมือนกัน ปรากฏว่าพอรุ่งขึ้น ๔ โมงเช้าเดินที่สนามหญ้าหน้าตึกสบายขึ้น นี่อำนาจภูมิเทวดานะ ภูมิเทวดาที่เป็นหมอก็มีนะ

โทษพระภูมิ
ผู้ถาม : ที่บ้านของลูกเมื่อประมาณ ๑๐ ปีที่ผ่านมา พี่ชายกับพี่สะใภ้ ๒ คนไปจ้างคนทรงมาเชิญศาลพระภูมิที่บ้าน ต่อมาพี่ชายแต่งงาน พี่ชายกับพี่สะใภ้ก็ย้ายออกไป ตั้งแต่เขาไปเเล้ว ที่บ้านของลูกเดือดร้อนต่าง ๆ นานา คนนี้ตาย... คนโน้นเจ็บ ให้คนทรงเขานั่งดูเขาบอกว่า เป็นเพราะว่าพี่ชายเอ็งไม่ได้บอกเอาพระภูมิไปด้วย พระภูมิเลยโกรธ เลยทำให้เหตุร้ายเกิดขึ้นในบ้าน ลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า ถ้าหากลูกไปหาพี่ชายบอกให้เอาพระภูมิติดไปด้วย แกไม่ยอมเอาไปแล้วจะทำอย่างไรดีคะ...?
หลวงพ่อ : นี่แสดงว่าพระภูมิว้าเหว่ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ภูมิเทวดาย้ายท่านไม่ได้ท่านมีสิทธิ์รักษาอาณาเขตแค่ไหน..เขตไหน..ท่านทรงอยู่ ใครย้ายไม่ได้ นอกจากท้าวมหาราชจะสั่งย้าย ท่านจึงจะย้ายได้ พวกเราย้ายไม่ได้ ทีนี้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นกฎของกรรมตัวเองมากกว่า พระภูมิทำไม่ได้หรอก

อยากให้เจ้าที่เฮี้ยน ๆ
ผู้ถาม : หลวงพ่อขอรับ กระผมอยากจะให้เจ้าที่เจ้าทางได้บุญแรง ๆ (หัวเราะ) และจะทำบุญกุศลกับหลวงพ่อประเภทไหนอย่างไรจึงจะเฮี้ยน ๆ ครับ?
หลวงพ่อ : ไอ้ทำให้เฮี้ยนน่ะ เราทำกันไม่ได้หรอกนะ มันสุดแล้วแต่เทวดาองค์นั้นจะเป็นใคร ภูมิเทวดามีกำลังไม่เสมอกัน ถ้าเราสามารถเห็นได้นะ ถ้าเห็นได้องค์ไหนดูมือขวา ถ้ามีสีแดงจัด เข้มจัด องค์นั้นมีอานุภาพมาก มีแดงเข้มน้อยมีอานุภาพน้อย

แต่ถึงอย่างไรก็ดีก็ยังเฮี้ยนไม่หนัก ถ้าจะเฮี้ยนสถานที่นั้นต้องเป็นมุมหนึ่งของท้าวมหาราช ถ้าลูกศิษย์ท้าวมหาราชมาคุมพระภูมิอยูที่ตรงนั้นเฮี้ยนแน่ นี่เราเกณฑ์กันไมได้นะ เอายังงี้ดีกว่า ทำบุญตามปกติเท่าที่มันมีดีกว่า...ใจสบาย ดิ้นรนกันไปเดี๋ยวเทวดามาทวงหนี้

นางมารร้าย
20-10-2009, 17:02
สงสัยตรงถั่วลาชมาศ ที่ไม่เคยเห็นว่าต้องเลาะเปลือก (แม้แต่ครั้งที่เห็นที่โต๊ะฝีมือโยมสุของหลวงตา)

ความรู้ตรงนี้มาจากพระอาจารย์ หากจำผิดต้องขออภัยด้วย "มาศ" แปลว่าทอง ถั่วเขียวไม่เราะเปลือก มันจะสีทองได้อย่างไร สมัยป้าสุไม่ได้เราะเปลือกนั้นจริง แต่ภายหลังเมื่อได้ความรู้ตรงนี้จากพระอาจารย์ นางมารร้ายจึงเปลี่ยนความเข้าใจใหม่


อีกเรื่องคือ กล้วยบนโต๊ะบวงสรวง ให้ใช้กล้วยสุก ห้ามใช้กล้วยดิบ
มะพร้าวอ่อนให้เปิดฝา
และความรู้ล่าสุดคือ หากจะปิดทองที่เทียน ให้ใช้ตั้งแต่ ๓ แผ่นขึ้นไป

ใช้กล้วยสุกน่ะใช่ แต่ห้ามขาดกล้วยดิบนี่ไม่น่าจะใช่ มะพร้าวก็เช่นกัน เพราะถ้าถึงเวลาทุกอย่างพร้อม เหลือแต่กล้วยสุกไม่ทัน แล้วหามีดเฉาะมะพร้าวไม่ได้นี่ จะต้องล้มงานบวงสรวงเลยหรือเปล่าคะ

แล้วในเมื่อเทียน ไม่ปิดทองก็ยังได้ ถ้าหนูมีทอง ๑ แผ่น หนูอยากจะปิดบูชา จะกลายเป็นความผิดร้ายแรงไหมคะ

ข้าวปากหม้ออาจใส่ชามวางข้างบายศรีพร้อมแก้วน้ำ
ถ้าทำแบบนี้ในงานบวงสรวงที่วัดท่าขนุน คงโดนถีบแน่ค่ะ


ขอความรู้ที่ถูกต้องด้วย:onion_love:
หากผิดพลาดไป รบกวนช่วยให้ความรู้ที่ถูกต้อง:onion_wink:
พี่จะเอาถูกต้องตามตำราไหนล่ะคะ นางมารร้ายเพียงแต่บอกเล่าสิ่งพบเห็นจากครูบาอาจารย์ คือหลวงปู่ฤๅษีฯ พระอาจารย์เล็ก เคยทำมา สิ่งที่พี่ถามมา อาจถูกต้องตามตำราอื่นก็ได้นะคะ จะให้บอกว่าผิดก็คงไม่กล้าหรอกค่ะ ในสมัยหลวงปู่ฤๅษีฯ เวลาหาในตำราไม่เจอ ท่านถามเทวดาเอาเป็นเรื่อง ๆ ไป

ลองดูในถามตอบของหลวงปู่ฤๅษีฯ ท่านยังว่า ถ้าเราทำตามตำราไหนแล้วสบายใจ ก็ทำไปเพื่อความสบายใจ แล้วท่านยังบอกอีกว่า บางอย่างถ้าเราลืมเทวดาท่านจะไม่ทวงหรอก เราต้องทำให้ท่านเอง นางมารร้ายเองก็ขอทำตามครูบาอาจารย์ไว้ก่อนค่ะ ถ้าติดขัดจริง ๆ (ไม่ใช่เพราะมักง่าย) แต่ใจยอมรับนับถือ เชื่อว่าท่านคงให้อภัยได้

ปราโมทย์
20-10-2009, 17:38
ผมรบกวนด้วยครับ คาใจมานานมากแล้วครับเกี่ยวกับการตั้งศาล
คือเรื่องศาลเสาเดียว สี่เสา หกเสา อันนี้ ต่างกันอย่างไรครับ เพราะว่าผมไม่เข้าใจว่าเสาเดียว ก็คือศาลพระภูมิที่ทั่วไปใช้ตั้งกันตามบ้านใช่หรือเปล่าครับ แล้วศาลสี่เสา(อากาศเทวดา) เป็นอย่างไรครับ คือส่วนมากมักจะต้องสร้างขึ้นมาเอง ใช่หรือเปล่าครับ(เป็นบ้านหลังย่อม ๆ อย่างที่ว่า) เพราะตอนแรกผมนึกว่าเราต้องไปเอาเสาที่ตั้งศาลพระภูมิมาสี่ต้น หกต้น แล้วจึงเอาศาลไปตั้งไว้บนนั้น(ที่จริงถ้าสร้างเอง ผมว่าสวยน้อยกว่าศาลพระภูมิเยอะเลยครับ) ส่วนศาลเจ้าที่ส่วนมากก็จะมีลักษณะเป็นหลัง ๆ รูปทรงคล้ายบ้านเรือนไทย เห็นที่ฐานมีเสาตั้งหกบ้าง สี่บ้าง เลยงงครับ อย่างไรก็รบกวนให้ความรู้ด้วยครับ สงสัยมานานมากจริง ๆ ครับ
รบกวนอีกอย่างครับ
การตั้งศาลพระพรหม พิธีแตกต่างกันหรือเปล่าครับ พอจะแนะนำได้หรือเปล่าครับ
แล้วถ้ากรณีเคยตั้งศาลไปแล้ว แต่ผิดพลาด คือตั้งไม่ถูกวิธี ทำผิดแบบ เพราะผมก็ถือเอาแบบหลวงพ่อฤๅษีท่านเป็นแบบอย่างครับ(ผมไม่ได้รับจ้างตั้งศาลนะครับ แต่อยากได้ความรู้ เผื่อว่าในอนาคตจำเป็นต้องใช้ครับ) เราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้างครับ
จะเห็นว่าถามเยอะไปหน่อย เพราะนาน ๆ ทีจะมีโอกาสถามผู้รู้ครับ ขอบพระคุณครับ

สายท่าขนุน
20-10-2009, 18:19
วันและเวลาที่เป็นมงคล

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ เวลาเช้าจะยกศาลดีไหมครับ?


