PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๒


เถรี
12-10-2009, 21:31
ถาม : ถามนิดหนึ่งครับหลวงพี่ ถ้าหลวงพี่อธิษฐาน (เสกของ) เรียบร้อยแล้วต้องเอาไปเข้าพิธีอีกไหมครับ
ตอบ : มันอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่เชื่อ ขาดความมั่นใจก็ไปหาทางเข้าพิธีสัก ๗-๘ ครั้ง ก็อาจจะดีขึ้น

ถาม : อย่างนี้จะกลายเป็นการปรามาสไหมครับ หลายรอบ หลายหน
ตอบ : จะเรียกว่าปรามาสโดยตรงก็ไม่ใช่ แต่คนที่ขาดความมั่นใจขนาดนั้นจะเอาดีอะไรก็ยาก

เถรี
12-10-2009, 22:02
ถาม : หลวงพ่อคะ หลังจากครั้งล่าสุดที่หนูติดอยู่ หนูก็ไปภาวนาแบบไม่สนใจอะไรมาก มันก็ผ่านไปได้ค่ะ มันก็ไปอยู่ที่อารมณ์นิ่งสนิท เฉยสนิทค่ะ ทำให้หนูเข้าใจว่าเป็นฌานสี่ แต่พอลองเงี่ยหูฟังก็ยังได้ยินเสียง แล้วก็ยังหายใจอยู่ด้วยค่ะ แสดงว่ามันยังไม่ใช่ฌานสี่ใช่ไหมคะ
ตอบ : เราจะไปเอาฌานสี่แบบนิ่งสนิทมันไม่ได้ เพราะว่ามันมีฌานสี่แบบใช้งานด้วย ฌานสี่แบบใช้งานมันเหมือนกับอารมณ์ปกติทั่ว ๆ ไป เพียงแต่ว่าเราจะสนใจอาการภายนอกหรือเปล่า ถ้าสนใจ...มันรับรู้ แต่ถ้าหากเป็นฌานสี่ที่เป็นสมาธิตั้งใจฝึกอย่างเดียว โดยไม่สนใจอย่างอื่นเลย มันจะไม่รับรู้อาการภายนอก ต้องไปสังเกตด้วยตัวของเราเอง สำคัญที่สุดว่าขณะนั้นนิวรณ์ ๕ กินใจเราหรือเปล่า ถ้านิวรณ์มันกินใจเราไม่ได้ ถือว่ากำลังมันเพียงพอที่จะสู้กิเลสแล้วแม้ว่ามันไม่มากพอที่จะตัดกิเลสก็ตาม

ถาม : แล้วพอถึงจุดนั้นหนูก็รู้สึกว่า ถ้าพิจารณาได้มันจะดี แต่พอนึกอย่างนั้นแล้วมันก็พิจารณาไม่ไป เหมือนมันเฉื่อย ๆ อยากจะแช่อยู่อย่างนั้น
ตอบ : ต้องคลายกำลังใจออกมา ตั้งเวลาให้มัน ตั้งใจว่าอีกครึ่งชั่วโมงเราจะคลายออกมา พอมันคลายออกมาแล้วเราก็มาคิด

ถาม : แล้วแบบลืมตา ลุกขึ้นมานั่งแบบนี้ แล้วมันจะคลายไหมคะ
ตอบ : ยาก ถ้ากำลังใจมันแน่นจริง ๆ หกคะเมนตีลังกามันยังไม่หลุดเลย

ถาม : ในการพิจารณาแล้วเราเกิดอารมณ์เหมือนกับว่าละอะไรบางอย่างได้ แล้วทรงอารมณ์นั้นได้นาน ๆ นี่ขึ้นอยู่กับสมาธิเป็นหลักใช่ไหมคะ
ตอบ : ทำบ่อย ๆ ย้ำบ่อย ๆ จนกระทั่งใจมันยอมรับจริง ๆ มันก็จะละได้ไปเอง แต่ว่าทั้งหมดนี่มันเป็นส่วนของสมาธิเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้ากำลังสมาธิไม่พอมันก็ตัดไม่ได้ ละไม่ได้

ถาม : หลวงพ่อคะแล้วถ้าเจอเรื่องตลกขำ ๆ แล้วหัวเราะก๊าก ๆ นี่มันเป็นกิเลสหรือเปล่า
ตอบ : จะหัวเราะก๊าก..ใครเขาจะว่าอะไร แต่ว่าก๊ากเสร็จแล้วมาอยู่กับอารมณ์เดิมของเรา จะเรียกว่าเป็นกิเลสไหม มันก็ยังมีส่วน มันยังไปยินดียินร้ายกับมัน

ถาม : แล้วพระอรหันต์หัวเราะกับปุถุชนหัวเราะมันต่างกันไหมคะ
ตอบ : อันหนึ่งเป็นแค่อาการ อาการที่สักว่าแต่แสดงออก อีกอันหนึ่งใจไปด้วย ความรู้สึกมันเป็นไปตามนั้นเลย ปุถุชนนี่ความรู้สึกมันไหลตามตลอด

เถรี
12-10-2009, 23:29
ถาม : หลวงพ่อขา จะถึงสังขารุเปกขาญาณได้ อย่างไรก็ต้องผ่านนิพพิทาญานใช่หรือเปล่าคะ
ตอบ : แน่นอน จะผ่านมากผ่านน้อยขึ้นอยู่กับปัญญาของเรา บางคนติดอยู่เป็นปี ๆ เฉาไปเลย

ถาม : แล้วสังขารุเปกขาญาณมีหลายระดับใช่ไหมคะ
ตอบ : มันมีตั้งแต่ระดับปุถุชน ก็คือคำว่าธรรมดา ธรรมดาของปุถุชนมันวางได้แค่ไหน ก็อาจช่างหัวโคตรพ่อโคตรแม่มัน แล้วธรรมดาของกัลยาณชนทั่ว ๆ ไป ก็ช่างหัวมัน ธรรมดาของพระโสดาบันก็อาจจะช่างมัน ธรรมดาของพระอนาคามีก็ช่าง ธรรมดาของพระอรหันต์ ไม่ช่างกับใครแล้ว ไม่แตะเลย

มันธรรมดาเหมือนกันแต่ว่ามันธรรมดาคนละระดับ ใครสามารถหาคำว่าธรรมดาเจอ นี่สามารถหากินได้ตั้งแต่ต้นยันปลาย

เถรี
12-10-2009, 23:46
หลวงพ่อเอ่ยขึ้นว่า "โบราณบอกว่าถึงไม่ใช่ญาติไม่ใช่เชื้อ ถ้ามีความเอื้อเฟื้อก็เหมือนเนื้ออาตมา ถึงเป็นญาติเป็นเชื้อถ้าไม่มีความเอื้อเฟื้อก็เหมือนเนื้อในป่า" (เนื้ออาตมา คือ เนื้อเราเอง)

"พระพุทธเจ้าท่านจึงได้บอกว่า วิสาสา ปรมา ญาติ ความคุ้นเคยเป็นเสียยิ่งกว่าญาติ สังเกตสิว่าญาติธรรมมันรักกันยิ่งกว่าพี่น้องของตนเองเสียอีก"

เถรี
13-10-2009, 07:53
ผีอำมันก็คล้าย ๆ กับคนเราแหละ ที่มันจะหลอกเรา เพียงแต่ว่า คนอำพอหลอกเสร็จ มันก็หัวเราะแล้วบอกให้ฟังว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่ผีอำนี่มันอำแล้ว อำเลย ไม่ค่อยบอกหรอก

ถาม : แล้วเหตุที่ผีอำค่ะหลวงพ่อ มีประการใดบ้าง
ตอบ : อันดับแรกต้องแยกก่อน เพราะผีอำมันมีสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกมันเกิดจากเลือดลมไม่ดี พอเลือดลมไม่ดี การเดินของเลือดลมมันไม่คล่อง ความรู้สึกมันเหมือนกับมีอะไรใหญ่ ๆ ดำ ๆ มาทับให้เราอึดอัด ถ้าพยายามดิ้นรนสักพักก็หลุดออกมาได้ ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือผีจริง ๆ เลย

คราวนี้เรามากล่าวถึงอย่างที่สอง ว่าผีมันมาอำด้วยสาเหตุอะไรบ้าง สาเหตุแรกก็คือ เคยมีกรรมเนื่องกันมาในอดีต และเห็นว่าเรามีบุญพอที่จะสงเคราะห์เขาได้ พยายามมาติดต่อ แต่เราก็ห่วยเหลือเกิน รับมันไม่ชัด มันก็เลยทำให้ดิ้น ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ประการที่สองก็คือ เขาต้องการจะบอกสิ่งใดสิ่งหนึ่งแก่เรา คราวนี้ก็เหมือนกันว่าสภาพจิตของเรามันมืดมัวจนเกินไป มันไม่สามารถรับได้ชัดเจน อาการก็เลยออกมาอย่างที่เห็น

ประการสุดท้ายเลยมันหวงที่ ตั้งใจที่จะมาขับมาไล่ แต่ทีนี้ของเรารู้ไม่ชัด มันก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าหากรู้ชัด ๆ เดี๋ยวมันไล่เราสำเร็จ นี่รู้ไม่ชัด ตกลงผีมันกลุ้มทั้งขึ้นทั้งล่อง

เถรี
13-10-2009, 11:45
ถาม : สงสัยว่าอย่างอารมณ์ปฏิฆะซึ่งมันเป็นอารมณ์กระทบของโทสะ แล้วทีนี้ตัวกามราคะมันไม่มีอารมณ์กระทบบ้างหรือคะ
ตอบ : มีสิ ตาได้เห็น จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส หูได้ยิน กายได้สัมผัส ทั้งนั้น

ถาม : เพียงแต่ว่าอารมณ์มันเบากว่า ?
ตอบ : มันไม่ใช่เบากว่า มันเป็นสิ่งที่เรายินดี ไม่ไปผลักไสมัน มันก็เลยไม่รู้สึกว่ามันกระทบ แต่ว่าในเรื่องของโทสะนี่เราไม่ยินดี กระทบเมื่อไหร่ยันมันโครมเลย มันก็เลยกระทบเยอะ

ถาม : หนูสงสัยว่า เอ๊ะ ตัวกามราคะมันก็มีอารมณ์กระทบไม่มาก แต่ทีนี้มันก็ไม่เห็นมีอารมณ์กระทบในภาษาบาลีบ้าง
ตอบ : มันมาอย่างนี้ (ทำมือโอบเข้ามา) แต่โทสะมันไปอย่างนี้ (ทำมือผลักออกไป) คนละอย่างกัน อันหนึ่งเราไปคว้ามันเข้ามาเราจะไปรู้สึกอะไร มันมีแต่อยากให้กระทบมากขึ้น

ถาม : ทีนี้ถามต่อไปในเรื่องของกามคุณ ๕ ซึ่งประกอบไปด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สงสัยว่าเป็นไปได้ไหมที่แต่ละคนจะติดในแต่ละตัวที่หนักแตกต่างกันไป
ตอบ : ใช่ มีเด่นเฉพาะของตัวเอง

ถาม : แล้วทีนี้อย่างที่หนูเคยถามหลวงพ่อเกี่ยวกับเรื่องอรูปราคะว่า บางคนที่ไม่ได้ฝึกในอรูปฌานแต่ว่าท่านไปละในอรูปราคะ ละในเรื่องของนามธรรมอย่างกลิ่น เสียง รส แล้วเป็นไปได้ไหมที่คนละกามราคะได้ เขาละได้เฉพาะตัวรูปหรือตัวสัมผัส
ตอบ : แล้วแต่ว่าเขาติดเด่นตรงจุดไหน ตัวนั้นมันเหมือนกับว่าเราละเฉพาะตรงจุดนั้น แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ถ้ามันละตัวใดตัวหนึ่งแล้วมันละทั้งหมด เพราะกำลังในการตัดมันเท่ากัน ถ้าเราสามารถละอันแรกได้ สอง สาม สี่ มันก็เหมือนกัน

ถาม : แล้วคำว่าละ กับปล่อยวาง ต่างกันหรือเปล่าคะ
ตอบ : ละ เดินจากไปเฉย ๆ มันกองอยู่ตรงนั้น ไปสะดุดเมื่อไหร่มันอาจจะเป็นโทษได้ แต่ถ้าหากวาง สลัดมันพ้นไปเลย ไม่มีวันที่จะมาข้องเกี่ยวกันอีก แต่ว่าเราจะมาเอาศัพท์เรื่องนี้มันไม่ได้ เพราะว่าบางคนอาจจะมีความรู้สึกว่าละ เขาก็ทิ้งหมดเหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับว่ากำลังใจของเรามันขึ้นอยู่ตรงจุดไหน ถ้าหากว่าเอาเฉพาะศัพท์มันใช้ไม่ได้

ถาม : ก็คืออย่างเมื่อก่อนมีความรู้สึกว่าปฏิบัติเพื่อที่จะละ ๆ ๆ มันออกไป ทีนี้ตอนหลังมันรู้อยู่แล้ว เหลือแค่ว่าจะยึดหรือว่าจะปล่อย มันเหลือแค่นี้
ตอบ : แล้วทีนี้จะยึดหรือจะปล่อย

ถาม : ปล่อยแล้วค่ะ ยึดแล้วมันทุกข์

เถรี
13-10-2009, 11:48
ถาม : แล้วทีนี้อารมณ์ที่มันชุ่มฉ่ำอยู่ในอกค่ะหลวงพ่อ มันออกมาเป็นกระแส สามารถที่จะบังคับให้มันไปในทิศทางไหนก็ได้ บังคับให้ไปที่คนนี้ก็ได้ ตรงนี้มันเป็นตัวพรหมวิหาร ๔ หรือเปล่าคะ
ตอบ : มันเกิดจากสมาธิที่ทรงตัว แล้วกดรักโลภโกรธหลงให้ดับลงชั่วคราว มันเป็นทั้งปีติและสุขในฌาน แล้วหลังจากนั้นถ้าเราใช้ความสามารถจากตรงนี้ในการแผ่ความรู้สึกออกไป ในการปรารถนาดีหวังดีต่อผู้อื่น มันก็จะเป็นตัวพรหมวิหาร

ถาม : อย่างเมื่อก่อน ตัวรัก มันก็จะเป็นอารมณ์รักที่มันรัดรึงใจค่ะ พอตอนหลังอารมณ์ตัวนี้กระแสมันเปลี่ยนไปเลย มันเปลี่ยนไปในทางที่เป็นตัวเมตตาเฉย ๆ แล้วมันไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นค่ะหลวงพ่อ
ตอบ : อันแรกมันยังเป็นราคะอยู่ อันหลังมันเป็นพรหมวิหารแล้ว

ถาม : แล้วทีนี้หนูมาสังเกตเห็นตัวเองว่ามันเหมือนคนบ้า บ้าในที่นี้คือมันทุ่มเลยค่ะ ทุ่มในลักษณะที่ว่า ทำ ทำ ทำ ทุ่มสุดตัว เหมือนกับว่ากำลังใจมันสูง มันสูงจนกระทั่งบางวันมันไม่หลับ ตรงที่กำลังใจสูง มันก็พาให้ตัวสมาธิสูงด้วยแล้วก็ตัววิปัสสนาตามด้วย
ตอบ : โดยหลักการปฏิบัติ ถ้าหากว่าอินทรีย์ ๕ มันเจริญ พละ ๕ มันก็ตามมา คือ ถ้าหากศรัทธามันเกิด พากเพียรทำไปแล้วมันมีผล ตัวสติ สมาธิ ปัญญามันก็จะก้าวหน้า มันก็จะมีกำลังใจที่อยากจะทำอีก มันก็กลับไปเป็นศรัทธาอีกที แต่ว่าตรงจุดนี้ให้ระมัดระวังว่ามันมีอุปกิเลสอยู่ตัวหนึ่ง คือ ปัคคาหะ ความเพียรมากเกินไป ในปัจจุบันนี้แม้ว่าความเพียรมากเกินยังไม่มีใครเป็นตัวอย่างก็จริง แต่ให้ระมัดระวังว่าถ้ามันขาดการพักผ่อน หรือว่าพักผ่อนไม่พอบางทีร่างกายมันไม่ไหว มันจะเกิดอาการกรรมฐานแตก สติแตกได้ง่าย ๆ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผ่อนสั้นผ่อนยาว ดูจุดพอเหมาะพอดีก็แล้วกัน

เถรี
13-10-2009, 11:51
ถาม : แล้วทีนี้เมื่อวานมันคลำไปเจออารมณ์ตรงกลางพอดีค่ะหลวงพ่อ อารมณ์ตรงกลางที่มันไม่เอาอะไรค่ะ
ตอบ : มันไม่เอาอะไร คราวนี้เราต้องมาทวนใหม่ มันไม่เอาอะไรเพราะว่ามันไม่มีสิ่งที่มากระทบเราจริง ๆ หรือเปล่า ตรงนี้เราจะไปมั่นใจเลยทีเดียวไม่ได้ จะต้องทรงอารมณ์ที่ไม่ประมาทเอาไว้เสมอ ถ้ามันรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเราสามารถปล่อยได้วางได้หมด ลองกำหนดถามตัวเองทีละข้อ คนที่เรารักมีไหม ของที่เรารักมีไหม ทรัพย์สมบัติที่เราหวงแหนมีไหม ท้ายสุดกระทั่งร่างกายนี้เรายังต้องการมันอีกไหม

ถ้ามันสามารถที่จะตัดได้ ละได้ ก็ขอให้คิดไว้ว่ามันอาจจะเป็นแค่สัญญาคือความจำ อย่าเพิ่งไปมั่นใจว่าจะเป็นอย่างนั้น จนกว่าจะมีสิ่งมากระทบหนัก ๆ จริง แล้วมันไม่กำเริบ เราค่อยมั่นใจว่ามันมาถูกทาง

แต่ในขณะเดียวกันก็อย่าเพิ่งประมาท ก่อนหน้านี้เราทำตามกติกาอย่างไหน รักษาศีลแบบไหน เจริญสมาธิแบบไหน ใช้ปัญญาในการพิจารณาแบบไหนให้พยายามซ้อมทำให้มาก ๆ เพื่อที่ถึงเวลาแล้วจะได้เป็นของเราอย่างแท้จริง

ถาม : หนูเคยมาสังเกตว่าตัวอารมณ์นิพพิทาญาณค่ะ มันมีอารมณ์ที่มีความเศร้าหมองปนอยู่ด้วยหรือเปล่า
ตอบ : แน่นอน นิพพิทาญาณส่วนใหญ่แล้วจะมีอารมณ์ความเศร้าหมองปนอยู่ เพราะถ้าเรามีอันเป็นไปตอนนั้น ไม่แน่ว่าเราจะไปดี ยกเว้นว่ามันจะก้าวขึ้นไปเป็นสังขารุเปกขาญาณได้เพราะเห็นธรรมดาของมัน

อย่างที่เคยบอกไว้ว่ากระทั่งผู้ปฏิบัติที่มุ่งเพื่อความหลุดพ้นของเรายังมีความทุกข์ขนาดนี้ คนอื่นที่ขึ้นชื่อว่าไม่ทุกข์นั้นไม่มี ถ้าหากเราก้าวมาถึงตรงจุดนี้แล้วเห็นปกติธรรมดา ละได้วางได้แล้วถ้าอย่างนั้นมันก็จะไม่มีความเศร้าหมอง แต่มันจะเห็นเป็นธรรมดา ถึงตอนนั้นมันไม่แสวงหาความตาย แต่ว่ามันพร้อมที่จะตาย

เถรี
13-10-2009, 12:32
ถาม : หลวงพ่อคะ เมื่อก่อนให้ลูกเขาภาวนาพุทโธ แล้วเขามีท่าทีทุรนทุรายค่ะ
ตอบ : ธรรมดา ไปจับลิงมัดอยู่ก็ต้องอย่างนั้น บอกเขาว่าเอาแค่ ๓ ครั้งก่อน พอภาวนาพุทโธ ๓ ครั้งแล้วจะไปทำอะไรก็ไป พอหลังจากนั้นเขาชินก็เอาสัก ๕ ครั้ง ๗ ครั้ง เพิ่มไปเรื่อย

ถาม : ให้เขาภาวนา ๑๐ ครั้งค่ะ
ตอบ : โหดไป สมาธิเด็กเขายังสั้นอยู่ ให้ทำอะไรนาน ๆ ไม่ไหวหรอกจ้ะ

เถรี
13-10-2009, 14:45
ถาม : หลวงพี่คะทำไมทางพระพม่าเขาถึงได้สร้างพระองค์ใหญ่ ๆ ขนาดนั้นคะ
ตอบ : ก็อาตมาเคยใช้คำว่าเส้นทางพระโพธิสัตว์ ส่วนใหญ่เขามาสไตล์นั้น สไตล์พระโพธิสัตว์

ถาม : หลวงพ่อเคยเห็นพระพุทธรูปที่แกะด้วยไม้จันทน์หรือไม้กฤษณาองค์ใหญ่ ๆ บ้างไหมคะ
ตอบ : เต็มที่หน้าตักประมาณสิบกว่านิ้วเท่านั้น เพราะว่าไม้พวกนี้ราคาแพงมาก อย่างที่พม่าไม้จันทน์ชั่งหนึ่งราคาตกประมาณเกือบแสนได้ เพราะฉะนั้นแกะองค์ใหญ่ไม่มีใครซื้อ ชั่งหนึ่งก็สามปอนด์ ถ้าหากเป็นไม้ธรรมดาเคยเห็นเขาแกะหน้าตักราว ๆ ประมาณสิบกว่านิ้ว

เคยเห็นลูกประคำของหลวงพ่ออุตตมะไหม ที่ทำจากไม้ไผ่สานหรือไม้หวายสาน เขาสานในลักษณะนั้นเป็นพระพุทธรูปหน้าตักสี่ศอก คนเดียวก็สามารถยกไหว เขาไปตอกไม้ไผ่เล็ก ๆ ขนาดเท่าเส้นผมเรา แล้วก็สานเอา ต้องบอกว่าคนทำมีความพยายามสูงแล้วสุดยอดฝีมือจริง ๆ

เถรี
14-10-2009, 08:21
ถาม : ถ้าขอผ้ากรานกฐินจะเป็นไรไหมครับ
ตอบ : กฐินเขาไม่ให้ขอ ถ้าขอเขาถือว่าเดาะตั้งแต่แรกเลย

ถาม : ถวายไปก็ไม่มีผลใช่ไหมครับ
ตอบ : อานิสงส์มันไม่ได้
คำว่า กฐินเดาะ ก็คือ กฐินขาดจากอานิสงส์นั้น กฐินเขาให้ญาติโยมไปปวารณาถวายเอง ถ้าไปหาเจ้าภาพหรือไปขอเขาไม่ได้ อย่างอาตมาไม่ขอ ตั้งเอง ใครจะร่วมก็มา

ถาม : แล้วเราทำไปจะเป็นโทษไหมครับ
ตอบ : ไม่เป็น เราทำ...บุญก็เป็นของเรา จะมากจะน้อยอย่างไรก็ต้องได้ เพียงแต่ว่าอานิสงส์กฐินมันไม่มี พระเขาไม่สามารถจะใช้อานิสงส์กฐินได้ พูดง่าย ๆ คือ ได้ชื่อรับกฐิน แต่อานิสงส์ไม่ได้

ถาม : ถ้าเราทราบว่าผิด แล้วเรายังไปทำ อย่างนี้เราจะมีโทษไหมครับ
ตอบ : ถ้าตั้งใจจะทำให้พระท่านเดือดร้อนเพราะไม่ได้อานิสงส์ นั่นนะผิด

เถรี
14-10-2009, 08:31
เมื่อวันศุกร์ช่วงสายที่ผ่านมา หลวงพ่อสมปองได้มาหาพระอาจารย์เล็กที่บ้านอนุสาวรีย์ มากราบเรียนปรึกษาในเรื่องจะย้ายสังกัดจากวัดท่าขนุน ไปอยู่ที่วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ต.จักรสีห์ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี

พระอาจารย์เล็กได้กล่าวกับหลวงพ่อสมปองว่า "ก็ดี เพราะว่าในเรื่องของพระนั้นลำบาก ถ้าหากเขารู้ว่าเรามีเส้นสายเขาจะเกรงใจ แต่ถ้าหากเขาไม่รู้ ก็จะโดนบี้ตายเลย แต่มีว่าในเรื่องของพระผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วท่านต้องการเราไว้ใช้ ยิ่งแสดงสมรรถภาพให้ท่านเห็นเมื่อไร ท่านใช้ไม่เลิก ผมเหนื่อยจะตายอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะแบบนี้ ถ้าไปก็เจอแน่ ย้ายเมื่อไรก็มาบอก เดี๋ยวผมเซ็นให้ ของพรรค์นี้ สไตล์นักปฏิบัติก็คือว่า ไม่ดิ้นรนไปไขว่คว้า แต่ถ้าหากว่ามาก็ไม่ต้องไปปฏิเสธ

เมื่อก่อนนี่ผมมองมุมแคบ งานพระศาสนาจะก้าวไกลไปได้เพราะคอนเน็คชัน อย่างงานนี้เราไม่ไหว คุณโทรบอกท่านเจ้าคณะจังหวัด หลวงพ่อครับช่วยผมหน่อย ท่านแค่ยกหูกริ๊งเดียว ด้วยพาวเวอร์ของท่านงานนั้นก็เสร็จ เพราะฉะนั้นพวกคอนเน็คชันพวกนี้ถ้ามีก็จะดี สมัยก่อนผมถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "หลวงพ่อครับ พระที่หลวงพ่อนิมนต์มาในงานประจำปี มีเยอะต่อเยอะด้วยกัน ที่ผมรู้ว่าไม่เอาไหนก็มี แล้วหลวงพ่อนิมนต์มาทำไมครับ ?" ท่านบอกว่า "แกอย่ามองสายตาแคบขนาดนั้น สิ่งที่พ่อทำเป็นการถวายสังฆทาน ถ้าหากว่ามีพระแก้วอย่างหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยามาเป็นประธานสักองค์หนึ่ง ก็สุดแสนจะวิเศษแล้ว พระทั้งหลายที่แกว่ามา ไม่ใช่ข้าไม่รู้...ข้ารู้ แต่ท่านทั้งหลายเหล่านี้นานไปจะเป็นใหญ่เป็นโตในวงการปกครอง ถ้าหากแกรู้จักมักคุ้นไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ต่อไปแกทำอะไรก็สบาย" แล้วทุกวันนี้ผมก็สบาย เพราะว่าพระผู้ใหญ่ทุกระดับเรารู้จักมักคุ้นตั้งแต่สมัยนั้น หลวงพ่อท่านวางแนวไว้ให้เราหมด"

เถรี
14-10-2009, 08:36
"ฉะนั้นของบางอย่างแต่ละช่วง ๆ พอผ่านไป มุมมองจะกว้างขึ้น ๆ เราจะเห็นความจำเป็น เพราะว่างานพระศาสนาที่เราทำ ถ้ามีคนที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่เราได้ก็จะคล่องตัว ถึงได้บอกว่าถ้ามีมา...รับได้ก็รับ เราไม่ไปไขว่คว้าหามา เพราะนั่นเป็นเรื่องของโลกธรรม แต่ว่าขณะเดียวกันถ้ามันมาเองก็ไม่ต้องปฏิเสธ ผมเองเป็นพระครูธรรมธร ผมจะรับพรุ่งนี้เช้า ผมมารู้ตอนห้าโมงเย็น ผมมารู้ตอนที่เขามาตะโกนถามว่าไม่ไปซื้อพัดหรือ ผมก็ถามว่าพัดอะไรวะ เขาก็บอกว่าหลวงพ่อจังหวัดตั้งคุณเป็นพระครูฐานานุกรม

ของพวกเราไม่ได้คิดจะไปเอา แต่ว่าอย่างน้อย ๆ ก็เป็นไม้กันหมา หลวงพ่อจังหวัดพยายามจะสนับสนุนให้ผมเป็นพระครูปลัดตั้งนานแล้ว ผมบอกว่าถ้าผมเป็นพระครูปลัดแล้วต่อท้ายด้วยคำว่า 'เล็ก' มันทุเรศ ผมไม่เอาหรอก เป็นปลัดก็ต้องใหญ่ เล็กไม่ได้