ตั้งศาลไว้ในบ้าน
ผู้ถาม :
พอไปถึงเข้าแล้วก็ปรากฏว่า ฉันก็อั้นเหมือนกัน แกถามว่าตั้งที่ไหน...ฉันก็นิ่งเขาก็ถามว่าที่นั่นได้ไหม...ที่มี่ได้ไหม...มันไม่ได้ ไป ๆ มา ๆ ก็ไม่มีตำราจะพลิก ก็ถามพระภูมิที่นั่นว่า จะตั้งที่ไหนดี...นี่เขาเคารพนับถือ เขาจะตั้งศาลเป็นเครื่องบูชา แล้วก็สถานที่มันไม่เหมาะ ท่านจะเอาตรงไหน...ท่านตัดสินใจเอาหัวนอนก็แล้วกัน ได้เรื่องเลย ก็ตั้งศาลที่หัวนอน


ผู้ถาม : คือลูกตั้งใจจะตั้งศาลพระภูมิที่บ้าน พอตั้งใจปุ๊บ ปรากฏว่าตอนกลางคืนมีเทวดามาบอกว่า ข้าคือเจ้าพ่อพระภูมิ ถ้าเอ็งไม่เชื่อข้าให้ไปถามหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง ที่จะเรียนถามก็คือว่าพระภูมิท่านสั่งว่า "ศาลของฉันให้เอาเสา ๔ ต้น” แต่เห็นที่อื่นเขามีต้นเดียว จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ...?
หลวงพ่อ : นั่นไม่ใช่ภูมิเทวดาแล้ว เป็น อากาศเทวดา ดินแดนตรงไหนถ้าท่านพวกนี้อยู่นะ ถ้าเราไม่รับรองท่าน ๒ ปีแรกท่านให้คุณ ถ้าปีที่ ๓ ไม่รับรองเริ่มเจี๊ยะแล้ว แต่ถ้ารับรองแล้วจะดีมาก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าตามแบบฉบับฉันมี๖ เสา เพราะบางแห่งเขากลัวจะล้มลงมา เขาใส่ ๖ เสา

:9bbc76d5:
เอาเรื่องภาษาไทยก่อน

ความรู้ตรงนี้มาจากพระอาจารย์ หากจำผิดต้องขออภัยด้วย "มาศ" แปลว่าทอง ถั่วเขียวไม่เราะเปลือก มันจะสีทองได้อย่างไร สมัยป้าสุไม่ได้เราะเปลือกนั้นจริง แต่ภายหลังเมื่อได้ความรู้ตรงนี้จากพระอาจารย์ นางมารร้ายจึงเปลี่ยนความเข้าใจใหม่


ใช้กล้วยสุกน่ะใช่ แต่ห้ามขาดกล้วยดิบนี่ไม่น่าจะใช่ มะพร้าวก็เช่นกัน เพราะถ้าถึงเวลาทุกอย่างพร้อม เหลือแต่กล้วยสุกไม่ทัน แล้วหามีดเฉาะมะพร้าวไม่ได้นี่ จะต้องล้มงานบวงสรวงเลยหรือเปล่าคะ

แล้วในเมื่อเทียน ไม่ปิดทองก็ยังได้ ถ้าหนูมีทอง ๑ แผ่น หนูอยากจะปิดบูชา จะกลายเป็นความผิดร้ายแรงไหมคะ

ถ้าทำแบบนี้ในงานบวงสรวงที่วัดท่าขนุน คงโดนถีบแน่ค่ะ

พี่จะเอาถูกต้องตามตำราไหนล่ะคะ นางมารร้ายเพียงแต่บอกเล่าสิ่งพบเห็นจากครูบาอาจารย์ คือหลวงปู่ฤๅษีฯ พระอาจารย์เล็ก เคยทำมา สิ่งที่พี่ถามมา อาจถูกต้องตามตำราอื่นก็ได้นะคะ จะให้บอกว่าผิดก็คงไม่กล้าหรอกค่ะ ในสมัยหลวงปู่ฤๅษีฯ เวลาหาในตำราไม่เจอ ท่านถามเทวดาเอาเป็นเรื่อง ๆ ไป

ลองดูในถามตอบของหลวงปู่ฤๅษีฯ ท่านยังว่า ถ้าเราทำตามตำราไหนแล้วสบายใจ ก็ทำไปเพื่อความสบายใจ แล้วท่านยังบอกอีกว่า บางอย่างถ้าเราลืมเทวดาท่านจะไม่ทวงหรอก เราต้องทำให้ท่านเอง นางมารร้ายเองก็ขอทำตามครูบาอาจารย์ไว้ก่อนค่ะ ถ้าติดขัดจริง ๆ (ไม่ใช่เพราะมักง่าย) แต่ใจยอมรับนับถือ เชื่อว่าท่านคงให้อภัยได้

ขอบคุณที่ตอบนะจ๊ะ:onion_love:
เห็นว่านางมารร้ายศึกษาหาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย โดยเฉพาะของพระอาจารย์มาให้ได้ทราบกัน:onion_wink:
ปกติก่อนหน้านี้ พวกเราก็จะทำตามแบบอย่างหลวงพ่อเขียนไว้ เล่าไว้ อยู่แล้ว
ยกเว้นอาจมีเหตุที่เราอาจทำได้ไม่ประณีตเท่า
เช่นการกรอกข้าวปากหม้อ เนื่องจากเราไม่ได้ทำบายศรีทั้งหมดเอง
ก็จะทำด้วยความเคารพเสมอ:af48944b: ดังที่หลวงพ่อว่า แม้หากไม่มีหัวหมูก็อาจใช้หมูชิ้นแทน เป็นต้น

ที่ถามแต่ละข้อนั้น เพราะใช้ความจำเอาว่าเคยเห็น หรือเคยอ่านผ่านตามาก่อน เช่น
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ยังเห็นถั่วเขียวไม่เราะเปลือกอยู่ในพิธีบวงสรวงของวัดสายหลวงพ่อนี้แหละ
(ไม่ยืนยันวัด เกรงผิดพลาดจากสัญญาที่เสื่อมอยู่นี้)
เรื่องกล้วยสุก ก็เคยอ่านจากเรื่องของหลวงพ่อเช่นกัน
คล้ายว่ามีคนเอากล้วยดิบแบบกล้วยไหว้เจ้ามาใช้บวงสรวง
จึงอยากได้อ่านอีกครั้งว่ายังจำได้ถูกต้องหรือไม่ (ที่วัดท่าขนุน วัดเขาวง ฯลฯ ก็ยังเห็นเป็นกล้วยสุก)
การเลือกกล้วยให้สุกพอดี หรือ เปิดหน้ามะพร้าว หรือแม้ปิดทองเทียนนั้น
คิดว่าเป็นการแสดงความเคารพด้วยความตั้งใจ
แต่หากเหลือวิสัยดังว่า อย่าไปทำให้ใจหมองก็ดีอยู่แล้ว:l43841274qn5:

ปกติคนอื่นเขาก็ไม่ได้ปิดทองที่เทียน
แต่พี่มักจะนำมาปิดทองเองด้วยความเคารพทุกครั้ง และปิดเต็มทั้งเล่มด้วย:d16c4689:
จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ เข้าใจว่ามีคนไปถามในพิธีบวงสรวงของวัดเขาวง
และได้รับข้อแนะนำการปิดทอง ๓ แผ่นนี้มา
พี่ก็เลยสงสัยว่า มีคติใดแฝงอยู่หรือไม่ เผื่อจะหลงหูหลงตา
ไม่ได้อ่านเรื่องของหลวงพ่อหรือฟังจากครูบาอาจารย์เท่านั้นเอง:msn_smilies-15:
(เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ที่จันทบุรี ครูบาวิฑูรย์เพิ่งเล่าเรื่องตั้งศาลเสาเดียว กับ ๔ เสาให้ฟัง)

ทำด้วยใจเคารพนี้ เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่พี่ชอบที่เห็นใคร ๆ ตั้งโต๊ะบวงสรวงเลย:6f428754:

อักขรัญญ์
21-10-2009, 03:17
ครับ สรุปว่า บายศรีบริวารนั้นใช้ลูกเจ็ดชั้นเดียว ลูกนั้นหมายถึงที่เหมือนเล็บ ตรงเล็บปลายจะติดดอกมะลิตูม ๆ ใช่ไหมครับ ส่วนชั้นนั้นหากเรายืนมองเข้าไปที่บายศรีก็จะเห็นเป็นเหมือนฉัตร เป็นชั้น ๆ พอเข้าไปดูใกล้ ๆ จะเห็นเป็นไม้แผ่นกลม ๆ แนวนอนเป็นโครงอยู่ในชั้นแต่ละชั้น แกนกลางเป็นเสากลมแนวตั้งยาวลงมาที่ฐานบายศรีใช่หรือไม่ครับ

ข้อความคุณนางมารร้ายที่ว่า "...คือไหว้พระนี่มีลูกเก้าเหมือนกัน แต่ของปากคลองฯ มักใช้ตัวบายศรีแค่สี่ตัว ขณะที่ทางเรามักใช้ห้าตัว " หมายความถึงบายศรีประธานที่อยู่ตรงกลางใช่หรือไม่ และใช้เก้าตัว หรือห้าตัว ที่ยังสงสัยอยู่ต่อไปคือ คำว่า " ไหว้พระ " หมายถึงไหว้ในพิธีบวงสรวงแบบใดครับ เช่น ก่อสร้างบ้านหรืออาคารห้างร้าน เปิดกิจการ พระภูมิเจ้าที่ ส่วนปลุกเสกวัตถุมงคลคงเป็นไหว้พระตามความหมายที่สงสัยนี้ เพื่อจะได้ใช้ถูกว่าจะใช้กี่ชั้นและกี่ลูกครับ

เท่าที่อ่านข้างต้น คือจะให้ใช้บายศรีประธานสามชั้นหากไม่เรื่องใหญ่( เรื่องใหญ่ เช่น สร้างโบสถ์ ) ตรงนี้หากจะเปิดร้านขายของเล็ก ๆ เรามีงบจำกัด เราใช้ชั้นเดียวแต่มีหลาย ๆ ลูก อย่างน้อยสามลูกขึ้นไป ได้หรือไม่ครับ และใช้กี่ลูกดีครับ เพราะเคยถามที่เขาขายกัน มักจะได้ยินว่าบายศรีพรหม หรือบายศรีเทพ ซึ่งก็คือมีชั้นเดียว ? อย่างนี้นำมาเป็นบายศรีประธานได้หรือไม่แบบไหนเหมาะสมกว่ากันครับ รบกวนแนะนำด้วยครับสงสัยมานานแล้ว ยังกลัว ๆ และโง่ ๆ อยู่สงสัยก็ไม่กล้าเข้าไปถามครูบาอาจารย์ท่านครับ

นางมารร้าย
21-10-2009, 09:28
ครับ สรุปว่า บายศรีบริวารนั้นใช้ลูกเจ็ดชั้นเดียว ลูกนั้นหมายถึงที่เหมือนเล็บ ตรงเล็บปลายจะติดดอกมะลิตูม ๆ ใช่ไหมครับ ส่วนชั้นนั้นหากเรายืนมองเข้าไปที่บายศรีก็จะเห็นเป็นเหมือนฉัตร เป็นชั้น ๆ พอเข้าไปดูใกล้ ๆ จะเห็นเป็นไม้แผ่นกลม ๆ แนวนอนเป็นโครงอยู่ในชั้นแต่ละชั้น แกนกลางเป็นเสากลมแนวตั้งยาวลงมาที่ฐานบายศรีใช่หรือไม่ครับ


ใช่ค่ะ

ข้อความคุณนางมารร้ายที่ว่า "...คือไหว้พระนี่มีลูกเก้าเหมือนกัน แต่ของปากคลองฯ มักใช้ตัวบายศรีแค่สี่ตัว ขณะที่ทางเรามักใช้ห้าตัว " หมายความถึงบายศรีประธานที่อยู่ตรงกลางใช่หรือไม่ และใช้เก้าตัว หรือห้าตัว

ของปากคลองมักทำเป็นหนึ่งชั้นอยู่แล้วค่ะ ใส่พานได้พอดี และในหนึ่งชั้นมักมีสี่ตัว ขณะที่ทางสายเรามักนิยมทำเป็น ๕ ตัวในหนึ่งชั้น แต่ถ้าชั้นนั้นเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างมาก ท่านแม่ท่านป้าก็มักจะใส่ตัวบายศรีเล็ก ๆ คั่นช่องว่างให้สวยงามอีกที

ที่ยังสงสัยอยู่ต่อไปคือ คำว่า " ไหว้พระ " หมายถึงไหว้ในพิธีบวงสรวงแบบใดครับ เช่น ก่อสร้างบ้านหรืออาคารห้างร้าน เปิดกิจการ พระภูมิเจ้าที่ ส่วนปลุกเสกวัตถุมงคลคงเป็นไหว้พระตามความหมายที่สงสัยนี้ เพื่อจะได้ใช้ถูกว่าจะใช้กี่ชั้นและกี่ลูกครับ

ทางสายเรา จะทำงานเล็กงานใหญ่มักเอาพระนำหน้าเสมอ ถ้าเย็บเองแล้วบายศรีต้นกลางจึงเป็นลูกเก้าตลอด ไม่เคยเห็นต่ำกว่านี้ แต่ถ้างานเล็ก บวงสรวงเองที่บ้าน นางมารร้ายใช้แค่ชั้นเดียวใส่พานวางตรงกลาง เป็นลูกเก้า ห้าตัวค่ะ ถ้าไปซื้อปากคลองก็ต้องยอมใช้แค่สี่ตัว (แต่เห็นน้องสาวบอกว่า ถ้าสั่งล่วงหน้า จะเอาแบบใดก็ได้)

บวงสรวงใหญ่ หรือเล็ก ก็ขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์และกำลังใจของเราด้วยค่ะ ถ้าเป็นบริษัทห้างร้านมีทุนดำเนินการเป็นล้าน น่าจะทำบายศรีต้นอย่างน้อยสามชั้น อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวตามกำลังใจของตัวเองนะคะ

นางมารร้าย
21-10-2009, 09:48
ผมรบกวนด้วยครับ คาใจมานานมากแล้วครับเกี่ยวกับการตั้งศาล
คือเรื่องศาลเสาเดียว สี่เสา หกเสา อันนี้ ต่างกันอย่างไรครับ เพราะว่าผมไม่เข้าใจว่าเสาเดียว ก็คือศาลพระภูมิที่ทั่วไปใช้ตั้งกันตามบ้านใช่หรือเปล่าครับ แล้วศาลสี่เสา(อากาศเทวดา) เป็นอย่างไรครับ คือส่วนมากมักจะต้องสร้างขึ้นมาเอง ใช่หรือเปล่าครับ(เป็นบ้านหลังย่อม ๆ อย่างที่ว่า) เพราะตอนแรกผมนึกว่าเราต้องไปเอาเสาที่ตั้งศาลพระภูมิมาสี่ต้น หกต้น แล้วจึงเอาศาลไปตั้งไว้บนนั้น(ที่จริงถ้าสร้างเอง ผมว่าสวยน้อยกว่าศาลพระภูมิเยอะเลยครับ) ส่วนศาลเจ้าที่ส่วนมากก็จะมีลักษณะเป็นหลัง ๆ รูปทรงคล้ายบ้านเรือนไทย เห็นที่ฐานมีเสาตั้งหกบ้าง สี่บ้าง เลยงงครับ อย่างไรก็รบกวนให้ความรู้ด้วยครับ สงสัยมานานมากจริง ๆ ครับ
รบกวนอีกอย่างครับ
การตั้งศาลพระพรหม พิธีแตกต่างกันหรือเปล่าครับ พอจะแนะนำได้หรือเปล่าครับ
แล้วถ้ากรณีเคยตั้งศาลไปแล้ว แต่ผิดพลาด คือตั้งไม่ถูกวิธี ทำผิดแบบ เพราะผมก็ถือเอาแบบหลวงพ่อฤๅษีท่านเป็นแบบอย่างครับ(ผมไม่ได้รับจ้างตั้งศาลนะครับ แต่อยากได้ความรู้ เผื่อว่าในอนาคตจำเป็นต้องใช้ครับ) เราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้างครับ
จะเห็นว่าถามเยอะไปหน่อย เพราะนาน ๆ ทีจะมีโอกาสถามผู้รู้ครับ ขอบพระคุณครับ

จะศาลสี่เสา หนึ่งเสา หลายเสา มีจำหน่ายสำเร็จรูปทุกแบบค่ะ แต่ทุกร้าน จะทำศาลสี่เสาเตี้ย ๆ ซึ่งผิดตำราเราที่ว่าต้องสูงเพียงตา ดังนั้นถ้าซื้อสำเร็จรูปมา ควรเสริมฐานให้สูงขึ้น ที่บ้านนางมารร้ายซื้ออิฐมวลเบามาซ้อน ๆ กันขึ้นไปแล้ววางศาลข้างบนค่ะ ถูกต้องตำราแม้ว่าจะดูไม่สวย กำลังหาวิธีพัฒนาโดยเอาต้นดอกไม้มาวางเป็นชั้น ๆ บังอิฐไว้ แต่ต้องคอยเปลี่ยนเวลาดอกไม้โทรม เลยตอนนี้กำลังหาซื้อประติมากรรมหินทราย จะรูปปั้น น้ำพุ น้ำไหล โคมไฟ อะไรก็ได้ที่ทำให้สวยงามขึ้น

ถ้ากลัวทำผิดวิธี หาฤกษ์งามยามดีแล้วบวงสรวงใหม่ไปเลยค่ะ เอาให้สบายใจ

ศาลพระพรหมไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์สายเราทำ เคยเห็นพราหมณ์ทำพิธีที่ทำงานอยู่หนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าทั้งแบบบายศรีและของไหว้...ไม่มีอะไรเหมือนเรา เว้นก็แต่กล้วยกับมะพร้าวเท่านั้นที่คุ้นตา

นางมารร้าย
21-10-2009, 10:10
ปกติก่อนหน้านี้ พวกเราก็จะทำตามแบบอย่างหลวงพ่อเขียนไว้ เล่าไว้ อยู่แล้ว
ยกเว้นอาจมีเหตุที่เราอาจทำได้ไม่ประณีตเท่า
เช่นการกรอกข้าวปากหม้อ เนื่องจากเราไม่ได้ทำบายศรีทั้งหมดเอง
ก็จะทำด้วยความเคารพเสมอ:af48944b: ดังที่หลวงพ่อว่า แม้หากไม่มีหัวหมูก็อาจใช้หมูชิ้นแทน เป็นต้น

ที่ถามแต่ละข้อนั้น เพราะใช้ความจำเอาว่าเคยเห็น หรือเคยอ่านผ่านตามาก่อน เช่น
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ยังเห็นถั่วเขียวไม่เลาะเปลือกอยู่ในพิธีบวงสรวงของวัดสายหลวงพ่อนี้แหละ
(ไม่ยืนยันวัด เกรงผิดพลาดจากสัญญาที่เสื่อมอยู่นี้)
เรื่องกล้วยสุก ก็เคยอ่านจากเรื่องของหลวงพ่อเช่นกัน
คล้ายว่ามีคนเอากล้วยดิบแบบกล้วยไหว้เจ้ามาใช้บวงสรวง
จึงอยากได้อ่านอีกครั้งว่ายังจำได้ถูกต้องหรือไม่ (ที่วัดท่าขนุน วัดเขาวง ฯลฯ ก็ยังเห็นเป็นกล้วยสุก)
การเลือกกล้วยให้สุกพอดี หรือ เปิดหน้ามะพร้าว หรือแม้ปิดทองเทียนนั้น
คิดว่าเป็นการแสดงความเคารพด้วยความตั้งใจ
แต่หากเหลือวิสัยดังว่า อย่าไปทำให้ใจหมองก็ดีอยู่แล้ว:l43841274qn5:


:d16c4689:ขอบคุณเจ๊สายฯมากค่ะ ที่ช่วยตรวจสอบ หนูใส่เรื่องหมูชิ้นไปเพิ่มเติมในเรื่องแล้ว

เรื่องถั่วเขียว หนูเดาว่าสมัยนั้นคงหาซื้อถั่วเขียวเราะเปลือกได้ยาก ครั้นจะเอามาเราะเองก็คงไม่มีเวลา ทำไปทำมาเลยกลายเป็นไม่เราะเปลือกกันไป ที่บ้านตอนแรกก็หาซื้อได้แค่ถั่วเขียวนะคะ..ซึ่งก็ต้องคว้ามาไว้ก่อน จนตอนหลังเพียรไปเดินหาอยู่นานกว่าจะเจอถั่วเขียวแบบเราะเปลือก...ดีใจแทบตาย