ให้ระวังว่างานอะไรที่เป็นงานพระพุทธศาสนาที่ท่านให้ช่วย อย่างเช่นว่าเรื่องของการศึกษา การปกครอง การเผยแผ่ การสาธารณูปการ เราก็สงเคราะห์ แต่ถ้านอกลู่นอกท่ามาก เราก็บอกท่านได้เหมือนกัน ขืนไปช่วยท่าน มีหวังตาย

ทุกวันนี้ผมเห็นว่าสิ่งที่หลวงพ่อทำเอาไว้ เป็นเรื่องที่ท่านรู้จริง โดยเฉพาะตอนที่ท่านรับพัดพระสุธรรมยานเถระ แล้วไปฉลองฯ พระที่ท่านนิมนต์ชยันโต ๑๐ รูป ปัจจุบันนี้เป็นสมเด็จพระราชาคณะเกือบหมด ท่านสงเคราะห์เราทั้งนั้น

ผมเสียดายทางวัดเราไปตัดออก ทำให้คอนเนคชันขาดลง ต่อไปถ้าหากมีเรื่องอะไรขึ้นมา ก็ไม่มีใครช่วยในการแก้ไข ต่อไปของคุณรับตรงนี้แล้ว การติดต่อกว้างขวางมากขึ้น อาจจะเป็นภาระบางส่วนที่เราต้องรับ ต้องเรียกว่าเป็นเรื่องของธรรมะจัดสรร ต้องการหรือไม่ต้องการเขาก็จัดมา ผมเองยังไม่รู้เลยว่าถ้าวาระมาถึง ผมเองจะโดนถีบออกหน้าไปเมื่อไร"

เถรี
14-10-2009, 08:41
"หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ เจอหน้ากันเมื่อไร ท่านก็บอก "ช่วยงานกันนะ ช่วยงานกันนะ ถนอมสุขภาพไว้หน่อย อย่าเพิ่งรีบไปไหน ผม (หลวงพ่อสมเด็จ) สุขภาพไม่ดีเพราะอายุมันมาก แต่ของท่าน (พระอาจารย์เล็ก) สุขภาพไม่ดีเพราะเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะฉะนั้นมันต้องอยู่ใกล้หมอ ใกล้ยากันทั้งคู่" ท่านเองเป็นห่วงพวกเรามาก เราทำอะไรที่ไหนไม่ได้พ้นสายตาท่านเลย ท่านรับรู้หมดทุกอย่าง บางทีผมกำลังแย่ ๆ อยู่ คนขับรถท่านโทรมา หลวงพ่อสมเด็จท่านบอกว่าอย่างนี้ ๆ ๆ ครับ ไม่ต้องเสียเวลาคิด ทำตามอย่างเดียวพอเลย

สมัยก่อนพวกเรามันหัวแข็ง กระทั่งเรียกคนอื่นเป็นหลวงพ่อยังเรียกไม่ได้เลย แล้วผมมาค่อย ๆ ดู ว่านี่เป็นสักกายทิฏฐิอย่างหนึ่ง เป็นมานะ แล้วท้ายสุดหมูหมากาไก่ ผมเรียกได้หมด เพราะว่าเราต้องดูจุดสุดท้าย พระอริยเจ้าในอนาคตของเรา ท้ายสุดทุกคนก็เข้านิพพานกันหมด ใครละได้ก่อนวางได้ก่อนก็สบาย ใครจะแบกก็แบกไป เราก็วาง ๆ ๆ ๆ อย่าไปวางใส่หัวเขาก็แล้วกัน

ตกลงบ้านตลิ่งชันไม่เอาแล้วใช่ไหม ? จริง ๆ น่ะช่วยได้เยอะ เพราะว่าคนที่ไปหาจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่มีข้อเสียตรงที่ว่า พอมีตัวตนอยู่เขาก็ยึดแต่เรา ไม่ใช้ความพยายามเอง ตรงจุดนี้สำคัญ ผมเองทุกวันนี้ก็พยายามจะ (ตบ) เรียงตัว คือพอมีให้ยึดเขาก็ยึดจริง ๆ เมื่อเช้าเล่าให้พระท่านฟัง บอกเขาว่าสมัยก่อนผมอยู่กับหลวงพ่อ ไม่เคยคิดว่าหลวงพ่อจะอยู่ถึงวันรุ่งขึ้น วันนี้เรากอบโกยได้มากเท่าไร เราเอาเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นก็เห็นผลขึ้นมาว่า พอสิ้นหลวงพ่อแล้ว พระผู้ใหญ่ท่านยังร้องไห้กันอยู่ แต่เราสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากเราไปประมาทว่าครูบาอาจารย์ยังอยู่ เดี๋ยวปุ๊บปั๊บท่านเป็นอะไรไปจะไม่มีที่เกาะอีก แล้วก็จะเดือดร้อน

ของบางอย่างเหมาะที่จะพูดกับพระ แล้วถ้าพระไม่ได้มาอยู่หลายรูป ก็เสียเวลาพูดหลายครั้ง เมื่อเช้าท่านมาหลายรูปก็เลยพูด ต้องเรียกว่าสร้างทายาทอสูรไว้ ถึงเวลาจะได้ไม่ขาดช่วง อย่างน้อย ๆ จะได้มีคนอยู่เพื่องานพระศาสนา ถึงได้บอกว่าถ้ายังรักตัวเองอยู่ ก็แปลว่าสักกายทิฏฐิยังเต็ม ทุ่มเทงานพระศาสนาให้เต็มที่ จะตายก็ช่างหัวมัน อย่างนั้นแล้วพอจะละง่ายขึ้น แต่หลวงพ่อสมเด็จท่านเตือน ท่านว่าร่างกายไม่ใช่ใช้ให้มันพัง พัง...คงไม่พังหรอก แต่ถ้าครึ่งเป็นครึ่งตาย รักษาลำบาก คราวนี้ตัวเองเดือดร้อน"

เถรี
14-10-2009, 10:24
ถาม : สมมติเรามีเงินอยู่ ๒๐๐ บาท ทำทีเดียว ๒๐๐ บาทแบบนี้ กับทำ ๑๐๐ บาท แล้วคนอื่นมาทำร่วมทีละ ๒๐ บาท ๆ อย่างนี้บุญมันจะเท่ากันไหมครับหลวงพี่

ตอบ : ถ้ากำลังใจมันมีโอกาสได้เกาะมากกว่า หลายครั้งกว่า อานิสงส์จะมากกว่า เรื่องของทานมันไม่ได้อยู่ที่จำนวน มันอยู่ที่กำลังใจ กำลังใจเกาะความดีได้มากกว่า หลายครั้งกว่า อานิสงส์ก็มากกว่า

เถรี
14-10-2009, 10:26
ถาม : หลวงพี่ครับ มีโยมเขาถวายแก้วจักรพรรดิให้เม็ดหนึ่งครับ เป็นแก้วจักรพรรดิจริงหรือเปล่า
ตอบ : มันต้องถามว่าคุณเชื่อหรือเปล่า

ถาม : เชื่อครับ
ตอบ : ถ้ายังถามอยู่อย่างนี้ยังไม่มั่นใจหรอก ถ้าอย่างนั้นของจริงก็เป็นของปลอม บอกว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับกำลังใจ มั่นใจก็ใช้ได้

เถรี
14-10-2009, 11:28
ถาม : หลวงพี่ครับ มีคำสอนอะไรเพิ่มเติมที่จะทำให้โพธิญาณของผมก้าวหน้าเพิ่มขึ้น
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก นอกจากสร้างบารมี ๑๐ ไวไว

ถาม : ถ้าเช่นนั้นผมกลับก่อนนะครับ
ตอบ : อะไรที่เป็นบุญใหญ่พยายามทำไว้

ถาม : จะไม่ทิ้งพระโพธิญาณครับ
ตอบ : คนเดินทางไกลเราไม่ห้าม ต้องบอกว่านานเหลือเกิน นานจนสยดสยอง

เถรี
14-10-2009, 11:42
ถาม : คนท้องทำอย่างไรดี
ตอบ : ทำจิตใจให้ร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอ ๆ ดูแต่สิ่งสวย ๆ งาม ๆ หรือจะให้ดีให้จับภาพพระพุทธรูปสวย ๆ เป็นอารมณ์ เพราะว่าสิ่งที่แม่คิดพูดทำ มันไปถึงลูก เกาะสิ่งที่ดี ๆ ไว้

เถรี
14-10-2009, 11:49
ในขณะที่พวกพี่นุชกำลังถักหมวกถวายพระอยู่นั้น หลวงพ่อบอกว่า "อันนี้ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของผ้าผ่อนท่อนสไบ ถือว่าให้แพรพรรณ ถือว่าเป็นผู้ให้วรรณะ วรรณะในที่นี้แปลได้ทั้งผิวพรรณและชาติตระกูล ส่วนใหญ่แล้ววรรณะในภาษาบาลีจะหมายถึงชาติตระกูล จะเกิดในตระกูลสูง"

เถรี
14-10-2009, 12:07
ถาม : หลวงพ่อคะ สงสัยค่ะว่าจะละตัวตนอย่างไร มันมีความรู้สึกว่าเหมือนเป็นแกนกลางค่ะ ให้บอกว่ามันไม่ใช่เรา...
ตอบ : จะละอะไร เขาละไอ้ตัวนี้ (ชี้ไปที่ร่างกาย)

ถาม : มันรู้สึกว่ามีตัวมีตนอยู่ มันถือว่ามันเป็นเราเป็นของเราค่ะ
ตอบ : ตอกย้ำมันบ่อย ๆ ถอดมันเป็นชิ้น ๆ แยกแยะมันให้ละเอียดจนกว่ามันจะยอมรับว่าไม่ใช่

ถาม : แกน ๆ ตรงกลาง
ตอบ : ถอดมันให้หมด แล้วมันจะเหลืออะไร กองนี้ดิน กองนี้น้ำ กองนี้ลม กองนี้ไฟ แล้วมันเหลือตรงไหน หมดเกลี้ยงเลย แยกบ่อย ๆ แยกออกแล้วรวมเข้า ๆ แยกออก เขาเรียกอนุโลมปฏิโลมนะจ๊ะ

ทำบ่อย ๆ แล้วมันจะค่อย ๆ ยอมรับไปเอง ไม่ใช่อัจฉริยะแบบสมัยพระพุทธเจ้าที่บอกปุ๊บแล้วจะได้เลย ของพวกเรามันต้องอยู่ที่พากเพียรพยายาม ถือว่าเป็นเนยยะ ดีกว่าปทปรมะตั้งเยอะ

เถรี
14-10-2009, 16:17
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "พระคณาจารย์ทางมหายานที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมาก ๆ ได้แก่ พระอัศวโฆษ พระนาคารชุน พระอารยะเทวะ พระวสุพันธุ พระธรรมกีรติ ศานตรักษิตะ

โดยเฉพาะพระนาคารชุนประวัติของท่านสุดยอดมาก เป็นประวัติกึ่ง ๆ นิยายเลย ขึ้นสวรรค์ลงบาดาลเป็นปกติ แต่คนเขาไม่เชื่อกัน ตอนหลังท่านเป็นผู้แตกฉานในทุกศาสตร์ แม้กระทั่งแพทยศาสตร์ท่านก็ชำนาญ ก็เลยประกอบยาถวายพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสวยเข้าไปแล้วไม่ตายเสียที ลูกชายอยากจะครองราชย์แทน เห็นว่าพ่ออยู่ได้ก็เพราะพระนาคารชุน ก็เลยคิดฆ่าพระนาคารชุน โดยย่องเข้าไปตอนท่านนั่งสมาธิ ฟันท่านด้วยดาบ ปรากฏว่าท่านไม่เป็นอะไรเลย

พระนาคารชุนก็เลยบอกว่า ถ้าจะฆ่าท่านอย่าใช้อาวุธอื่น ให้ไปเอาใบหญ้าคามา ถ้าเอาใบหญ้าคามาจึงจะฆ่าท่านได้ เจ้าชายเชื่อตาม ไปเอาใบหญ้าคามา ปรากฏว่าฟันพระนาคารชุนคอขาดได้ แต่ทั้ง ๆ ที่คอขาดก็ยังเทศน์ต่อ บอกว่าให้ดูกฎของกรรมไว้ ขนาดมีความสามารถอย่างนี้ยังเลี่ยงกรรมไม่พ้น

ในอดีตชาติมีอยู่ชาติหนึ่ง ที่ตอนเด็ก ๆ ท่านซน เอาใบหญ้าคาไปหั่นเฉือนตัวสัตว์เล่น อย่างพวกหนอน พวกแมลง แล้วกรรมตัวนี้ก็ตามมา ทั้ง ๆ ที่ท่านได้อภิญญาสมาบัติขนาดนั้น อาวุธอะไรก็ทำอันตรายท่านไม่ได้ แต่ท่านต้องตายด้วยหญ้าคา เล่นเอาเจ้าชายตกใจขวัญหนีดีฝ่อ คนหัวขาดแล้วยังเทศน์ได้ มันเกินไป ท้ายสุดก็เลยสั่งฝังท่านโดยแยกศีรษะท่านกับลำตัว เพราะว่ากลัวจะกลับมาติดกันแล้วฟื้นคืน..!