เรื่องกล้วย เห็นผู้ใหญ่จะเลือกเอากล้วยที่เหลืองสวยที่สุดเท่าที่มีค่ะ บางครั้งก็มีเขียว ๆ หลุดไปบ้างค่ะ หนูเคยเห็น แต่ถ้าเป็นกล้วยน้ำนะพี่ มันเหลืองสวยตลอด...หนูโดนมันหลอกมาแล้ว เห็นเหลืองอร่ามงามตา..กัดไปคำเดียวทิ้งเลย..ดิบฝาดไร้รสชาติสิ้นดี นึกในใจว่ารสชาติห่วยอย่างนี้นี่เองเขาถึงไม่เหลือพันธุ์มันไว้ พอสี่ห้าวันต่อมามันดูเหี่ยวไปเล็กน้อย..อย่างในรูปนั่นแหละ ลองทานดูอีกที...เอออร่อยแฮะ...อร่อยตอนงอมหง่อมนี่เอง ว่าจะถามแม่ค้าขอซื้อต้นมา...ถ้าได้ก็จะเอาไปปลูกที่วัด

เรื่องมะพร้าวนี่ก็ยังคาใจไม่มีเวลาถามซะที ก็ถ้ามะพร้าวยังต้องเฉาะ แล้วทำไมส้มโอถึงไม่ต้องปอก ก็ถ้ามะพร้าวเฉาะได้ ใช้ส้มโอปอกแล้วได้ไหม...ใครเคยสงสัยเหมือนนางมารร้ายบ้างไหม

ล้อมเดช
21-10-2009, 11:16
..........รบกวนพี่นางมารร้าย ช่วยตรวจดูเครื่องที่จะใช้ในพิธีบวงสรวงหน่อยครับ ว่าขาดตกบกพร่องส่วนใดบ้างครับ

เครื่องบวงสรวง

..........๑. บายศรีต้น (เย็บเป็นเก้ากลีบใบตอง เรียกว่าลูกเก้า) จะใช้ลูกเก้าสามชั้นเป็นอย่างน้อย ขยันหน่อยก็ห้าชั้น และเจ็ดชั้น บนยอดบายศรีต้นใช้ธูปเทียนประดับดอกไม้หลากสี
..........๒. บายศรีปากชาม ๔ ชุด ประดับด้วยดอกไม้แดง ๑ ชุด, ดอกไม้เหลือง ๑ ชุด, สีน้ำเงิน แต่อนุโลมให้ใช้ดอกไม้สีม่วง ๑ ชุด, ดอกไม้ขาว ๑ ชุด (เย็บบายศรีลูกเจ็ดชั้นเดียว ตรงกลางเป็นกรวยใบตองใส่ข้าวปากหม้อ แล้วใช้ไข่ต้มเสียบไว้ยอดกรวย)
..........๓. ข้าวตอก ดอกไม้
..........๔. กล้วย ๔ หวี
..........๕. ส้มโอ ๔ ลูก
..........๖. มะพร้าวอ่อน ๔ ลูก
..........๗. ขนมต้มขาว ( แป้งข้าวเหนียวปั้นกลมไส้กระฉีก ) ขนมต้มแดง ( แป้งข้าวเหนียวปั้นกลมแบนคลุก กับหน้ากระฉีก ) อย่างละ ๔ จาน
..........๘. ไก่ต้มสุก ๑ ตัว วางไก่ไปทางทิศเหนือ
..........๙. หัวหมู ๓ หัวพร้อมน้ำจิ้มด้วย
..........๑๐. ปลาช่อนนึ่ง ( แป๊ะซะ ) ๑ ตัว และน้ำจิ้ม
..........๑๑. โต๊ะปูผ้าขาวแล้วตั้งไว้กลางแจ้ง ๑ ตัว
..........๑๒. ถั่วลาชมาศ (ถั่วเขียวเราะเปลือกคั่ว) ๔ จาน
..........๑๓. กระถางธูป เทียน ตั้งไว้ทางทิศเหนือ เทียนคู่ปิดทอง กระถางธูปอยู่ระหว่างเทียน
..........๑๔. กระดาษแดงรองหัวหมูและไก่
..........๑๕. น้ำดื่ม ๕ แก้ว
..........๑๖. หมากพลู ๕ คำ ยานัตถุ์ ( ยี่ห้อ “ลูกสาวหมอมี” เท่านั้น ), น้ำโอเลี้ยง ๑ แก้ว, ลูกสาลี่พร้อมปอกเป็นชิ้น, กระโถน

รบกวนพี่นางมารร้ายด้วยนะครับ

นางมารร้าย
21-10-2009, 16:50
..........รบกวนพี่นางมารร้าย ช่วยตรวจดูเครื่องที่จะใช้ในพิธีบวงสรวงหน่อยครับ ว่าคาดตกบกพร่องส่วนใดบ้างครับ

:d16c4689:น่าจะเป็นขาด ใช่ไหมคะ


..........๒. บายศรีปากชาม ๔ ชุด ประดับด้วยดอกไม้แดง ๑ ชุด, ดอกไม้เหลือง ๑ ชุด, สีน้ำเงิน แต่อนุโลมให้ใช้ดอกไม้สีม่วง ๑ ชุด, ดอกไม้ขาว ๑ ชุด (เย็บบายศรีลูกเจ็ดชั้นเดียว ตรงกลางเป็นกรวยใบตองใส่ข้าวปากหม้อ แล้วใช้ไข่ต้มเสียบไว้ยอดกรวย)

สมัยหลวงปู่ฤๅษีฯ เขาไม่ได้ประดับที่ตัวบายศรีปากชามเป็น ๔ สีตามทิศ แต่สมัยนี้พัฒนาขึ้น สวยขึ้น อะไรที่ดีขึ้นสวยขึ้นก็ต้องโมทนาด้วยค่ะ ดีแล้วค่ะ


..........๓. ข้าวตอก ดอกไม้


๔ ชุด สำหรับ ๔ ทิศนะคะ ถ้าจะเรียงสวย ๆ แบบที่วัดก็ทิศละ ๕ (ข้าวตอก ๕ กระทง ดอกไม้สีตามทิศอีก ๕ กระทง) ถ้าโต๊ะเล็กก็อย่างละกระทง


..........๗. ขนมต้มขาว (แป้งข้าวเหนียวปั้นกลมไส้กระฉีก) ขนมต้มแดง (แป้งข้าวเหนียวปั้นกลมแบนคลุก กับหน้ากระฉีก) อย่างละ ๔ จาน

หมายถึงจานเล็ก ๆ ใช่ไหมคะ เพราะที่วัดก็ใช้ใส่พานขนาดประมาณถ้วยขนมเล็ก ๆ



..........๙. หัวหมู ๓ หัวพร้อมน้ำจิ้มด้วย
..........๑๐. ปลาช่อนนึ่ง (แปะซะ ) ๑ ตัว และน้ำจิ้ม


น้ำจิ้มนั่นควรเป็นนำจิ้มแจ่วพร้อมผักนึ่งนะคะ อันนี้ไม่ต้องขึ้นโต๊ะไหว้ค่ะ แต่เอามาฝากพี่ ๆ ที่บ้านอนุสาวรีย์หลังบวงสรวงไงคะ พร้อมปลาช่อนแป๊ะซะ หรือไก่ หรือหัวหมู...ตามแต่จะเมตตาค่ะ...อิอิ


..........๑๔. กระดาษแดงรองหัวหมูและไก่

ซื้อสีผสมอาหารแบบผง แล้วเอาผงมาละเลงบนไก่และหัวหมูให้แดงเถือกไปเลยค่ะ จะได้อานิสงส์กันวินาศภัยเพิ่มด้วย


๑๒. ถั่วลาชมาศ (ถั่วเขียวเลาะเปลือกคั่ว) ๔ จาน
๑๕. น้ำดื่ม ๕ แก้ว
๑๖. หมากพลู ๕ คำ ยานัตถุ์ ( ยี่ห้อ “ลูกสาวหมอมี” เท่านั้น ), น้ำโอเลี้ยง ๑ แก้ว, ลูกสาลี่พร้อมปอกเป็นชิ้น, กระโถน
ข้อ ๑๔ เราะเปลือกค่ะ ใช้ ร.เรือ ค่ะ ถ้า ล.ลิง นั่น ใช้ตอนน้องไปเลาะเลียบรั้วบ้านสาว ๆ ค่ะ
ข้อ ๑๕ นี่ไม่เคยเห็นนะคะ ไม่ว่าสมัยหลวงปู่ฤๅษีฯหรือพระอาจารย์
ข้อ ๑๖ คิดว่าคงตั้งใจไหว้หลวงปู่ฤๅษีฯ ซึ่งพระอาจารย์ท่านใช้เฉพาะหมากพลูกับยานัตถุ์ ซึ่งเป็นของที่หลวงปู่ฯท่านขาดไม่ได้สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ จึงถือเสมือนเป็นสัญลักษณ์แทนองค์

นอกนั้นไม่ใช่ค่ะ โดยเฉพาะกระโถนนี่ไม่น่ามาอยู่บนโต๊ะบวงสรวงได้เลยนะคะ ถ้าจะเอาขนาดนั้นสงสัยอีกหน่อยคงต้องมีแว่นตา ไม้เท้า ฯลฯ กันบนโต๊ะบวงสรวงให้วุ่นไปหมด

:d16c4689: โอเลี้ยงกับสาลี่นั่นพี่ก็ชอบค่ะ ถ้าไม่รู้จะเอาไปไหนก็เอามาบ้านอนุสาวรีย์พร้อมปลาแป๊ะซะก็ได้ค่ะ...น้ำจิ้มแจ่วด้วยนะคะ...พี่จะรอนะคะ

:d16c4689: อย่าลืมแก้คำผิดด้วย ช่วยชาติกันนะคะ เราไม่รักชาติไทยแล้วใครจะรัก

ล้อมเดช
21-10-2009, 22:28
..........ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ภาษาไทยไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร

..........พี่นางมารร้ายครับ เรื่องกระโถน พอดีผมจะนำไปวางไว้ข้างล่างนะครับ (ตรงบริเวณจุดตั้งรูปหลวงพ่อครับ)

นางมารร้าย
22-10-2009, 09:05
..........ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ภาษาไทยไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร

..........พี่นางมารร้ายครับ เรื่องกระโถน พอดีผมจะนำไปวางไว้ข้างล่างนะครับ (ตรงบริเวณจุดตั้งรูปหลวงพ่อครับ)

:d16c4689: แล้วหลังบวงสรวงเสร็จ น้องจะจัดการอย่างไรกับกระโถนนั่นล่ะคะ

บายศรีและการบวงสรวงเป็นของสูง ตัวบายศรีหลังบวงสรวงแล้ว ยังต้องนำไปลอยน้ำ...ไม่ใช่ทิ้งขยะ ของใช้ที่ใช้ในพิธีส่วนใหญ่ทางวัดจะแยกต่างหาก ไม่ปะปนกับของที่ใช้ปกติ แต่ถ้าเป็นตามบ้าน ก็อนุโลมได้ เพราะถ้วยชามส่วนใหญ่ก็ใช้บนโต๊ะกินข้าว...ไม่ใช่ของต่ำอะไร

แต่กระโถนนี่สิ ตอนบวงสรวงก็ไม่ใช่ของจำเป็น ถ้าเข้าพิธีแล้วก็จะเอามาใช้ใส่ของต่ำ ๆ อย่างปกติก็ไม่ได้ แล้วจะเอาขึ้นหิ้งพระบูชาอย่างยานัตถุ์หมากพลูก็ไม่สมควร แล้วจะทำให้ชีวิตยุ่งยากไปทำไมละคะ

เพิ่งสังเกตว่าวันเสาร์ที่ ๗ นั่นเป็นเสาร์ห้า (แม้จะข้างแรม) ครูบาอาจารย์บอกว่าวันนี้แรงเกินไปสำหรับงานอื่น ๆ เหมาะจะบวงสรวงเกี่ยวกับวัตถุมงคลและพุทธาภิเษกเท่านั้น ตกลงว่าน้องจะบวงสรวงขอสร้างวัตถุมงคลอย่างเจ๊สายฯหรือเปล่าคะ ถึงเลือกใช้วันนี้

ภาษาไทยไม่แข็งแรง ยิ่งต้องเข้าเว็บนี้มารับใบแดงบ่อย ๆ ค่ะ เดี๋ยวก็ด้าน..เอ๊ย..ดีเอง

สายท่าขนุน
22-10-2009, 12:06
:d16c4689: เจ๊สายฯขา อย่าลืมแก้ เลาะ เป็น เราะ ด้วยนะคะ
แก้แล้วจ้ะ:onion_love:

ในวันเสาร์ห้าข้างแรม มักนิยมทำคุณไสย เสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปฝังรอย

แต่ก็เคยไปร่วมพิธีบวงสรวงพุทธาภิเษกของวัดเขาวงอยู่ครั้งหนึ่ง จัดในวันเสาร์ห้าข้างแรม ครั้งนั้นแว่ว ๆ เอ๊ะได้ยินจากหลวงพี่เอกว่า เป็นฤกษ์มหาเสน่ห์ หรืออะไรทำนองนี้

เรื่องวันเสาร์ห้าข้างแรมนี้ เพิ่งให้ข้อมูลทีมงานไปตามข้อความในกระทู้นี้
http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=948

มีใจความสำคัญระบุว่าต้องเป็นข้างขึ้นเท่านั้น

ถาม : บวงสรวงทำไมเสาร์ห้า ?
ตอบ : วันเสาร์ห้า ตามสายครูบาอาจารย์ท่านถือเป็นวันไหว้ครูประจำสายของเรา พิธีบวงสรวงก็คือว่า เหมือนกับรำลึกถึงครูบาอาจารย์ที่มีเมตตากรุณา สั่งสอนพวกเราสืบ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ลักษณะของงานบวงสรวงที่ทำก็ไหว้ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา เพราะพระพุทธเจ้าต้องเป็นครูใหญ่อยู่แล้ว

ถาม : ทำไมต้องใช้เสาร์ห้านี้คืออะไร ?
ตอบ : คือวันเสาร์ขึ้นห้าค่ำ ถ้าได้เดือนห้ายิ่งดี ถ้าไม่ได้เดือนห้าเดือนไหนก็ได้แต่ต้องเป็นข้างขึ้น คือ ตามสายครูบาอาจารย์เขากำหนดมาอย่างนั้น

ก็เลยจำมาเช่นนี้เสมอ:msn_smilies-15:
วันเสาร์ที่ ๗ กับวันที่ ๔ พฤศจิกายน ศกนี้ เป็นอมฤตโชคจ้ะ

ล้อมเดช
25-10-2009, 21:41
..........พี่นางมารร้ายครับ ผมรบกวนสอบถามเรื่องน้ำมนต์ครับ หลังจากเสร็จพิธีบวงสรวงแล้ว เราต้องนำน้ำมนต์ไปใช้ทำอะไรหรือเปล่าครับ

ตัวแสบจำเป็น
25-10-2009, 23:41
ตรงกับวันเสาร์ วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
(วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕)
.........................................................

แล้วหลวงพี่ท่านจะมีพิธีบวงสรวงเสาร์ ๕ ไหมเอ่ย

มีครับ.. หลวงพ่อท่านบอกไว้แล้ว เมื่อวันงานกฐินครับ

นางมารร้าย
26-10-2009, 10:27
..........พี่นางมารร้ายครับ ผมรบกวนสอบถามเรื่องน้ำมนต์ครับ หลังจากเสร็จพิธีบวงสรวงแล้ว เราต้องนำน้ำมนต์ไปใช้ทำอะไรหรือเปล่าครับ

:d16c4689: เวลาบวงสรวงเองที่บ้านพี่ไม่เคยตั้งขันน้ำมนต์ไว้ แต่ถ้าตั้งก็คงเอามากินหมด เพราะมีน้ำมนต์จากงานบวงสรวงใหญ่ของพระอาจารย์เก็บไว้ใช้เยอะแล้ว

นางมารร้าย
26-10-2009, 11:40
:d16c4689: ตอนนางมารร้ายบวงสรวงเองที่บ้าน ไม่มีเวลาเย็บบายศรี เลยไปหาซื้อจากปากคลองตลาด สังเกตได้ว่าเวลาไปซื้อตอนดึก ๓ - ๔ ทุ่ม จะมีให้เลือกเยอะมาก (กลางวันมีขายอยู่แค่เจ้าสองเจ้า)

บายศรีใหญ่ ใหญ่แค่ใส่พานใหญ่ ๆ (รู้สึกจะเป็นพาน ๘ นิ้ว) ถ้ามีพานอยู่แล้วจะไม่เอาพาน...ก็ได้ลดราคาค่าพานไปอีก มักบอกราคาเป็นคู่ ตั้งแต่คู่ละ ๕๐๐ ถึงคู่ละเป็นพัน แต่เดี่ยว ๆ ก็ขายโดยไม่บวกราคา แม่ค้าจะถามว่าเอาแบบไหว้เทพ ไหว้พรหม หรือไหว้พระ นางมารร้ายก็เลยเอาไหว้พระทั้งคู่ พานหนึ่งไว้เป็นประธานบนโต๊ะบวงสรวง อีกพานไปตั้งบนโต๊ะหน้าศาลพระภูมิพร้อมปลาและถั่ว...(คงได้น่า...ทีบายศรีแบบล้านช้างยังมีตัวลูกเป็นสิบ ๆ เลย)

บายศรีปากชาม ขนาดใส่ถ้วยข้าวต้มโฟม ตรงกลางเป็นกรวย ที่ตั้งขายเขามักประดับด้วยดาวเรือง ลองเดินดูมีบางเจ้าที่ประกอบไปขายไป ก็เลยไปขอซื้อแบบที่ยังไม่ประดับดอกไม้จากเขาเพื่อมาประดับดอกไม้เอง ก็ได้ลดราคาไปอีกคู่ละสิบบาท ประดับดอกไม้คู่ละ ๖๐ - ๗๐

ตอนเอาข้าวปากหม้อกรอกลงกรวย ก็ดึงเอาหนังยางที่รัดกรวยกับตัวบายศรีออก เอามาใส่ข้าวได้สักสองสามช้อน แล้วเอาตัวบายศรีประกบรัดหนังยางไว้เหมือนเดิม...ตามรอยเดิม เอาดอกไม้ใส่ไปรอบ ๆ แล้วเอาไม้เสียบลูกชิ้นยาว ๆ เหลาให้แหลมสองด้าน เสียบจากยอดกรวยลงไป เหลือพ้นยอดให้พอเสียบไข่ต้มอยู่

ใครไม่สะดวก..เอาที่ประดับเสร็จแล้วก็ได้นะคะ เพราะสมัยหลวงปู่ฤๅษีฯบวงสรวงนี่...บายศรีสี่ทิศประดับดอกไม้เหมือนกันเปี๊ยบ ต่างกันแค่ดอกไม้ใส่พานสี่ทิศเท่านั้นเองที่สีตามทิศ

ที่บ้านโต๊ะเล็ก ใช้ไก่ ๑ ตัวกับหมูชิ้น ๓ ชิ้น อุตส่าห์ไปซื้อสันในอย่างดีมา น้องสาวบอกว่าต้องใช้หมูบวงสรวง เป็นสามชั้นแบบไม่ค่อยมีมัน (ไม่รู้เขาดูตำราจากไหน) ก็ไม่เป็นไร...สบายใจอย่างไรก็เอา

ถึงเวลาก็รีบตั้งโต๊ะแต่เช้า เปิด MP3 เสียงหลวงปู่ฯบวงสรวง เสร็จสรรพทุกคนในบ้านก็เผ่นไปธุระกันหมดโดยไม่รอธูปดับ ในใจก็เป็นห่วงกลัวแมวมาทึ้งของบวงสรวง ก็ได้แต่กำหนดจิตบอกท่านเจ้าที่ว่าพวกหนูยุ่งจริง ๆ อยู่เฝ้ากันไม่ได้ ที่เหลือหลังจากนี้ก็สุดแท้แต่ท่านเถิดค่ะ เพราะของบวงสรวงทั้งหมดนี่หนูถวายท่านไปหมดแล้ว

ปรากฏว่าแม่กลับมาบ้านคนแรกตอนเที่ยง บอกว่ากระดาษแดงรองไก่ไหม้เป็นวงอยู่แค่รอบตัวไก่ นอกนั้นไม่มีอะไรไหม้เลย ไม่รู้ไหม้และดับเองได้อย่างไร ธูปเทียนก็ไม่ล้ม แต่ที่แปลกที่สุดคือ แมวจรจัดแถวนั้นหายหัวไปไหนหมดไม่รู้ จะไก่จะหมูก็อยู่ครบ...อันนี้สิไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน เพราะแมวแถวนั้นเยอะมาก เจอหน้ากันทุกวันวันละตัวสองตัว บวงสรวงคราวที่แล้วมันยังพากันมามองน้ำลายยืดอยู่รอบ ๆ เลย แต่วันที่บวงสรวงคราวนี้นี่มันหายไปอย่างไร้วี่แววทั้งวัน นางมารร้ายกลับมาตอนเย็นลองเดินหายังไม่เจอเลยค่ะ เจอโผล่มาอีกทีก็ค่ำแล้ว สรุปว่าหายไปเช้าจรดเย็นเลยค่ะ

แสดงว่าที่ทำนี่ต้องมีผลแน่นอนค่ะ ถ้าเราจำเป็นจริง ๆ ท่านก็ช่วยได้แม้แต่ดับไฟและไล่แมว!