ถ้าหากว่าอ่านประวัติทางฝ่ายมหายาน จะให้เข้าใจจริง ๆ ต้องลืมทางเถรวาทหมด อ่านเหมือนคนที่ไม่มีความรู้ในพระพุทธศาสนามาก่อนเลยแล้วจะสนุก ถ้าอ่านแบบคนที่มีความรู้มาก่อน อ่านไม่จบหรอก เดี๋ยวนั่งเถียงอยู่นั่น อันนี้ต้องไม่ใช่ อันนั้นต้องไม่ใช่ ยุ่งไปหมด"

เถรี
14-10-2009, 16:32
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "วันก่อนมีโยมโทรมา จะขอสัมภาษณ์เอาไปลงเว็บ เขาบอกว่าเขาเที่ยวไล่สัมภาษณ์บุคคลที่มีญาณ เพื่อเอาไปลงเว็บ แล้วเขาก็ร่ายยาวมา มีคนนั้น มีคนนี้ เราก็บอก หยุด ๆ ๆ พอ ๆ ๆ

ถามว่าเป้าหมายของคุณที่ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร เขาบอกว่าเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา บอกเขาไปว่าคุณกำลังจะสร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว อันดับแรก คุณรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่คุณเผยแผ่ถูกต้องและเป็นจริงตามนั้นแล้ว ถ้าไม่ถูกต้องและเป็นจริงตามนั้น คุณกำลังทำคนให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ

ประการที่สองคุณกำลังสร้างเวรสร้างกรรมให้กับคนที่คุณไปสัมภาษณ์ เนื่องเพราะว่าคนพวกนี้ถ้าปรากฏออกเป็นสาธารณะเมื่อไหร่ มันจะแบ่งเป็น ๒ กระแส กระแสแรกก็คือเขาเชื่อว่าท่านเก่งจริง มีความสามารถจริง คนมันก็จะมากันชนิดหัวไม่วาง หางไม่เว้น เวลาจะพักผ่อนของท่านก็จะไม่มี กระแสที่สองก็คือไม่เชื่อ คิดว่าไม่คนสัมภาษณ์หรือคนโดนสัมภาษณ์มันต้องบ้าไปข้างหนึ่ง กลายเป็นโทษปรามาสพระรัตนตรัย

สรุปถ้าคุณคิดว่าสัมภาษณ์เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อนำไปเผยแผ่เป็นสาธารณะ อาตมาไม่เห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นไปหาสัมภาษณ์คนอื่นก็แล้วกัน ถ้าเขาสัมภาษณ์แล้วนำเอาไปปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น เรายังพอมีอารมณ์พูดบ้าง"

เถรี
14-10-2009, 17:40
ถาม : หลวงพ่อคะ กำลังใจที่เข้มแข็งเป็นอย่างไร
ตอบ : ไม่ท้อถอยต่อสิ่งต่าง ๆ มีแต่จะต่อสู่ฟันฝ่าจนกว่าจะสัมฤทธิ์ผลตามที่ตั้งความหวังเอาไว้

ถาม : แล้วถ้าเป็นอย่างในกรณีที่ว่า สามารถทำหรือต่อสู้ไปโดยที่ไม่ต้องมีใครมากระตุ้น มาบอก
ตอบ : อย่างนั้นก็ถือว่าในเรื่องของบารมีได้บำเพ็ญมาพอตัวแล้ว ไม่อย่างนั้นแล้วก็เป็นไฟไหม้ฟางอยู่ตลอดเป็นระยะ ๆ ถ้ามันไหม้ได้นานพอก็ยังพอจะทำให้ไก่สุกได้ ถ้าไหม้ไม่นาน ก็ไม่ได้กิน

เถรี
15-10-2009, 05:14
ถาม : เวลาคนอื่นพูด แล้วไม่ค่อยได้ยินอะไร
ตอบ : ไม่ได้ตั้งสติอยู่ในสิ่งที่ฟัง ใจมันจะจดจ่อคิดเรื่องอื่นแทน ถ้าจะแก้ก็พยายามฝึกสมาธิแล้วจดจ่ออยู่กับที่ใดที่หนึ่ง ถ้าต่อไปตั้งใจฟังมันจะจำได้

ถาม : แล้วบางทีไปฟังเสียงของคนที่พูดอยู่ข้างหลัง ทำให้ผมไม่ค่อยได้ยิน อย่างนี้เป็นเรื่องของสมาธิหรือเปล่าครับ
ตอบ : ถ้าไปฟุ้งซ่านเรื่องอื่นอยู่ มันก็ไม่ได้ยิน ถ้าเป็นสมาธิเขาเรียกว่ามิจฉาสมาธิ คือใช้กำลังใจในด้านที่ผิด

เถรี
15-10-2009, 05:17
ในขณะที่หลวงพ่อกำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่เณรคำ มีเนื้อหาบางส่วนที่ท่านกล่าวให้พวกเราฟังว่า "เทวดาเขามาบอกหลวงปู่เณรคำให้ไปจำพรรษาที่ศรีสะเกษ หลวงปู่เณรคำถามว่าทำไม เขาบอกว่าเป็นวัดของท่าน

เรื่องลักษณะอย่างนี้มันเป็นเรื่องที่ข้ามชาติข้ามภพมา แต่ว่าสมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเคยเตือนไว้ ว่าถ้าเราไปอยู่ที่ไหนแล้วรู้สึกว่าคุ้นเคย ให้รู้ว่าที่นั่นในอดีตเราเคยอยู่มาก่อนแล้ว ท่านบอกให้ระวังอยู่อย่างหนึ่งว่า แม้ความสุข ความสะดวกสบายมันจะมีอยู่ ได้รับการสนับสนุนจากผู้คนเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่ว่าคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ เรามีมิตรมาก แต่เราก็ต้องมีศัตรูด้วย เพราะไม่ใครสักคนหนึ่งที่ไม่ชอบใจการกระทำของเรา เขาก็คอยจะหาโอกาสที่จะล้างผลาญจองเวรเราอยู่ ท่านบอกว่า ถ้าอยู่ที่ไหนสบาย ก็อย่าอยู่นาน มีโอกาสก็รีบเผ่นซะ ก่อนที่จะไปสร้างเวรสร้างกรรมกับเขา"

เถรี
15-10-2009, 05:18
ถาม : อย่างสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธชินราช กับสมเด็จองค์ปฐมบรมจักรพรรดิ ตั้งบูชาไว้แตกต่างอย่างไรครับ
ตอบ : อย่างไรก็เอาท่านไว้สูงก่อน

ถาม : ต้องเอาองค์ไหนขึ้นสูง
ตอบ : ถ้ามีทั้งคู่ใช่ไหม เอาองค์ไหนขึ้นได้ทั้งหมด อยู่ที่เราชอบ

ถาม : แล้วถ้าเราลงเพชร กับไม่ลง ไม่แตกต่างกันใช่ไหมครับ
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าเอาลงก็ได้อานิสงส์พุทธบูชาเพิ่มขึ้น

เถรี
15-10-2009, 05:20
คุณสุรจิตรได้มาขอโอวาทก่อนบวชจากหลวงพ่อเล็ก

ถาม : หลวงพี่ครับ ขอโอวาทก่อนบวชครับ
ตอบ : อย่าพยายามบวชเลย ทำให้ศาสนาเขาเสื่อมเปล่า ๆ

ถาม : ?????......
ตอบ : เป็นโอวาทที่ถูกกิเลสมากเลย
เอาอย่างที่หลวงปู่มหาอำพันท่านบอกสิ ถ้าบวชน้อยก็ขอให้ได้ถึงโสดาบัน ถ้าบวชมากก็เอานิพพานไปเลย

เถรี
18-10-2009, 06:15
ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ สงสัยค่ะ จะไปนิพพานต้องรักษาศีล ๕ ได้ แต่ว่าเขายังโกหกเพื่อนอยู่เลย หลวงพ่อสอนศีล ๕ ให้หน่อยค่ะ (สอนให้ลูก)
ตอบ : เราไม่ได้โกหกทั้งวันนี่ เราตั้งใจว่าตั้งแต่กลับจากโรงเรียนมาจนกระทั่งนอน....เราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์
ตั้งแต่เราตื่นจนกระทั่งไปโรงเรียน.....เราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ มันได้ตั้งหลายชั่วโมง พอเราทำได้มากขึ้นก็ขยายเวลาออกไป

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา....ตั้งแต่ไปโรงเรียน....ตั้งแต่เคารพธงชาติ....เราจะรักษาศีลให้ได้ ถ้าหากเพื่อนมา เดี๋ยว ๆ ก่อน หลังเคารพธงชาติเราค่อยคุยกัน แล้วมันจะรักษาศีลเป็นเวลา หลังจากนั้นมันจะได้มากขึ้น ๆ เดี๋ยวก็ทำได้เอง ไม่ได้ยากเลยจ้ะ ขอให้ประสบความสำเร็จไปนิพพานจริง ๆ จ้ะ

เถรี
18-10-2009, 06:33
หลวงพ่อกล่าวว่า "ถ้าตารางสอนของ ปปส. มาแล้ว วันสอนไม่ตรงกับวันอังคาร ก่อนกฐินว่าจะเข้ากรรมฐานสัก ๓ วัน ก็จะเป็นวันที่ ๒๐ - ๒๒ ตุลาคม แล้วไปออกเช้าวันที่ ๒๓ ตุลาคม นั่งรับกฐินเลย

จะเข้ากรรมฐานให้นานกว่านั้นก็ไม่ไหว ที่ไม่ไหวด้วยเหตุ ๒ ประการ ประการแรกงานมันเยอะ หนีงานนาน ๆ เข้า ต่อให้ปิดโทรศัพท์ก็ตาม ถ้าเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาเจ้านายด่ากระจาย
ประการที่สองคือ ชราแล้ว ร่างกายถ้าหากว่าขาดอาหารนาน ๆ เดี๋ยวมันจะน็อก เดี๋ยวนี้มันก็ไม่มีให้ขาด มันทำวันใช้วันเหมือนข้าวสารกรอกหม้อ สมมติเราพักผ่อนมา ๑ คืน มันจะใช้ได้แค่วันเดียว ถ้าหากเจอลักษณะนั้นเข้า นั่งรับกฐินอยู่ เดี๋ยวจะวูบเอาง่าย ๆ"

เถรี
18-10-2009, 09:10
ถาม : หลวงพี่คะ....(ไม่ได้ยิน) ใช่สังขารุเปกขาญาณหรือเปล่า
ตอบ : สังขารุเปกขาญาณมันจะเห็นธรรมดาในทุกเรื่อง โดยเฉพาะธรรมดาในร่างกาย

ถาม : มีความรู้สึกว่า พอเราไม่คิดมันเบามาก มันสบายมาก
ตอบ : เอาเป็นว่าถ้ามันใช่ มันจะทรงอยู่ไม่หายไปไหน แล้วตอนนี้ยังรักษาอยู่ได้ไหม ?

มันหายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว (หัวเราะ) ไปเริ่มต้นใหม่ อะไรที่มันได้ มันเคยถึงแล้ว อย่าไปอยากให้มันได้ อย่าไปอยากให้มันเป็น เราคิดว่าเรามีหน้าที่ปฏิบัติ มันจะเป็นหรือไม่เป็นก็เรื่องของมัน แล้วมันจะมาเอง แต่ถ้าเราทำเพราะไปอยากให้มันได้อย่างนั้น อยากให้มันเป็นอย่างนั้น มันไม่มาหรอก ไปเริ่มต้นใหม่จ้ะ พอได้แล้วพยายามรักษาไว้

ถาม : แล้วที่หนูสัมผัสก็คือ ได้จริง ๆ แล้วใช่ไหมคะ
ตอบ : อ๋อ เขาเรียกว่ามองเห็นสมบัติเศรษฐีแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ พยายามไขว่คว้ามาเป็นของเราให้ได้

เถรี
18-10-2009, 09:20
ถาม : หลวงพี่ครับ ผมตั้งใจจะฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังครับ ถ้าไปฝึกที่บ้านสายลม จะปลอดภัยไม่มีปัญหาหรือไม่ครับ
ตอบ : ไปเถอะ ถ้าที่ไหนเขาทำตามที่ครูบาอาจารย์บอก ก็ไม่มีอะไรหรอก

ถ้ากลัวมันจะฝึกได้ยาก มันต้อง....บ้าก็บ้าวะ

ถาม : ช่วงหลัง ฝึกแล้วจิตมันเบาบาง เห็นภาพพระขึ้นมาเอง แสดงว่าเป็นมโนมยิทธิแบบอ่อน ๆ หรือเปล่าครับ
ตอบ : ไม่ใช่อ่อนหรอก บางทีมันก็แก่เลย เพียงแต่ว่าบางทีเรารักษาให้มันยืนระยะไม่ได้

ถาม : แล้วถ้าไปฝึกที่บ้านสายลม
ตอบ : ตั้งใจแล้วก็ทำตาม บอกอย่างไรทำอย่างนั้น ความรู้สึกแรกเกิดขึ้นให้เชื่อเลย อย่าไปตั้งใจมากเกิน ตั้งใจมากเกินมันเป็นตัวฟุ้งซ่าน มันจะไม่ได้

ถาม : หลวงพี่ครับ พอดีน้องผมจะสอบเข้า
ตอบ : ไปภาวนาคาถาหลวงปู่พระอินทร์เอาไว้ ถึงเวลาก็ทำตามกติกานั้น

เถรี
18-10-2009, 20:17
ถาม : สังเกตตั้งแต่ย้ายที่ทำงานมา รู้สึกว่าเราจะมีอารมณ์โกรธง่ายขึ้น ถึงแม้เราจะยับยั้งได้แต่มันก็เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ค่ะ มันเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมไหมคะ
ตอบ : เกี่ยวเป็นอย่างมาก

ถาม : แล้วอย่างนี้เราจะป้องกันอย่างไร
ตอบ : สติ สมาธิและปัญญาเสริมสร้างให้เยอะขึ้น รู้เท่าทันและวางมันให้เร็วที่สุด

ถาม : เท่ากับว่าเราต้องฝึกให้มากกว่านี้
ตอบ : ตอนนี้มันไม่พอใช้ โดนเมื่อไหร่ไปเมื่อนั้น

ถาม : มีความรู้สึกว่าถ้าร่างกายเราอ่อนเพลีย จะทำได้ยาก
ตอบ : หิวมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย กำลังสมาธิมันจะตก ถ้าไม่ใช่กำลังมันทรงตัวของมันเลย ก็เป็นเรื่องของเรา

ถาม : หลวงพ่อคะ เวลาหนูโดนด่าว่าเป็นพวกกำลังใจอ่อน บารมีอ่อน มันคิดให้ลงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราไม่ได้
ตอบ : ทำไมเล่า ก็ยอมรับไปซะก็หมดเรื่อง ก็บอกว่าถ้าบารมีของเราไม่อ่อน ก็ไปนิพพานแล้วสิ ตอนนี้มันอ่อนอยู่มันยังไปไม่ได้ ถ้าแก่กว่านี้ไปแน่

ถาม : มันก็เข้าใจค่ะ แต่มันยังเคืองอยู่
ตอบ : ไม่เป็นไร อนุญาตให้เคืองได้ แต่อย่าเก็บข้ามวันข้ามคืน โกรธได้แต่อย่าไปเก็บไว้

เถรี
18-10-2009, 20:24
ถาม : ถ้ากำลังสมาธิใช้งานได้แล้ว กำลังใจเริ่มจะทรงตัวแล้ว แต่ทีนี้ยังตัดไม่ได้ ตรงนี้ต้องไปเพิ่มตัววิปัสสนาให้มันมากขึ้นกว่าเดิมหรือทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

ตอบ : ถ้าหากจะเร่งรัดก็เร่งในเรื่องของวิปัสสนา

เถรี
18-10-2009, 20:33
หลวงพ่อกล่าวว่า "จริง ๆ แล้วเรื่องทุกเรื่องมันไม่มีอะไรเป็นของเรา มันเป็นเรื่องของโลกทั้งหมด แม้กระทั่งร่างกายนี้พระพุทธเจ้าก็ต้องคืนให้โลก ในเมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันเป็นของโลก มันแปลว่าเกินกำลังที่เราจะแบกรับได้ เพราะฉะนั้นรีบ ๆ วาง กองไว้เลย สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าอาศัย สักว่าเป็นที่ระลึก

เราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นของเรา อาศัยมันเป็นเรือเป็นแพข้ามน้ำเท่านั้น พอข้ามน้ำได้แล้วคงไม่มีใครแบกเรือ แบกแพไปด้วย หรือเสียดายจะแบกไปด้วย รู้สึกว่าเรือหรือแพลำนี้ใช้งานดีเหลือเกิน ขอแบกมันไปด้วยเถอะ คนเห็นเขาหัวเราะตายเลย ขึ้นจากน้ำแล้วยังแบกเรือไปอีก"

เถรี
18-10-2009, 20:46
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "เมื่อวานไปไหว้พระแก้ว สวดอิติปิโสถวายในหลวงไป ๑๐ จบ แล้วตัวเองก็หงิก...