วาโยรัตนะ
18-04-2010, 18:34
"บายศรี"

ความหมายของ “บายศรี” นั้น สันนิษฐานว่าได้รัอิทธิพล มาจาก ลัทธิพราหมณ์ซึ่งเข้ามาทางเขมร ทั้งนี้เพราะคำว่า “ บาย ” ภาษาเขมรแปลว่า ข้าวสุก ภาษาถิ่นอีสาน แปลว่า จับต้อง,สัมผัส ส่วนคำว่า “ ศรี ” มาจากภาษาสันสกฤตตรงกับภาษาบาลีว่า “ สิริ ” แปลว่า มิ่งขวัญ

ดังนั้นคำว่า “ บายศรี ” น่าจะแปลได้ว่า ข้าวขวัญ หรือ สิ่งที่น่าสัมผัสกับความดีงาม
“ บายศรี ” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานแปลว่า ข้าวอันเป็นสิริ,ขวัญข้าว หรือภาชนะที่จัดตกแต่ง ให้สวยงามเป็นพิเศษด้วยใบตองและดอกไม้สด เพื่อเป็นสำรับใส่อาหารคาวหวาน ในพิธีสังเวยบูชาและพิธีทำขวัญต่าง ๆ

สมัยโบราณมีการเรียกพิธีสู่ขวัญว่า “ บาศรี ” ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เป็นพิธีสำหรับบุคคลชั้นเจ้านาย เพราะคำว่า “ บา ” เป็นภาษาโบราณอีสานใช้เป็นคำนำหน้าเรียกเจ้านาย เช่น บาท้าว,บาบ่าว,บาคราญ เป็นต้น ส่วนคำว่า “ ศรี ” หมายถึง ผู้หญิงและสิ่งที่เป็นสิริมงคล “ บาศรี ” จึงหมายถึง การทำพิธีที่เป็นสิริมงคล แต่ปัจจุบันนี้คำว่า บาศรี ไม่ค่อยนิยม เรียกกันแล้ว มักนิยมเรียกว่า “บายศรี” บายศรีจะเรียก เป็นองค์ มีหลายประเภท เช่น บายศรีเทพ บายศรีพรหม เป็นต้น

ส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นบายศรี มีความหมายในทางดี เช่น
-กรวยข้าวหมายถึงความอุดมสมบูรณ์
-ใบชัยพฤกษ์หรือใบคูนหมายถึง อายุยืนยาว
-ดอกดาวเรืองหมายถึงความเจริญรุ่งเรือง
-ดอกรักหมายถึงความรักที่มั่นคง
-ไข่ต้ม...ในกรณีบายศรีแต่งงาน จะมีสองฟอง เป็นของเสี่ยงทายแทนหัวใจฝ่ายชายฝ่ายหญิง ว่าจะรักกันมั่นคง ผ่าไข่ต้มเป็นสองซีกแล้วดูกันที่ไข่แดง ถ้าเอียงไปอยู่ข้างใด ทายว่าใจโลเล แต่ถ้าอยู่ตรงกลางแสดงว่าหัวใจรักมั่นคง

ความหมายของชั้นบายศรีมิได้มีการกำหนดไว้ตายตัว หากแต่เป็นเพียงผู้ที่ประดิษฐ์บายศรีมีความเชื่อศรัทธาต่อสิ่งใดแล้ว ก็มักจะน้อมนำคำสอนหรือความเชื่อต่าง ๆ มาประดิษฐ์บายศรีเป็นชั้น ๆ และแปลความหมายตามนัยที่ตนประสงค์ต่อสิ่งศรัทธานั้น ๆ ตัวอย่างเช่น

๓ ชั้น เพื่อระลึกถึง พระรัตนตรัยมีองค์ ๓ ในศาสนาพุธ ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเทพเจ้า ๓ พระองค์ ในศาสนาฮินดู ได้แก่ พระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม

๕ ชั้น เพื่อระลึกถึง ขันธ์ทั้ง ๕ หรือที่ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าเบญจขันธ์ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

๗ ชั้น เพื่อระลึกถึง โพชฌงค์ ๗ ซึ่งเป็นธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ได้แก่ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา (พจนานุกรมพุธศาสตร์ : ๒๓๙)

๙ ชั้น เชื่อเป็นมงคลสูงสุดในการดำเนินชีวิตจะได้ก้าวหน้ารุ่งเรือง ไม่ว่าจะทำการใด ๆ มักนิยมเลข ๙ มากกว่าเลขอื่น เพื่อระลึกถึงพุทธคุณ ๙ หรือคุณของพระพุทธเจ้า ๙ ประการที่เรียกว่า "นวารหาทิคุณ"

"นวารหาทิคุณ" คือ พระพุทธคุณ ๙ ได้แก่

๑ . อะระหัง คือ เป็นพระอรหันต์ คือ เป็นผู้บริสุทธิ์ไกลจากกิเลส ทำลายกำแพงแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ควรได้รับความเคารพบูชาเป็นต้น

๒.สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเอง

๓.วิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชา คือ ความรู้และจรณะ คือความประพฤติ

๔.สุคะโต เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว คือ ทรงดำเนินพระพุทธจริยาให้เป็นไปโดยสำเร็จผลด้วยดี พระองค์เองก็ได้ตรัสรู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพุทธกิจก็สำเร็จประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ชนทั้งหลายในที่ที่เสด็จไป และได้ประดิษฐ์พระศาสนาไว้ แม้ปรินิพพานแล้วก็เป็นประโยชน์แก่มหาชนสืบมา

๕.โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก คือ ทรงรู้แจ้งสภาวะอันเป็นคติธรรมดาแห่งโลกคือสังขารทั้งหลาย ทรงหยั่งทราบอัธยาศัยสันดานแห่งสัตว์โลกทั้งปวง ผู้เป็นไปตามอำนาจแห่งคติธรรมโดยถ่องแท้ เป็นเหตุให้ทรงดำเนินพระองค์เป็นอิสระ พ้นจากอำนาจครอบงำแห่งคติธรรมดานั้นและทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลายผู้ยังจมอยู่ในกระแสโลกได้

๖.อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งไปกว่า คือ ทรงเป็นผู้ฝึกคนได้ดีเยี่ยมไม่มีผู้ใดเท่าเทียม

๗.สัตถา เทวะมะนุสสานัง เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

๘.พุทโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว คือ ทรงตื่นเองจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ถือกันมาผิด ๆ ด้วย ทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย อนึ่ง เพราะไม่ติด ไม่หลง ไม่ห่วงกังวลในสิ่งใด ๆ มีการคำนึงประโยชน์ส่วนตนเป็นต้น จึงมีพระทัยเบิกบาน บำเพ็ญพุทธกิจได้ถูกต้องบริบูรณ์โดยถือธรรมเป็นประมาณ การที่ทรงพระคุณสมบูรณ์เช่นนี้และทรงบำเพ็ญพุทธกิจได้เรียบร้อยบริบูรณ์เช่นนี้ ย่อมอาศัยเหตุคือความเป็นผู้ตื่นและย่อมให้เกิดผลคือทำให้เบิกบานด้วย

๙.ภควา ทรงเป็นผู้มีโชค คือจะทรงทำการใด ก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการหรือเป็นผู้จำแนกธรรม

วาโยรัตนะ
18-04-2010, 18:38
การจัดทำ "บายศรี" นั้น เริ่มจากการนำใบตองที่ได้มาจากกล้วยตานี เย็บเป็นบายศรี ประดับด้วยดอกไม้มงคลต่าง ๆ ส่วนตัวบายศรี ยังแบ่งออกตามลักษณะการใช้งานในการบูชาที่แตกต่างออกไปเช่น

บายศรีปากชาม ลักษณะบายศรีปากชาม รองด้วยชามที่มีขนาดเหมาะสม ตัวแม่มี ๕ ลูก จำนวน ๓ ด้าน และมีลูก ๓ ลูก แซมอีก ๓ ด้าน จากนั้นจะมีแมงดาที่แม่บายศรีอีกทั้ง ๓ ด้าน ตรงกลางจะม้วนเป็นกรวยด้วยใบตองตานี ภายในใส่ข้าวสวยไว้ภายใน ยอดบายศรีจะใช้ไข่ต้มเสียบ ส่วนรอบๆ จะมีการประดับไปด้วย ดอกไม้มงคลต่างๆ บายศรีปากชาม เป็นบายศรีที่ใช้ในการสักการบูชา เทพยดา ครูบาอาจารย์ ในการบวงสรวงเทพยดาในทุก ๆ พิธีกรรมจะขาดบายศรีปากชามไม่ได้

บายศรีเทพ จะมีลักษณะ ตัวแม่ ๙ ลูก ตัวลูก ๕ ลูก ปัจจุบันจะไม่ใส่ข้าวภายในกรวยเหมือนบายศรีปากชาม แต่ก็อนุโลมให้ใช้ เรียกว่าบายศรีเทพเพื่อสักการะบูชาเทพยดา