เรื่องของประเทศชาติแตะไม่ได้เลยจริง ๆ กรรมมันแรง แต่ก็ยังแตะอยู่เรื่อย ๆ รู้สึกว่ามัน(ส์)"

ถาม : แตะแล้วมันบรรเทาไหมคะ
ตอบ : มันก็คงเหมือนน้ำถังหนึ่ง สาดลงไปในกองไฟใหญ่ ๆ ดับไฟไม่ได้แต่บรรเทาลงนิดหนึ่งก็ยังดี เพราะถ้าไม่มีใครช่วยกันดับเลย มันก็ไปกันใหญ่ ต้องเอาอย่างภาษิตของพระมหายานที่บอกว่า เราไม่ลงนรกแล้วใครจะลงนรก ของเขานี่ถ้าหากเพื่อชาติเพื่อศาสนา ถ้าหากต้องไปรบราฆ่าฟันเขาก็เอา

เถรี
18-10-2009, 22:20
หลวงพ่อบอกว่า "วิธีแก้กรรมที่ดีที่สุด เขาบอกว่าศีลทำหนึ่งได้ร้อย สมาธิทำหนึ่งได้หมื่น ปัญญาทำหนึ่งได้ล้าน

เรื่องของศีลเป็นการควบคุมกาย วาจา สมาธิควบคุมทั้งกาย วาจา และใจด้วย มันมากขึ้น ส่วนในเรื่องปัญญานอกจากควบคุมกาย วาจา ใจแล้ว ยังต้องพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงตามธรรมนั้นด้วย

ถ้าเราสามารถทำในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้ กรรมหนักต่าง ๆ ตามไม่ทัน แต่ว่าให้ทำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะตัวภาวนาทำไว้เยอะ ๆ มีประโยชน์มากเลย"

เถรี
19-10-2009, 09:28
ถาม : มาทำบุญที่นี่แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ญาติ เขาจะได้รับหรือไม่ครับ
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ จ้ะ อาตมาก็บอกไม่ได้ว่าได้รับหรือไม่ได้รับ เพราะโดนหลวงพ่อห้ามไว้ ถ้าอยู่ในที่ที่รับได้...ได้รับแน่นอน ถ้าหากอยู่ในสถานที่ที่รับไม่ได้.....ก็ไม่สามารถจะรับได้ รอจนกว่าจะพ้นมาจึงจะได้รับอีกทีหนึ่ง

สมัยก่อนเฮี้ยน เขาตายแล้วไปไหน หรือหวยออกเลขอะไร ชอบไปบอกเขาเลยโดนห้ามไปเลย

ถาม : ปฏิบัติธรรมแล้วน้ำตาไหล
ตอบ : ปล่อยให้มันไหลให้เต็มที่แล้วมันจะเลิก ถ้าหากเราไปห้ามมันเอาไว้ มันจะเป็นอยู่เรื่อย อารมณ์ใจถึงช่วงนั้นเมื่อไหร่ก็เป็น ต้องใส่ให้เต็มที่ไปทีเดียว บางทีมันไหลเช้าจนเย็นเลย อาตมานี่เช็ดหน้าจนแสบไปหมด

ถาม : ต้องแก้อย่างไร
ตอบ : ไม่ต้องแก้หรอก ปล่อยให้มันขึ้นให้เต็มที่แล้วมันจะเลิก ถ้ามันไม่เต็มที่มันก้าวพ้นไม่ได้ ถึงเวลาอารมณ์ใจถึงจุดนั้นมันก็จะเป็นอีก

ถาม : เป็นอุปจารสมาธิหรือเปล่าครับ
ตอบ : ยังไม่เป็นปฐมฌานหรอกจ้ะ มันเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ปีติเท่านั้น ถ้าจะเป็นอุปจารสมาธิมันต้องลึกกว่านั้นอีกนิด

เถรี
19-10-2009, 10:31
หลวงพ่อสอนว่า "จำเอาไว้ว่าเราทุกคนมีหน้าที่ยังพระศาสนาให้เจริญ ถ้าไม่สามารถทำหน้าที่นั้นได้ ก็อย่าเป็นคนทำลายพระศาสนานั้นเอง"

เถรี
26-10-2009, 15:07
หลังจากที่หลวงพ่อเล็กเล่าเรื่องท่านไปพม่า แล้วไปเจอแหม่ม ท่านก็ได้กล่าวให้ฟังว่า "เรื่องของแหม่มนักท่องเที่ยวที่ไปพม่า อยากให้พวกเราดูกำลังใจของเขา

เขารู้ว่าไปพม่าแล้วรู้ว่าลำบาก หาความสะดวกไม่ได้สักอย่าง แต่กล้าไป กล้าไปผจญภัย กล้าต่อสู้ พวกเราความกล้าไม่พอ ต้องบอกว่าบารมีเขาสูง เขาจึงได้กล้าไป พวกนี้ถ้าหากปฏิบัติธรรมจะได้ผลเร็ว เพราะเขาเอาจริงเอาจังมาก

พวกเรามันไม่ค่อยเอาจริงกับชีวิต ต้องบอกว่าเป็นหนูอยู่บนถังข้าวสาร ไม่กินข้าวสักที หนูจากที่อื่นมาก็โกยหมด หรือไม่ก็ถ้าแมวมาเสียก่อน ก็ตัวใครตัวมัน"

เถรี
26-10-2009, 15:14
มีโยมคนหนึ่งต้องการเปลี่ยนชื่อตัวเอง เลยมาขอให้หลวงพ่อช่วยดูให้ หลวงพ่อท่านก็ดูชื่อให้ ท่านก็ได้ยกตัวอย่างให้ฟังว่า พระบางรูปสึกแล้วสึกอีกหลายครั้ง ก็เลยไปเปลี่ยนชื่อใหม่ แต่สุดท้ายก็สึกอยู่ดี ก็เพราะคนมันจะสึก

"ชื่อมันจะมีอิทธิพลต่อเรา ก็ต่อเมื่อเราไปกังวลอยู่กับมันตลอด ว่ามันไม่ดี...ไม่ดี....ไม่ดี มันเป็นการแช่งตัวเอง แล้วมันก็จะกลายเป็นมโนมยา คือ สำเร็จด้วยใจ ตัวเองแช่งว่าตัวเองไม่ดี มันก็เลยไม่ดี

อย่างอาตมาถือว่าชื่อพ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลที่สุดแล้ว ก็ชื่อเล็กมาตลอด แต่มันเคยเล็กกับใครเสียที่ไหน ไปไหนก็โดนเขาถีบออกหน้าตลอด เพราะฉะนั้นชื่อมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรมากมายหรอก ถ้าเราคิดว่าดีเสียอย่าง มันก็ดีเอง"

เถรี
26-10-2009, 15:16
ในเรื่องของตะกรุดมหาสะท้อน หลวงพ่อกล่าวว่า "ที่เขาห้ามให้เด็กใช้ เพราะว่ามหาสะท้อนมันย้อนกลับหลายอย่าง แล้วมันย้อนกลับหลายเท่า ถ้าเราเผลอไปตีเด็ก มันจะโดนอะไรที่หนักกว่านั้นคืน เขาเลยห้ามไม่ให้เด็กใช้ และห้ามเข้าไปในที่ที่คนหรือสัตว์กำลังคลอด เพราะมันจะคลอดไม่ออก มันจะย้อนกลับหมด"

เถรี
26-10-2009, 15:18
ในเรื่องการทำบุญหลวงพ่อได้เตือนโยมคนหนึ่งว่า "ทำอะไรอย่าให้เกินกำลัง ถ้าไม่ไหวก็ทำแต่น้อย ในเรื่องของทานบารมีมันไม่ได้อยู่ที่น้อยหรือมาก มันอยู่ที่สละออก ไม่ใช่เราจะทำขึ้นมา เสร็จแล้วก็ไม่ได้ดูรอบข้าง อาจจะมีคนเดือดร้อน"

เถรี
26-10-2009, 15:20
หลวงพ่อกล่าวว่า "ตะกรุดมหาสะท้อนรุ่นที่ปั๊ม เราจะทำพิธีตอนเจ็ดโมงครึ่ง ของมันมาถึงตอนหกโมงครึ่ง เราไม่มีโอกาสตรวจสอบอะไรเลยสักอย่างเดียว ตั้งใจว่าไม่เอาแล้ว แต่โยมเขาบอกให้รับไว้

ตอนแรกตั้งใจทิ้งหมด ทิ้งมัดจำด้วย จะไม่จ่ายเงินที่เหลือด้วย ตอนแรกตกลงกับเขาว่าจะบรรจุหลอดให้ มันกลายเป็นว่าเขาไปทำห่วงหัวท้ายแทน เพราะมันถูกกว่า และห่วงที่เขาทำก็ไม่ได้เรื่อง แต่มันกลายเป็นเอกลักษณ์ไปในที่สุด ไม่มีใครเลียนแบบได้ เพราะมันห่วยได้ไม่เท่า กลายเป็นจุดตายในการพิจารณา เขาเรียกว่าพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ของแท้ต้องห่วย !"

เถรี
26-10-2009, 15:25
หลวงพ่อกล่าวว่า "หลวงปู่จันทร์ กุสโล ท่านเจ้าคุณพุทธพจน์วราภรณ์ วัดเจดีย์หลวง สมัยที่ท่านยังเป็นพระเทพกวี อยู่วัดป่าดาราภิรมย์ อาตมาเคยไปกราบท่าน ท่านบอกว่า ถ้าเมตตาเกินประมาณจะเจอแต่คนพาลทั้งเมือง

คนสมัยนี้มันมีแต่หน้าด้านใจดำ เขาไม่กลัวความดีกัน เขากลัวแต่คนที่ชั่วกว่า ถ้าเราแสดงออกให้เห็นว่าเขี้ยวเรายาวกว่า มันถึงจะยอม นึกถึงพวกสัตว์เดรัจฉาน อย่างพวกลิง เวลาลิงมันขู่ มันจะแยกเขี้ยวใส่ ถ้าเราแยกเขี้ยวใส่มัน มันเห็นเขี้ยวเราใหญ่กว่า มันจะหนี ก็แปลว่า ในการทำมาหากินในปัจจุบันมันเอานิสัยของสัตว์เดรัจฉานมาใช้เยอะ เขาเลยไม่กลัวความดี กลัวแต่ความรุนแรงมากกว่า กลัวแต่คนที่ชั่วกว่า

คิดดูก็น่าอนาถใจว่า เรื่องของศีลธรรมจรรยามันตกต่ำขนาดนั้นเชียวหรือ และนี่มันแค่กลางศาสนาเท่านั้น ยังไม่ใช่ปลายศาสนาเลย ถ้าเรามาดูในยุคนี้ การทำมาค้าขายมันเป็นในเรื่องของคนกินคน ปลาใหญ่กลืนปลาเล็กไปหมด กิจการใหญ่ฮุบกิจการเล็กไปหมด ในลักษณะเทกโอเวอร์ กลายเป็นผู้ที่เข้มแข็งกว่าจึงอยู่ได้ นี่มันกลายเป็นสไตล์ของสัตว์เลย สัตว์ที่ตัวแข็งแรงกว่ามันจะอยู่รอด

ในเมื่อแค่กลาง ๆ ศาสนายังกินขนาดนี้แล้ว ตอนปลายศาสนาที่เขาเรียกว่ามิคสัญญี มันจะรุนแรงมาก (มิคสัญญี = หมายว่าเป็นเนื้อ) เห็นอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเหยื่อ เขาบอกว่าลงจากบ้านก็ไม่จำหน้ากันแล้ว ไม่ชอบใจก็คว้าอาวุธฆ่ากันเลย ขออย่าให้ไปเกิดช่วงนั้นเลยนะ"

เถรี
27-10-2009, 18:03
หลวงพ่อกล่าวว่า "เรื่องของพระ....มันแปลก มันมักจะตรงกันข้ามกับฆราวาส ข้าวของอย่างอื่นพอมันเก่ามันแก่ มันมักจะหมดราคา โดยเฉพาะเมีย แต่พระยิ่งแก่ยิ่งเก่า...คนยิ่งชอบ ประเภททั้งอุ้มทั้งจูงไป อายุ ๙๐ หรือ ๑๐๐ นี่คนชอบกันจริง เรานี่อยากจะเป็นลม ตอนหนุ่ม ๆ มีเรี่ยวแรงไม่ใช้หรอก ไปใช้เอาตอนหมดแรงแล้ว"

เถรี
27-10-2009, 18:29
ถาม : ที่หลวงพี่บอกตอนต้นเดือนที่แล้ว....
ตอบ : จริง ๆ แล้วมันอยู่ที่การขวนขวายของเราจ้ะ พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ชัดว่า สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน บุคคลหนึ่งจะทำให้อีกบุคคลหนึ่งบริสุทธิ์หาได้ไม่ แม้กระทั่งท่านเองยังบอกว่า อกฺขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นได้แต่เพียงผู้บอก เพราะฉะนั้นอยู่ที่เราขวนขวายและเร่งทำ อย่างไรก็ขอให้ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเห็นทางก็ไม่ยากแล้ว

ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงพี่ด้วย ไม่รู้ไอ้ตัวท้าย
ตอบ : ไม่เห็นต้องรู้อะไร แค่เราไม่เอาก็จบ ขึ้นชื่อความเกิดนี้เราไม่เอาอีกแล้ว ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่มีความทุกข์เช่นนี้เราไม่เอาอีกแล้ว ขึ้นชื่อว่าโลกที่ทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ไม่เอาอีกแล้ว เมื่อถอนใจของเราออกมา กติกาของความเป็นพระอริยเจ้า มีกี่ข้อเราก็ทำไป รักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ ตั้งใจอยู่เสมอว่าตายเมื่อไหร่เราไปนิพพาน เสร็จแล้วก็จับภาพพระให้เป็นปรกติ นึกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหน ท่านอยู่พระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน แล้วก็จับตัวสุดท้าย

ถาม : ไม่ค่อยไปนึกถึง
ตอบ : พยายามนึก ช่วยได้เยอะ ถ้าเราอยู่กับท่าน มันจะเจ็บจะป่วยอะไร ไม่สนใจ ไม่รู้สึกหรอก เป็นการระงับเวทนาได้ดีมาก ๆ

ถาม : ฟังเทศน์มาแล้วเขาบอกว่า ต้องเข้าฌานสี่แล้วถอยออกมาฌานหนึ่ง มาพิจารณาอะไรอีก
ตอบ : เสียเวลา ได้แค่ไหน ทำแค่นั้นเถอะ ได้แล้วค่อยมาคิด ถ้ามันอยากนิ่งก็ให้มันนิ่ง ถ้ามันอยากคิดแล้วค่อยให้มันคิด อารมณ์ใจแต่ละช่วงมันไม่เหมือนกัน บางช่วงมันอยากนิ่ง มันอยากสงบก็ให้มันสงบ จะเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี ก็ให้มันนิ่งไป เพราะตอนที่มันนิ่งรัก โลภ โกรธ หลง มันเกิดไม่ได้

ขณะเดียวกันมันไม่นิ่ง มันเริ่มอยากคิด ก็หาวิปัสสนาญาณให้มันคิด จะดูให้เห็นทุกข์ก็ได้ จะดูให้เห็นไตรลักษณ์ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ได้ จะดูให้เป็นวิปัสสนาญาณ ๙ ตั้งแต่การเกิดการดับ ไปจนถึงสังขารุเปกขาญาณ ปล่อยวาง เห็นเป็นธรรมดาก็ได้ เลือกเอาว่าจะเอาอันไหน ไม่อย่างนั้นแล้วมันจะใช้กำลังอย่างที่บอก ฟุ้งซ่านได้ดีมาก เพราะเราไปเพาะกำลัง

เถรี
27-10-2009, 18:30
ถาม : สมมติว่าเราไม่รู้ว่าเราสัญญาอะไรกับพระไว้ แล้วมีคนมาบอกว่าเราสัญญากับพระ ว่าจะช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเราบอกว่าไม่เอา
ตอบ : ถึงเวลามันก็เป็นไปตามสัญญาเอง

ถาม : แต่หนูก็ทำให้พวกนี้นะคะ
ตอบ : อย่าไปฟุ้งซ่านกับมัน

เถรี
27-10-2009, 18:31
ถาม : หลวงพี่ครับถ้าจะฝึกกรรมฐาน ดูจิตอย่างไรครับ
ตอบ : ตอนแรกดูลมหายใจก่อน ถ้าตามลมหายใจทันแล้วค่อยดูอย่างอื่น ถ้าหากลมหายใจยังตามไม่ทัน เผลอเมื่อไหร่คิดถึงแฟน เผลอเมื่อไหร่คิดถึงเพื่อนอย่างนี้ ยังใช้ไม่ได้จ้ะ เอาลมหายใจให้ทัน

เถรี
27-10-2009, 18:55
ในขณะที่คุยเกี่ยวกับเรื่องการทำลานธรรม ที่วัดท่าขนุน หลวงพ่อท่านก็ได้กล่าวว่า "ต้องไปดูข้างบน (มุมที่สูง) แล้วจะเห็นว่าสิ่งที่พระท่านชี้มันลงตัวเป๊ะ ๆ เลย เหมือนกับเราตั้งใจเขียนแผนที่ไว้ก่อน แล้วค่อยไปทำ แต่จริง ๆ ไม่ใช่หรอก ท่านชี้บอกให้ทำไปเป็นจุด ๆ มันเป็นสถาปนึกล้วน ๆ ท่านมองลงมาท่านเห็น เพราะฉะนั้นท่านบอกตรงไหนก็ต้องเอาตรงนั้น"

เถรี
27-10-2009, 19:03
ถาม: อยากถามเรื่องของเวลาอสงไขย มันเกี่ยวข้องกับการเกิดดับของกาแลกซี่หรือไม่ครับ
ตอบ : ถามว่ามีความสัมพันธ์ไหม...ก็มี มันเป็นส่วนหนึ่งของอายุขัย อสงไขย แปลตามศัพท์ว่า นับไม่ได้ ที่นับไม่ได้นี่คือคนนับไม่ได้ แต่พรหม เทวดา หรือท่านผู้ได้อภิญญาท่านกำหนดนับได้

ที่คนนับไม่ได้ ท่านเปรียบเอาไว้ว่า แค่ระยะเวลา ๑ กัป ถ้าสมมติว่ามีถังเหล็กใบหนึ่งรูปสี่เหลี่ยม กว้างยาวด้านละหนึ่งโยชน์ ( ๑๖ กิโลเมตร) ร้อยปีเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดใส่ไปเม็ดหนึ่ง เมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นเต็มถังเมื่อไหร่ ระยะเวลา ๑ กัป ยังยาวนานกว่านั้น

ระยะเวลานั้น หนึ่งรอบของอันตรกัป ๖๔ รอบ = ๑ อสงไขยกัป
๔ อสงไขยกัป = ๑ มหากัป

ดังนั้นคำว่าอสงไขย ที่นับไม่ได้ คือ พวกเรานับไม่ได้ เพราะอย่างอายุเรา เม็ดแรกก็ไม่มีสิทธิ์หย่อนแล้ว ถ้าไม่ถึง ๑๐๐ ปี ตายเสียก่อนจะไปนับอย่างไร

ถาม : แล้วมันสัมพันธ์กับเอกภพหรือเปล่า
ตอบ : ทุกอย่างมันสัมพันธ์กันหมด เพียงแต่ว่าระยะของพวกมันบางทีก็ยาวกว่า บางทีก็สั้นกว่า เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันไม่ได้ดับไปเฉย ๆ ถึงวาระที่สมควรมันก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่ เรื่องพวกนี้รู้ไปก็บ้าเสียเปล่า ๆ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าไปคิดหาเหตุผล พึงมีส่วนของความเป็นบ้า อุมมัตตกะภาโค ยังดีนะแค่มีส่วนเป็นบ้า ไม่ใช่บ้าเลย ถ้ามัวแต่คิดอยู่ เสียเวลาเปล่า ไม่มีโอกาสทำความดี

ถาม : มีผู้กล่าวไว้ว่า ถ้าเราสามารถประมาณระยะเวลา ๑ อสงไขยได้ จะมีผลดีสำหรับผู้บำเพ็ญพระโพธิญาณ จะได้ประมาณเวลาสำหรับการทำบารมี จริงหรือไม่อย่างไร
ตอบ : ผิดแน่นอน ผู้ที่บำเพ็ญพระโพธิญาณไม่ได้สนใจว่าระยะเวลาจะเท่าไหร่ สนใจแค่ว่าได้ทำหรือเปล่า

เถรี
27-10-2009, 19:10
ถาม: พระที่เราจะเอาไปให้คนเขาเวียนมาถวายสังฆทาน เราจะต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถทำอย่างนี้ได้ ?
ตอบ : ก็ไปตลาด แล้วเอาเงินให้เขา (ไปบูชามา)

ถาม : อยู่ดี ๆ เราจะเอามาใช้ได้เลยหรือว่าต้องอธิษฐานอย่างไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง พระที่ผ่านพิธีแล้ว เทวดาท่านรักษา ยกขึ้นยกลงบางทีท่านไม่ชอบใจเหมือนกัน ก็ต้องใช้พระท้องตลาด ไม่ผ่านพิธีเป็นดีที่สุด เพราะว่าพระทั้งหลายเหล่านั้นแม้จะมีเทวดารักษา แต่เขาไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าเป็นใคร

ถาม : พอดียังมีพระต่างจังหวัดหลายวัด ที่ยังไม่มีพระพุทธรูปสำหรับทำสังฆทาน ถ้าจะทำไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : ก็เอาไปถวายท่าน

ถาม : แล้วอานิสงส์ ?
ตอบ : อานิสงส์ก็ได้สังฆทาน มีพระพุทธรูปก็เป็นพุทธบูชา มีผ้าไตรก็เป็นวรรณะ มีอาหารก็เป็นกำลัง ถ้าถวายความสะดวกให้เขา ก็ได้รับความสะดวกด้วย เป็นไวยาวัจจมัยด้วย เป็นปัตตานุโมทนามัยด้วย เพราะถ้าไม่ยินดีก็ไม่เอาไปถวายหรอก

ถาม : ควรหรือเปล่าที่จะเป็นสมเด็จองค์ปฐม ?
ตอบ : อะไรก็ได้ ให้เป็นพระพุทธรูปก็แล้วกัน

เถรี
28-10-2009, 10:29
ถาม : ทำสมาธิแล้วเกิดอาการปวดเมื่อย
ตอบ : ถ้าเราสนใจอยู่กับร่างกายมันจะปวด มันจะชา แต่ถ้าเราไม่สนใจ อยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ อยู่กับภาพพระจริง ๆ มันจะลืมตรงส่วนนี้ไปเลย แล้วจะนั่งนานแค่ไหนก็แล้วแต่ ลุกปุ๊บมันเดินได้เลย มันไม่มีการปวดการเมื่อยอะไรเลย

เถรี
28-10-2009, 10:34
ถาม : พ่อแม่ป่วยอยู่ที่บ้าน แล้วมีคนบอกให้ชะลอการทำบุญ เพราะว่าการที่ออกไปนอกบ้าน เป็นการทิ้งพ่อทิ้งแม่ไว้ที่บ้าน
ตอบ : มีคนอื่นช่วยดูแลไหมจ๊ะ ตอนที่เราไปทำบุญ

ถาม : ไม่มีค่ะ
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่มี ให้บอกพ่อแม่ด้วยว่าเราไปทำบุญแล้วบอกให้ท่านอนุโมทนาบุญด้วย แต่ถ้าหากเราไปตะลอน ๆ ทิ้งให้ท่านอยู่ ไม่มีใครดูแล ปรนนิบัติรับใช้ อันนั้นก็แย่

ถาม : พ่อแม่ก็ยังสามารถดูแลตัวเองได้
ตอบ : ถ้าหากว่าท่านยังสามารถดูแลตัวเองได้ เราก็ปลีกตัวไปได้ แต่ก็อย่ามากจนเกินไป จนกระทั่งกลายเป็นว่าท่านเองต้องอยู่กับบ้านตลอด แต่เราไปไกลเลย

ถาม : แล้วการที่เราไปทำบุญให้ท่าน ท่านได้ไหมคะ
ตอบ : ได้จ้ะ บอกแล้วว่าก่อนไปให้บอกท่านด้วย กลับมาก็มาบอกท่านซ้ำอีกที

เรื่องของการทำความดีต้องอยู่ในลักษณะโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย ทั้งนี้ทางโลกของเราถ้าทำดีแล้ว ในส่วนของทางธรรมก็ทำด้วย ในความเป็นลูกเรามีหน้าที่อย่างไร ถ้าตามที่พระพุทธเจ้าท่านบอก พ่อแม่เลี้ยงเรามา เราเลี้ยงท่านเป็นการตอบแทน ให้รักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเอาไว้ ทำตนเป็นคนดีให้เหมาะสมเพื่อที่จะได้รับมรดก ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มความสามารถ ท้ายสุดแม้บิดามารดาล่วงลับไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากเราทำหน้าที่ของเราเต็มที่แล้ว ระยะเวลาที่เหลือ เราจะพลิกตัวไปทำบุญที่ไหนก็ได้ ตามที่เขาทักท้วงมา เขารู้สึกว่าเราใช้เวลาไปในการทำบุญมากกว่าการอยู่บ้าน เราก็แบ่งเวลาเสียใหม่

เถรี
28-10-2009, 10:36
ถาม : อย่างเวลาไปทำบุญ จะมีอุปสรรค เจ็บไข้ได้ป่วย เช่น ปวดท้อง ไม่รู้จะแก้อย่างไร
ตอบ : ไม่ต้องแก้ อันนั้นเขาเรียกว่าทดสอบกำลังใจ เพราะว่าการทำอะไรก็ตาม จะมีการทดสอบอยู่ตลอด แล้วลักษณะในการทดสอบก็จะทำให้เราเข้าใจผิดได้ อย่างเช่น เพราะว่าเราทำความดี....เราจึงได้เจอเหตุแบบนี้ จึงได้เป็นแบบนี้ บางคนเลิกทำความดีไปเลยก็มี

เถรี
29-10-2009, 12:59
ถาม : สมัยหลวงพ่อฤๅษีท่านสร้างพระ ..
ตอบ : อันนั้นพระท่านบอก แต่ละอย่างพระท่านจะบอกว่าใช้งานในด้านไหนได้บ้าง แต่ท่านบอกไว้เสมอว่าวัตถุมงคลของท่านให้หารุ่นสุดท้ายไว้ ถ้าพระเคยสงเคราะห์เท่าไหร่ครั้งต่อไปจะไม่มีต่ำกว่านั้น มีแต่ว่าถ้าเพิ่มอะไรมาแล้วท่านจะบอก เพราะฉะนั้นวัตถุมงคลสายหลวงพ่อวัดท่าซุงรุ่นสุดท้ายดีที่สุด จะว่าไปก็คือสั่งสมมาเรื่อย