บายศรีพรหม จะใช้ตัวแม่ ๑๖ ลูก ตัวลูก ๙ ลูก ภายในกรวยที่อยู่ตรงกลาง จะบรรจุด้วย หญ้าแพรก ใบโพธิ์ ใบขนุน ดอกเข็ม ด้านนอก จะใช้หมาก,พลู,บุหรี่ ,ดอกไม้มงคลประดับ ใช้ในพิธีกรรมการบวงสรวงพระพรหม เช่น การตั้งศาล หรือพิธีกรรมบวงสรวงในงานไหว้ครู
นอกจากนี้ บายศรีพรหมที่ทำเป็นพุ่ม ยังมีบายศรีพรหมประกาศิต ที่ใช้ในด้านการบวงสรวง ที่ให้ผลดีแก่สานุศิษย์ ทั้งผู้ชายผู้หญิง ก็สามารถสักการะได้ จะมีตัวลูกเรียงกัน ๑๖ ลูก ทั้ง ๒ ด้าน รวม ๓๒ ลูก มองดูเป็นรูป ใบพายใช้ ๔ ด้าน ใน ๑ พาน ตรงกลางจะมีใบไม้มงคลเหมือนบายศรีพรหมทั่วไป ซึ่งบรรจุอยู่ตรงกลางกรวย

บายศรีหลัก ใช้บายศรีสลับกันไป เช่น ชั้นแรก ๓๒ ลูก หรือ ๑๖ ลูก ชั้นต่อไป ก็ลดลงตามแต่ผู้สั่งจะสั่งทำ บายศรีหลักมี ๙ ชั้น หรือ ๗ ชั้น หรือ ๕ ชั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในพิธีกรรมไหว้ครู ซึ่งให้ความหมาย “ด้านการตั้งตัว มีหลักมีฐานที่มั่นคง”

บายศรีตอ ตำราโบราณจะใช้ต้นกล้วยเป็นแกนกลาง รัดด้วยบายศรีเป็นชั้นหนึ่งหรือสองชั้นก็มี ชั้นแรกด้านบนจะใช้บายศรีแม่ ตั้งขึ้น ๕ ลูกแล้วลง ๕ ลูก เป็น ๓ ด้าน ช่วงตรงกลางของช่องว่าง จะคั่นด้วยตัวลูกขึ้น ๓ ลูก ลง ๓ ลูก บนยอดจะใส่กระทง หมาก,พลู,บุหรี่,ของหวาน เช่น เม็ดขนุน ทองยอด แล้วปิดด้วยกรวย เป็นบายศรีซึ่งใช้ในทาง ขอขมาต่อเทพยดาครูบาอาจารย์พื้นล่าง

บายศรีบัลลังก์ ซึ่งมีทั้ง บัลลังก์บรมครู,บัลลังก์ศิวะ,บัลลังก์นารายณ์ (ส่วนใหญ่จะทำเป็นรูปพระยานาค มี ๕ - ๗ เศียร) บางครั้ง ก็ทำบัลลังก์เป็นรูปพระยาครุฑ,บัลลังก์ธรรมจักรก็มี บัลลังก์พิฆเนศ,บัลลังก์จุฬามณี แล้วแต่เจ้าพิธีต่าง ๆ จะสั่งทำ ให้ผลด้านความมั่นคง และอุดมสมบูรณ์

ลูกตาล
10-05-2010, 16:16
ผมสงสัยเกี่ยวกับเครื่องบวงสรวงในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ครับ

๑. เรื่องบายศรีต้น
ในการทำพิธีบวงสรวงที่บ้านควรใช้บายศรีลูกเก้า ๓ ชั้น ๕ ตัว หรือบายศรีลูกเก้า ๑ ชั้น ๕ ตัวครับ หรือสามารถใช้ได้ ๒ แบบ


๒.ยอดบายศรี
ในกระทู้บอกว่าให้ประดับ ธูป เทียน ดอกไม้ จะประดับอย่างไรครับ หรือทางร้านทำบายศรีต้องทำให้อยู่แล้วครับ

๓. ข้าวตอกและถั่วเขียวคั่วเราะเปลือกสามารถหาซื้อได้ที่ใดครับ กรณีถ้า
หาถั่วเขียวคั่วเราะเปลือกไม่ได้สามารถใช้ถั่วเขียวคั่วธรรมดาได้หรือไม่ครับ
๓.๑ ถ้าหากต้องการทำถั่วเขียวคั่วเราะเปลือก สามารถทำได้โดยเอาถั่วเขียวมาคั่วแล้วเราะเปลือกใช่หรือไม่ครับ

๔.ปลาช่อนนึ่งต้องนำขึ้นโต๊ะบวงสรวงหรือไม่ครับ กรณีถ้าต้องการไหว้ศาลพระภูมิแต่ศาลอยู่ไกลจากบริเวณบ้าน และควรวางไว้ตำแหน่งใดของโต๊ะบวงสรวงครับ

นางมารร้าย
10-05-2010, 17:15
:d16c4689: จากประสบการณ์ค่ะ

๑. ทั้ง ๒ แบบ
๒. สั่งร้านทำ
๓. ข้าวตอก เจอที่ร้านสังฆภัณฑ์ ถั่วทอง เจอที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต
หาถั่วทองไม่ได้ ก็เห็นเขานิยมใช้ถั่วเขียวคั่วกัน
๓.๑ ทำไม่เป็นค่ะ แต่คิดว่าน่าจะเราะเปลือกก่อนคั่ว เพราะคั่วแล้วดูท่าจะเราะยาก
๔. ที่บ้านใช้โต๊ะเล็กวางหน้าศาลพระภูมิแยกออกไป แต่ถ้าจำเป็นต้องวางรวมบนโต๊ะบวงสรวง ก็กะว่าจะวางตรงไหนก็ได้ที่มีที่ว่างค่ะ

ลูกตาล
11-05-2010, 23:32
ขอเรียนถามอีกเรื่องครับ
ถ้าต้องการจะเย็บบายศรีเองจำเป็นต้องไหว้ครูก่อนหรือไม่ ถ้าจำเป็นการไหว้ครูควรทำอย่างไรเช่น ต้องใช้ของอะไรบ้าง

นางมารร้าย
12-05-2010, 09:32
:d16c4689: ไหว้ครูบายศรี ใช้เงิน ๑๒ บาท ใส่พานกับดอกไม้ วางถวายที่หิ้งพระ (แล้วเอาถวายพระภายหลัง) คราวใดลืมไหว้ จะทำออกมาเบี้ยว ๆ บูด ๆ บ้าง ทำช้าบ้าง เดี๋ยวแมวหมาตบตีกันให้รำคาญใจไร้อารมณ์ทำบ้าง ฯลฯ

นางมารร้าย
29-06-2010, 17:46
:d16c4689: ไปหาจากกูเกิ้ลค่ะ

ขนมต้มขาว ขนมต้มแดง ซึ่งทั้งสองอย่างมีขายตลอด ๒๔ ชั่วโมงที่ปากคลองตลาด (โซนขนมหวาน ค่อนไป
ทางใกล้ ร.ร.ราชินี)

ถั่วทอง ซื้อมาคั่วเองพอหอม ๆ

เสาวลักษณ์๐๗๑
08-09-2010, 12:15
อยากทราบว่าเวลาในการบวงสรวง ควรที่จะเป็นตอนเช้า ไม่เกินเที่ยง หากแต่ถ้าอยู่ต่างประเทศ เราควรยึดเวลาในเมืองไทยหรีอเวลาของประเทศนั้น ๆ (ซึ่งอาจเป็นตอนกลางคืนของเมืองไทย) ดีคะ
รบกวนท่านผู้รู้ตอบด้วยค่ะ

ภูวกร
09-09-2010, 10:00
ถ้ามีภาพบายศรีแต่ละประเภท ประกอบจะดีมากเลยครับ เช่น บายศรีปากชาม ลักษณะบายศรีปากชาม รองด้วยชามที่มีขนาดเหมาะสม ตัวแม่มี ๕ ลูก จำนวน ๓ ด้าน และมีลูก ๓ ลูก แซมอีก ๓ ด้าน จากนั้นจะมีแมงดาที่แม่บายศรีอีกทั้ง ๓ ด้าน

พรศักดิ์
27-01-2012, 00:17
สอบถามพี่นางมารร้ายครับว่า ศาลเก่าที่ตั้งอยู่ผิดทิศ จะย้ายศาลใหม่โดยไม่รื้อศาลเก่าจะได้หรือไม่ครับ? สาเหตุคือพ่อท่านไม่เห็นด้วย ถ้าทำได้ผมจะตั้งศาลใหม่โดยไม่ต้องรื้อศาลเก่า

คนเก่า
27-01-2012, 08:38
แต่ถ้ามีคนทักให้คุณพ่อหรือคุณพรศักดิ์ไม่สบายใจ จะตามใจคนทักต่อไปเรื่อย ๆ ไหมครับ

พรศักดิ์
27-01-2012, 10:27
พ่อท่านว่าตั้งมาสามสิบปีแล้วไม่มีอะไร แล้วก็กี่คนต่อกี่คนก็ว่าดีแล้วถูกแล้ว ที่สำคัญก็คือ ผมไม่สามารถหาตำรามาหักล้างความเชื่อนั้นได้เสียด้วย

ภูวกร
31-01-2012, 12:03
ปัจจุบันศาลที่มีสี่เสาต่ำกว่าศาลพระภูมิครับ มองอยู่หลายวันว่าจะแก้ไขอย่างไรดีครับ ขอบคุณครับ

นางมารร้าย
31-01-2012, 13:52
ที่บ้านนางมารร้ายเป็นศาลไม้ เลยใช้อิฐมวลเบามาซ้อน ๆ กันเสริมพื้นให้สูงขึ้น พอเอาศาลวางก็ให้ได้ระดับพอดี

ถ้านางมารร้ายเจอศาลเก่าตั้งผิด ก็จะหาวันดีทำพิธีตั้งศาลใหม่โดยเร็ว หาวันได้แล้วก็จะจุดธูปขอขมาและบอกกล่าวท่านทันทีค่ะ

คนเก่า
02-02-2012, 13:56
พ่อท่านว่าตั้งมาสามสิบปีแล้วไม่มีอะไร แล้วก็กี่คนต่อกี่คนก็ว่าดีแล้วถูกแล้ว ที่สำคัญก็คือ ผมไม่สามารถหาตำรามาหักล้างความเชื่อนั้นได้เสียด้วย

ถ้าคิดอย่างนั้นก็ไม่ต้องถาม คุณพ่อท่านประสงค์อย่างไรก็ทำอย่างนั้น เป็นการสนองคุณบุพการี ทำให้ท่านสบายใจ มัวถามคนนั้นคนนี้ ถ้าขัดกับความประสงค์ของท่าน เราก็จะไม่สบายใจเปล่า ๆ