อาตมานี่เอาไม่มาก ถึงเวลาทำพุทธาภิเษกก็อธิษฐาน สมัยหลวงพ่ออยู่ท่านสงเคราะห์แค่ไหน...ผมเอาแค่นั้น ขอนิดเดียวสั้น ๆ ไม่เคยอธิษฐานเยอะแยะกับเขา

เถรี
29-10-2009, 13:18
หลวงพ่อเล็กกล่าวว่า "ตอนช่วงนี้บรรดาสหายศึก เพื่อนร่วมรบเก่า ๆ เขามาช่วยงานพระศาสนากันมาก ก็คือบรรดาเพื่อนที่เคยไปรบทัพจับศึกตั้งแต่สมัยไหนยุคไหน สิ่งที่มันผูกพันอยู่กับหน้าที่มันล็อกตัวเองอยู่ ทำให้ไม่สามารถจะไปเกิดได้ ในเมื่อปลดออกมา ปล่อยออกมา ก็เลยเอามาช่วยงานกัน"

เถรี
29-10-2009, 13:21
ถาม : บนท่านท้าวมหาราชให้ได้เป็นพระโสดาบัน
ตอบ : ท้าวมหาราช....ท่านให้พรไว้ว่าบุคคลใดก็ตามถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ท่านจะตามคุ้มครองตลอดชีวิต มันดันไปกลายเป็นว่าบนท่านท้าวมหาราชให้เป็นพระโสดาบัน ถ้าเป็นอย่างนี้ตูจะรีบบนเลย

นาน ๆ ไปมันเละได้ขนาดนั้น เขาเรียกว่าอิทธิพลสื่อที่บิดเบือน บอกมันด้วยว่า ท่านบอกไว้อย่างนี้

เถรี
29-10-2009, 13:23
หลวงพ่อเล็กกล่าวว่า "บุคคลที่เป็นพระโพธิสัตว์บารมีเข้มเท่านั้นที่ร่างกายจะมีพระรัศมี คราวนี้อย่างหลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านมีแค่ ๔ สี ก็แสดงว่าท่านสร้างบารมีมาเยอะ"

เถรี
29-10-2009, 13:24
หลวงพ่อเล็กกล่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าถ้ามรรคแปดยังมีอยู่ครบถ้วน สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็จะมีอยู่ในศาสนานี้ เพราะฉะนั้นของสี่หมื่นแปดพันพระธรรมขันธ์ยังครบ ไม่ใช่แค่มรรคแปด

ก็เลยอยู่ที่ว่าพวกเราจะมีความพยายามสักเท่าไหร่ที่จะทำแล้วให้เกิดผล ไม่ใช่ว่าเจอลำบากเสียหน่อยก็ท้อแล้ว ท้อไม่ได้ ถ้าท้อก็ห้ามท้อบ่อย"

เถรี
29-10-2009, 13:39
ถาม : เวลาที่เราสวดมนต์อย่างที่โหลดเอ็มพีสามที่เป็นเพลงสวดมนต์ แล้วเราร้องเป็นเพลงจะได้ไหมคะ
ตอบ : จริง ๆ มันสำคัญที่ว่าใจเราเป็นสมาธิหรือเปล่า ถ้าใจเราเป็นสมาธิต่อให้ร้องเพลงก็ได้ เพียงแต่ว่าให้มันจดจ่ออยู่ตรงหน้าอย่าไหลตามไป อย่างเช่นเวลาเราร้องเพลง ถ้าหากว่าใจเรานิ่งอยู่ตรงหน้า มันจะไม่ไหลตามเนื้อเพลง แต่ถ้าหากว่าใจเราไม่นิ่งอยู่ตรงหน้า มันจะไปคิดตามเนื้อเพลง

ถ้าหากว่าจิตเป็นสมาธิอยู่ตรงหน้า ต่อให้ร้องเพลงมันก็เป็นกุศล แต่ถ้าหากว่าไม่เป็นสมาธิตรงหน้า จิตมันจะปรุงแต่งตามเนื้อเพลงแล้วมันจะไหลตามกระแสไปเรื่อย ถ้าอย่างนั้นมันจะเป็นโทษ ฉะนั้นเราเองจะสวดมนต์ในลักษณะอย่างสรภัญญะหรืออะไรก็ได้ทำนองเพราะ ๆ ก็ได้ ไม่มีใครว่า อย่างเมืองจีนเขาก็เคาะป๊อก ๆ ๆ บางอันก็มีดนตรีประกอบ

ถาม : แล้วอย่างหนูจะสวดชินบัญชร หนูจำไม่ได้ หนูก็เลยใช้วิธีร้องเพลงเอาได้ใช่ไหมคะ
ตอบ : ได้

ไม่ยากหรอกนะ เพราะที่ให้ไปเป็นสิ่งที่ดี ฟังบ่อย ๆ ก็ติดหู ชินบัญชร ๙ จบ กว่าจะจบอย่างน้อยก็ต้องจำคาถาได้เป็นบรรทัดแล้ว

เถรี
29-10-2009, 13:44
ถาม : เวลาปฏิบัติจะมีเสียงเหมือนคนมาคุยรบกวน
ตอบ : เอาอย่างนี้ ให้มาสนใจอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว จะมีเสียงคุยกัน หรือจะมีอะไรก็ตาม ไม่ต้องใส่ใจ ให้ใส่ใจว่าเราหายใจแล้วเรารู้ตามเข้าไปได้ไหม....จนกระทั่งมันสุด หายใจออกรู้ตามออกมาได้ไหม....จนกระทั่งมันสุด

ให้มันอยู่แค่นี้ ถ้ามันไปอยู่ที่อื่นเมื่อไร ดึงมันกลับมาตรงนี้ แล้วสมาธิจะก้าวหน้า ไม่อย่างนั้นแล้วเรามัวแต่ไปสนใจที่อื่น สมาธิจะไม่ก้าวหน้า เป็นลักษณะที่โบราณเรียกว่า กิเลสมารมันหลอก ก็คือมันกวนเรามาก ๆ แล้วเราไม่มีเวลามาดูตรงนี้ สมาธิมันก็ไม่ได้สักที แต่มันจะรำคาญตอนต้น ๆ ยิ่งไปสนใจจะยิ่งชัดเจน ปล่อยให้เป็นเรื่องปกติธรรมดา หากมันเหมือนใครมาคุยกันอยู่ใกล้ ๆ ก็ปล่อยมัน แล้วเราทำงานของเราไป

ถาม : แล้วมันมาคุยอะไรกันอย่างนี้
ตอบ : ก็ปล่อยมันคุยกันไปสิ มันเป็นเรื่องปกติของนักปฎิบัติ จะต้องเจอเรื่องพวกนี้

ถาม : ก็ดึงมา
ตอบ : มาอยู่กับ พุทโธ มาอยู่กับลมหายใจตามเดิม อยู่กับตรงนี้ ถ้าคิดเรื่องอื่นหรือใครมันจะคุยกันอย่างไร ก็รีบดึงกลับมา

ถาม : (ไม่ชัด)
แล้วมันจะชัดขึ้นเรื่อย ๆ มันตั้งใจกวนเรา ไม่ต้องไปใส่ใจมัน หลังจากที่สมาธิเราทรงตัวแล้ว เรื่องพวกนี้เดี๋ยวมันจะหายไปเอง

เถรี
29-10-2009, 13:50
ถาม : การถวายพระพุทธรูปแล้วเอามาเป็นสังฆทานอย่างนี้ เขาเรียกว่าถวายทานธรรมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ก็ถวายพระพุทธรูป ส่วนคนรับจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเขา เราก็ได้อานิสงส์สร้างพระ ถ้าเขาเอามาทำเป็นสังฆทานอย่างที่เขาทำกันกี่ครั้งก็มีส่วนของเราด้วย น่าสนใจนะ

ถาม : แล้วผมจะเช่าพระพุทธรูปมาทำอย่างนี้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่สมควร

ถาม : ทำไมครับ ?
ตอบ : พระเช่าบูชา...เทวดาเขารักษาเป็นการเฉพาะเจาะจง ไปยกขึ้น ๆ ลง ๆ ข้ามไปข้ามมาท่านไม่ชอบใจ

เถรี
29-10-2009, 13:52
หลวงพ่อกล่าวว่า "ให้สังเกตไว้อย่างหนึ่งว่า ช่างคนไหนปั้นพระ...เค้าหน้าก็จะเป็นของช่างคนนั้น มันอาจจะเป็นการหลงตัวเองอยู่ลึก ๆ ก็ได้ ถึงเวลาปั้นเสร็จก็ออกเค้าหน้าตัวเองว่าสวยที่สุด

ฉะนั้นที่เขาให้สังเกตว่าผู้หญิงผู้ชายที่เป็นเนื้อคู่กันหน้าตามักจะคล้าย ๆ กัน อาตมาฟันธงว่ามันเป็นการหลงตัวเอง คือพอเห็นหน้าคล้ายตัวเอง ด้วยความไม่รู้ตัวก็ชอบไว้ก่อน เรื่องนี้ไม่รู้ว่าจะฟันธงผิดหรือถูก แต่พูดไปแล้ว ฉะนั้นเวลาเห็นหน้าคนไหนที่มาเป็นคู่ ๆ หน้าคล้าย ๆ กันแล้วเราก็ว่าสองคนนี่เป็นคู่กันแน่เลย จริง ๆ ก็คืออาการหลงตัวเองของคนใดคนหนึ่ง"

เถรี
29-10-2009, 13:56
หลวงพ่อเล็กท่านกล่าวว่า "ท่านที่จับภาพพุทธานุสติเป็นปกติ นาน ๆ ไป เค้าหน้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นเค้าของพระ"

แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า "มีอยู่ครั้งหนึ่งออกจากโบสถ์หลังจากปาฏิโมกข์แล้ว หลวงพ่อท่านเดินนำ พวกเราก็เดินตาม มีโยมจากบ้านแพน จังหวัดอยุธยา แห่กันมา ๓ คันรถ พอลงจากรถมาเจอหลวงพ่อ ก็กราบกัน บางคนนี่ร้องไห้โฮเลย เขาบอกว่าทำไมเหมือนหลวงปู่ปานอย่างนี้ เราดูอย่างไรหลวงพ่อกับหลวงปู่ปานก็ไม่เหมือนกัน แต่คนที่นาน ๆ เห็นที จับเค้าหน้าท่านว่าเหมือนเค้าหน้าของพระ พอไปมองตรงจุดนั้นแล้วมองอย่างไรก็เหมือน แต่ถ้าหากจับมาคู่กันจริง ๆ เราจะเห็นว่าไม่มีเหมือนหรอก จะเห็นลักษณะเค้าบางส่วนที่จับภาพพระอยู่เป็นปกติ

ก่อนหน้านี้สมัยหนุ่ม ๆ เค้าหน้าของหลวงพ่อคล้าย ๆ กับหลวงพ่อสมปองของพวกเรา ขอยืนยันนะ แล้วท่านจับภาพพระไปเรื่อย ๆ ๆ เค้าหน้าแปรเป็นภาพพระได้ หน้าเป็นคนละทรงไปจากของเดิมเลย สมัยอายุ ๕๐ กว่า เค้าหน้าท่านก็ยังออกมาทางด้านนี้อยู่ พอยิ่งอยู่ไป ๆ ก็เปลี่ยนไปใกล้พระท่านไปเรื่อย ๆ"

ถาม : หลวงพ่อเล็กก็เปลี่ยนนะ
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้ส่องกระจก พระเขาห้ามส่องกระจก

เถรี
29-10-2009, 14:03
ถาม : แม่อายุ ๖๘ อยู่โรงพยาบาล เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง จะรอดไหม
ตอบ : ถ้าหากว่ายังไม่ได้ผ่าตัด ยังอยู่ได้อีกระยะ

ถาม : กี่ปีครับ
ตอบ : บอกไม่ถูก ขึ้นอยู่กับกำลังใจคนไข้

ถาม : แล้วจะฟื้นไหม
ตอบ : ฟื้นขึ้นมาไม่ใช่เรื่องดีหรอก ฟื้นมันมี ๒ อย่าง ฟื้นขึ้นมาอย่างแรกก็คือมันเป็นวูบสุดท้ายเพื่อสั่งเสียลูกหลาน ส่วนฟื้นอีกอย่างหนึ่งคืออาการดีขึ้น เพราะฉะนั้นการฟื้นนี่เราบอกไม่ถูก

ถาม : แล้วจะฟื้นไหมครับ
ตอบ : ก็รอสิ

ถาม : จะทำบุญอะไรให้ดี
ตอบ : บุญช่วยอะไรก็ช่วยไม่ได้หรอกจ้ะ ถ้าหากคนไข้ไม่ได้สติ ต้องบอกให้ท่านรู้แล้วโมทนาด้วย เพราะฉะนั้นถ้าได้สติรีบบอกให้ท่านโมทนาที่เราถวายสังฆทาน

ถาม : แล้วจะทำบุญหล่อพระจะดีไหมครับ
ตอบ : บุญอะไรก็ได้ แต่ต้องบอกให้โมทนา

เถรี
29-10-2009, 14:06
ถาม : หนูอยากเป็นเด็กดีที่โรงเรียน
ตอบ : ต้องเชื่อฟังคุณครู อย่าดื้อกับพ่อกับแม่ แล้วถ้าเป็นไปได้รักษาศีลให้ได้ด้วยจ้ะ ก็คือเราต้องไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักขโมยใคร ของที่เขารักเราก็ไม่ไปแย่ง แล้วก็ไม่พูดโกหก แล้วก็ไม่กินเหล้าเมายา ถ้าทำอย่างนี้ได้เป็นเด็กดีแน่ ๆ จ้ะ ทำได้ไหมจ๊ะ พอไหวไหม เยอะไปหรือเปล่า ท่องพุทโธ ๆ ไว้ก่อนลูก

เถรี
29-10-2009, 14:10
ถาม : หลวงพ่อครับคำว่าการรักษาพรหมจรรย์ระหว่างที่ครองเรือนอยู่ มีขอบเขตอย่างไรครับ
ตอบ : ถ้าหากว่าจะเอาเป็นศีลพรหมจรรย์จริง ๆ ก็ต้องรักษาศีล ๘ แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่ศีลพรหมจรรย์เราไม่ละเมิดศีล ๕ ก็ถือว่าไม่ผิด