แล้วเราก็แอบไปกราบขอขมา ทำบุญอุทิศให้ พระภูมิ-เจ้าที่ และเทพเจ้าผู้มีพระคุณบ่อย ๆ บอกว่าสิ่งที่ทำเพราะสนองคุณคุณพ่อ หากมีอะไรไม่เหมาะสม ก็กราบขอขมา ขอช่วยผ่อนปรนด้วย ขี้คร้านจะรวยไม่เลิก

พรศักดิ์
02-02-2012, 18:26
ถ้าคิดอย่างนั้นก็ไม่ต้องถาม คุณพ่อท่านประสงค์อย่างไรก็ทำอย่างนั้น เป็นการสนองคุณบุพการี ทำให้ท่านสบายใจ มัวถามคนนั้นคนนี้ ถ้าขัดกับความประสงค์ของท่าน เราก็จะไม่สบายใจเปล่า ๆ

แล้วเราก็แอบไปกราบขอขมา ทำบุญอุทิศให้ พระภูมิ-เจ้าที่ และเทพเจ้าผู้มีพระคุณบ่อย ๆ บอกว่าสิ่งที่ทำเพราะสนองคุณคุณพ่อ หากมีอะไรไม่เหมาะสม ก็กราบขอขมา ขอช่วยผ่อนปรนด้วย ขี้คร้านจะรวยไม่เลิก

ขอบคุณครับ มีเก็บตกอยู่เดือนหนึ่งที่มีผู้ถามถึงเรื่องตั้งศาลพระภูมิผิดทิศมาตั้งหลายปีแล้วแต่ทำไมไม่เห็นมีอะไรเลย หลวงพ่อก็ตอบว่า บุญเก่ายังดีอยู่ ก็ระวังอย่าให้บุญขาดช่วงแล้วกัน ตอนนี้เลยเหมือนถูกบังคับให้ภาวนาทุกวันทุกคืน และไม่ลืมอุทิศส่วนกุศลให้ท่านเทวดา พระภูมิ-เจ้าที่ ส่วนที่รีบร้อนจนเหมือนร้อนรนก็เพราะว่าปีนี้เศรษฐกิจค่อนข้างแย่หนัก ก็อยากจะให้ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาบ้างน่ะครับ แต่ตอนนี้ก็ไม่ดิ้นรนแล้วครับ อะไรจะเกิดก็ช่าง ทำตามที่หลวงพ่อบอก ทาน ศีล ภาวนา หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้มากกว่าเดิมก็พอ

นางมารร้าย
02-02-2012, 18:49
ถ้าเป็นนางมารร้าย พ่อจะไหว้ศาลเก่าก็ปล่อยท่านไป แต่หนูขอตั้งศาลใหม่สำหรับหนูไหว้เองเพิ่มอีกศาลหนึ่งค่ะ...อิ...อิ

คนเก่า
02-02-2012, 19:16
หลวงพ่อก็เคยสอนว่าทุกสิ่งที่ประสบขึ้นอยู่กับกรรมครับ
ถ้าวางกำลังใจตามที่ท่านสอนได้จริงก็สิ้นทุกข์

การตั้งศาลพระภูมินั้น หลวงปู่สอนว่าเป็นการยอมรับ-บูชาอย่างหนึ่ง หากยังไม่สะดวกก็ไม่ต้องทำก็ได้ บ้านผมที่เชียงใหม่อายุ ๘๐ ปีแล้วก็ไม่เคยมีศาล ปู่เป็นคนสร้างบ้านไว้แล้วกลับไม่ตั้งศาล ยังรวยเอา ๆ จนถูกเรียกขานว่าเป็นคหบดี มีลูกชายก็หลายคน อายุยืน นับเป็นผู้มีบุญตามคติจีน

ผมเองก็กราบและระลึกนึกถึงพระภูมิ-เจ้าที่ อุทิศกุศลให้บ่อย ๆ กระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง ไม่กี่ปีมานี่ ท่านผบ.เกิดศรัทธา อยากตั้งศาล บอกผม ผมก็สนองคุณให้ตามความประสงค์

เล็งดูแล้วไม่ว่าทิศเหนือหรือทิศตะวันออก ล้วนถูกปลูกสร้างยันเขตที่ จึงไปบ้านถวาย ซื้อบ้านเล็กตั้งโต๊ะเป็นที่บูชาพระภูมิใกล้กับที่บูชาพระเดิม บนชั้น ๒ โดยตั้งอยู่ทางทิศเหนือของบ้าน

ท่านผบ.จัดเครื่องบูชาตามศรัทธา ผมก็ตั้งตนเป็นเจ้าพิธี ตั้งสัคเคฯ นำสวดบูชาพระและเจริญพระพุทธมนต์เท่าที่จำได้ นำกล่าวสักการะ-อุทิศกุศลและขอพรไปตามเรื่อง ทุกวันพระท่านผบ.ก็จัดของบูชา ดูจะมีความสุขดี

เราทำดี กราบไหว้ผู้ใหญ่ เป็นกริยาบุญตามที่พระพุทธองค์สอนอยู่แล้วครับ

หมายเหตุ "บ้านถวาย" เป็นชื่อหมู่บ้านชื่อ "ถวาย" ตั้งอยู่ในอำเภอ "หางดง" ของเชียงใหม่ มีชื่อเสียงด้านสินค้าหัตถกรรมที่ทำจากไม้

นัฐภูมิ
09-08-2012, 20:21
ผมได้รับแจ้งว่าทำผิดกฎเรื่องตัวสะกด แต่ผมหาไม่เจอเนื่องจากว่าอาจจะมีการเน้นสีหรือทำสัญลักษณ์ให้ทราบว่าผิดที่ไหน แต่ผมมองไม่เห็นจริงๆ และตัวสะกดผมค่อนข้างจะแย่เอามากๆ เนื่องจากการเข้าถึงสื่อต่างๆ เน้นการฟัง และมักจะไม่ทราบว่าคำเหล่านั้นเขียนอย่างไร ที่เคยจำได้พอนานๆ ก็ลืมไปตามระเบียบ เพราะผมตาบอดตามชื่อเลย จึงลบข้อความเก่าทิ้งทั้งหมด เหลือแต่เพียง ขออนุโมทนาทุกท่านที่มีส่วนกับการเขียนหัวข้อนี้
สำหรับท่านที่จะเมตตาแบ่งปันเสียงบวงสรวงให้รบกวนส่งมาที่
basker2001@gmail.com
ครับ ขอบพระคุณอย่างสูง
คนตาบอด
ปล. อาจจะมาตอบช้ามากๆ ครับ เพราะว่าผมไม่มีอินเทอร์เน็ต ใช้ผ่านมือถือครับ

๐ ชู ๐
10-08-2012, 00:18
มีจีเมล หรือไม่ครับ เดี๋ยวผมส่งให้ สบายมาก

นางมารร้าย
14-08-2012, 10:27
ถาม : หากมีศาลเดิมอยู่ก่อนแล้ว และมีความจำเป็นต้องย้ายศาลไปตั้งที่ใหม่หรืออาจจะตั้งที่เดิมแต่ทำใหม่ให้ดีกว่า ควรมีการทำพิธี "ถอนศาล" หรือไม่ ? ควรทำอย่างไร ? และมีวิธีการเช่นไร ?

เคยมีความจำเป็นต้องถอนศาลอยู่ครั้งเดียว คือบ้านป้าเขาขายไปให้คนอิสลาม เขาไม่เอาศาลพระภูมิ แต่ก็ไม่กล้าถอนเอง (มันก็นกรู้เหมือนกัน) เขาให้ป้าจัดการถอนศาลออกเสีย นางมารร้ายจึงมาปรึกษาพระอาจารย์

"การถอนศาล ยุ่งยากกว่าการตั้งศาลหลายเท่า ผิดพลาดขึ้นมาก็แย่...เดี๋ยวไปทำให้"

ว่าแล้วรอท่านว่าง เอารถมารับท่านไป ไปถึงก็จุดธูปเทียน เครื่องเซ่นไหว้อะไรก็ไม่มี ท่านว่าของท่านไปสักพักก็เสร็จ แถมหันมายิ้มบอกว่าพระภูมิท่านให้หวยมาด้วย

ในหนังสือสมบัติพ่อให้ หลวงปู่ฤๅษีฯ ท่านว่าให้เราจุดธูปเทียนอธิษฐานขอขมาท่าน บอกกล่าวกับท่านว่าเจ้าของบ้านใหม่เขาไม่ได้นับถือ เอาศาลไว้เดี๋ยวจะเป็นโทษแก่เขา จึงขออนุญาตรื้อออกเสีย

แต่ถ้าเป็นการเจรจาขอย้ายที่ เปลี่ยนแปลงซ่อมแซมให้ศาลดูดีขึ้น ก็น่าจะ "คุยกัน" ได้ง่ายขึ้นนะคะ

สรุปแล้ว ถ้าคุยกับ "ท่าน" ได้ก็น่าจะดีที่สุดค่ะ...ฮี่...ฮี่

ปราโมทย์
14-08-2012, 14:05
สรุปแล้ว ถ้าคุยกับ "ท่าน" ได้ก็น่าจะดีที่สุดค่ะ...ฮี่...ฮี่
ตรงนี้ ถ้าเป็นผมคงเป็นส่วนที่มีปัญหามากที่สุดครับ :onion_no::d33561e9:

คนเก่า
14-08-2012, 14:25
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน คุณเอกวัจน์ อมรวิวัฒน์ ไปกราบนมัสการพระอาจารย์ที่บ้านอนุสาวรีย์ กราบเรียนถามว่าต้องการเปลี่ยนตุ๊กตาในศาลพระภูมิ จะทำอย่างไรกับชุดเก่าดี

พระอาจารย์เมตตาตอบว่าให้หาถุงดำมาใส่แล้วไปวางที่ถังขยะ คุณเอกวัจน์ทำตาโตเท่าไข่ห่าน ระล่ำระลักถามว่า จริงหรือครับ พระอาจารย์ก็บอกว่า ถ้าไม่จริงจะบอกทำซากทำไม คุณเอกวัจน์ทำท่าจะขาดใจ

พระอาจารย์เมตตาขยายความว่า ที่บอกให้หาถุงดำมาใส่ก็เพราะป้องกันคนมาเห็นแล้วจะทำอาการอย่างนี้แหละ