ถาม : แล้วแสดงความรัก กอดหอมอะไรอย่างนี้
ตอบ : เรื่องปกติ

ถาม : ทำได้ใช่ไหมครับ
ตอบ : ทำได้

ถาม : ไม่ถือว่าทำให้ผิด
ตอบ : ถ้าหากว่ามันทำให้กามราคะกำเริบถือว่าผิด แต่ถ้าหากไม่มีส่วนที่ทำให้กามราคะกำเริบถือว่าไม่ผิดหรอก มันอยู่ที่ว่าเราระวังใจตัวเองให้ได้

เถรี
29-10-2009, 15:52
ถาม : เราจะทำอย่างไรที่จะทรงบารมี ๑๐ ได้ดี ต้องพิจารณาให้เข้าไปทั้ง ๑๐ ข้อ หรือเปล่า
ตอบ : จริง ๆ สำคัญที่สุดอยู่ตรงสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวมันจะรู้ระมัดระวังแล้วทบทวนอยู่เสมอ ๆ บารมี ๑๐ จับข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ขึ้นมา อย่างเช่นว่าเราจับเมตตาบารมีขึ้นมา ตั้งใจแผ่เมตตาหวังสงเคราะห์คนให้มีความสุขความเจริญอยู่ตลอดเวลา ตัวอื่นอีก ๙ ตัวมันตามมาเอง แล้วคนจะมีเมตตาบารมีได้ ศีลจะต้องทรงตัวอัตโนมัติ ศีลบารมีก็ได้ คนที่จะรู้ว่าเมตตาบารมีดี....ปัญญาต้องมี ปัญญาบารมีก็ได้ ไล่ไปครบทุกตัวแหละ เพราะฉะนั้นเลือกเอาตัวเดียวมาเน้น ๆ อีก ๙ ตัวตามมาเอง

ถาม : คนที่ทำอารมณ์ได้ระดับพระโสดาบัน เขาต้องมีบารมีพวกนี้มาครบ
ตอบ : พวกนี้เขาทำมาเยอะแล้ว ถ้าหากมาไม่ถึงนี่ ไม่มีทางหรอกที่คิดจะภาวนา ถ้าหากว่ารู้จักภาวนานี่กำลังพอแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ว่าทำถูกวิธีหรือเปล่า

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : รับรู้มันไว้ แล้วเสร็จแล้วก็เปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนสถานที่ในการภาวนา ก็จะดีขึ้น ไม่ใช่ไปนั่งเหี่ยวอยู่กับมันตลอด

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าได้เปลี่ยนสถานที่มันจะดีขึ้น เหมือนที่พระท่านธุดงค์

เถรี
29-10-2009, 15:54
ถาม : แล้วคนที่ปฏิบัติไปแล้ว ได้รู้ในข้อธรรมบางข้อธรรม แล้วยึดอยู่กับข้อธรรมนั้นในสิ่งที่ตนรู้นั้น ตรงนี้เป็นเหตุที่ทำให้เขาไม่เจริญไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติได้หรือเปล่าคะ

ตอบ : ถ้าไปยึดอยู่ตรงนั้นโดยไม่ปล่อยก็เสร็จเหมือนกัน ยกเว้นว่าตรงนั้นเป็นทางที่ต้องผ่านจริง ๆ ก็พยายามตะเกียกตะกายผ่านไปให้ได้เท่านั้นเอง

เถรี
29-10-2009, 22:36
ถาม : วันนั้นคุยกับหลวงพี่หน่อยครับ ท่านโทรมาเล่าให้ฟังว่า ออกพรรษาค่อยเห็นว่าได้อานิสงส์บ้าง ถามทำไมเล่าหลวงพี่ ท่านบอกว่าท่านพิจารณาทุกข์มาตลอดเวลา พอพิจารณาทุกข์ก็รู้สึกว่าจิตมันเป็นทุกข์ ก็รู้สึกว่าทำไมมันเห็นทุกข์แล้วมันยังทุกข์อยู่ แล้วมันทุกข์อยู่ของมันร่ำไปอยู่อย่างนั้น จนออกพรรษาพิจารณาไปพิจารณามาถึงรู้ว่า อ๋อ มันเป็นเวทนา เลยเข้าใจว่า อ๋อ เขาพิจารณากันอย่างนี้
ตอบ : ยังอุตส่าห์รู้ ..กำหนดรู้ ยอมรับว่าปกติธรรมดามันเป็นอย่างนั้น แล้วก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมันก็จบแล้ว อันนี้รู้แล้วก็ไปแบกไว้แล้วก็สงสัยทำไมมันหนักแท้

ถาม : ครับ บอก ๘-๙ ปีท่านก็พิจารณาทุกข์มาตลอด ทำไมพิจารณาทุกข์ ใจมันก็เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าบอกเห็นทุกข์แล้วมันต้องหายทุกข์สิ
ตอบ : รู้ว่าแบกอยู่แล้วมันจะหายหนักไหมเล่า มันจะหายหนักก็ต่อเมื่อเลิกแบก

เถรี
29-10-2009, 22:37
ถาม : แล้วอย่างบางคนที่เขากำลังเสวยในทุกข์อยู่ แล้วทีนี้พยายามหาทางจะปล่อยวางในทุกข์นั้น แต่ทำเท่าไหร่มันก็ปล่อยไม่ได้สักทีค่ะหลวงพ่อ ตรงนี้มันเป็นเพราะอะไร

ตอบ : กำลังของสมาธิและปัญญายังไม่พอ ถ้าหากว่ากำลังของสมาธิและปัญญาเพียงพอ มันจะก้าวข้ามไปได้ อันนี้มันเหมือนอย่างกับประเภทขายาวไม่พอจะก้าวข้ามรั้ว ข้ามไปก็ติดแหง็ก คราวนี้หนักกว่าเดิมเพราะดันไปเขย่งขาเดียว

เถรี
29-10-2009, 22:50
ถาม : แล้วไสยขาวกับพุทธศาสตร์คืออย่างเดียวกันหรือเปล่า
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ ไสยศาสตร์คือไสยศาสตร์ แต่ไสยขาวเป็นไสยศาสตร์ที่ใช้ในการแก้ ใช้ในการช่วย แต่ถ้าไสยดำนี่ก็คือเอาไว้ทำอันตรายคนอื่น

ถาม : พุทธศาสตร์นี่เน้นไปเพื่อการหลุดพ้นเพื่อสมาธิ ปัญญา
ตอบ : ไสยศาสตร์แต่ละอย่างนี่เราก็ลองไปดู ๆ มันคาถาหัวใจธรรมะทั้งนั้นเลย มีไม่มากเท่าไหร่หรอกที่มันออกไปด้านนั้นตรง ๆ คราวนี้มันก็เลยเป็นที่ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสอะไรไม่ผิดจริง กำลังใจที่มันมุ่งมั่น สิ่งดีก็กลายเป็นสิ่งไม่ดีเพราะมันมุ่งมั่นที่จะใช้ในทางที่ไม่ดี กลายเป็นดาบสองคม

ถาม : ที่เขาเรียกว่ามิจฉาสมาธิใช่ไหมครับ
ตอบ : ถึงเวลาได้อาวุธไป แทนที่มันจะเอาไปใช้งาน มันก็ดันเอาไปจี้ ไปปล้น ไปฆ่าเขา

ถาม : นึกถึงคนฝึกกรรมฐานกันนะครับ แรก ๆ ก็คงจะไม่น่ากลัวหรอก
ตอบ : พวกคุณไม่น่ากลัวหรอก เพราะเขาจ้องจะเด็ดหัว เตือน ๆ ให้ระวัง ไม่แน่หรอก ถ้าเกิดเด็ดหัวไม่ได้เดี๋ยวก็ย้อนกลับไปพวกข้างล่าง

เถรี
30-10-2009, 08:05
ถาม : หลวงพี่ครับบางสำนักอาจารย์เขาไม่เป็นอะไรเลย แต่คนมาเชื่อถือเยอะมาทำบุญเยอะ ตายไปเขาได้อานิสงส์เยอะไหมครับ
ตอบ : ถ้าหากว่าสอนตามพระพุทธวัจนะได้ แต่ถ้าแหกคอกพระพุทธวัจนะ เป็นอัตโนมติของตนเอง เตรียมตัว (ลงนรก) ได้เหมือนกัน

ถาม : สอนถูกครับแต่ตั้งใจไม่ถูก
ตอบ : สอนถูกตั้งใจไม่ถูกไม่เป็นไร เสียหายไม่มาก มันแค่ว่าตัวเองเลี้ยงวัวทั้งฝูง แต่ไม่เคยได้ชิมเลยว่ารสชาติของวัวมีอะไรบ้าง พระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่า ไม่เคยรู้ในปัญจโครสเลย ก็คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ ๕ ประการจากวัว นม เนยใส เนยข้น น้ำมันเปรียง แล้วก็นมส้ม (นมส้มก็คือนมเปรี้ยว)


หมายเหตุ : อัตโนมติ = อัตโน+มติ
คือ ความคิดเห็นของผู้พูด ผู้แสดงธรรมในพระพุทธศาสนา ซึ่งอาจจะตรงหรือผิดกับคำของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้

เถรี
30-10-2009, 09:40
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "วันก่อนมีเด็กจะมาขอบวช บอกมันว่าตื่นขึ้นทำวัตรเช้าตอนตีสามครึ่ง ทำกรรมฐานและทำวัตรเช้าเสร็จแล้วเตรียมตัวตามพระออกบิณฑบาต กลับมาฉันอาหารเสร็จแล้ว ล้างเก็บถ้วยชาม จัดสถานที่เตรียมไว้มื้อเพล

หลังเพลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ล้างถ้วยล้างชาม ปัดกวาดสถานที่ แล้วก็เตรียมทำความสะอาดวัด พอตอนเย็นก็มาทำวัตรเย็น ๒ รอบ รอบแรกก็ ๖ โมงเย็น รอบ ๒ ก็ทุ่มหนึ่ง จะได้นอนก็เมื่อเปิดเสียงตามสายสองทุ่มไปแล้ว

ถ้าขาดเวลาใดเวลาหนึ่งเจอสายไฟ ขาดครั้งแรก ๑ ที ครั้งที่สอง ๒ ที ครั้งที่สาม ๓ ที บวกเพิ่มไปเรื่อย ครบ ๑๐๘ เมื่อไร......วันรุ่งขึ้นมันหายจากวัดไปเลย

จากที่มันบอกทุกคนว่ามันจะต้องบวชให้ได้นะ หายจากวัดไปเลย บอกว่าถ้าไม่เชื่อถามเณรที่อยู่ในวัดนี้ดูว่าโดนจริงไหม"

ถาม : แค่ไปถามใช่ไหม
ตอบ : แค่มันไปถามก็รู้แล้ว เพราะเณรมันโดนทุกคนแหละ
ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง งวดนี้นี่โดนข้อหาจับหมาไปเขียนคิ้วเขียนตา กลับไปมีการชำระ คือ หมานี่มันไม่ได้ดมกลิ่นอย่างเดียวนะ ตามันดูด้วย แล้วเวลามันเห็นหน้าแปลก ๆ ไปบางทีมันก็กัดเลย

เถรี
30-10-2009, 10:04
สมัยอาตมาอยู่วัดท่าซุงส่วนใหญ่ก็มุดอยู่ใต้สวนไผ่ ๖ ไร่ ไม่ต้องยุ่งกับใคร ยกเว้นบรรดางูเหลือมหรือว่าพวกเหี้ย พวกตะกวดมันจะมายุ่งกับเราก็ไล่มันไปไกล ๆ
ถาม : จริง ๆ แล้วสัตว์พวกนี้กลัวเราไหมคะ
ตอบ : มันกลัว เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ทำอะไรเขา แล้วคนที่นั่งกรรมฐานนี่มันคล้าย ๆ กับว่าเราไม่ได้มุ่งร้าย ในเมื่อเราไม่ได้มุ่งร้าย เขาไม่กลัวเขาก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วท้ายสุดก็มานอนตักบ้าง มานอนบนอกบ้าง

ถาม : แล้วเขารู้หรือคะว่าเรารักเขา
ตอบ : ถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ ในแต่ละอารมณ์ใจร่างกายของเราจะหลั่งสารเคมีแบบต่าง ๆ กันออกไป สัตว์มันสามารถรับสัมผัสได้ แต่ถ้าว่ากันตามหลักของศาสนา หลักของการปฏิบัติทางจิต ก็ต้องบอกว่าสัตว์มันสามารถรับรู้ได้ว่าใครมีความเมตตาหรือใครไม่เมตตามัน คือพวกนี้เขาเป็นสัตว์เลือดเย็นถึงเวลาต้องหาที่อุ่นนอน แล้วไอ้ที่อุ่นที่สุดก็อยู่ตรงนั้นแหละ นอนตักยังดี อาตมาโดนมันทับอก ตัวอะไรวะเบ้อเริ่มเลย ค่อย ๆ ลากมันออก

ถาม : ตัวใหญ่แค่ไหน
ตอบ : ก็มีตั้งแต่ประเภทเล็ก ๆ จนถึงใหญ่กว่าขาอ่อน

ถาม : คุยได้ไหมเจ้าคะ
ตอบ : ก็คงได้ แต่เราฟังไม่รู้เรื่อง ถึงเวลาก็มาแลบลิ้นแพล่บ ๆ ก็คงอยากจะคุยด้วย ได้แต่บอกมัน บอกว่าไม่อร่อยหรอกอย่ากินเลย

ถาม : สนิทกันขนาดนี้ทำไมหลวงพ่อบอกไม่ค่อยอยากจะเจองู
ตอบ : เจอทีไรแล้วชอบจับมันเล่น

เถรี
30-10-2009, 16:26
ถาม : ถ้าเขาเรียกให้เป็นกรรมการ แล้วเราใส่ซองไป ๒๐ บาท นี่ผิดไหมคะ
ตอบ : ก็ไม่ผิดหรอกจ้ะ มันอยู่ที่ศรัทธา

ถาม : เขาไม่บอกให้เราทราบ แต่ใส่ชื่อเราเป็นกรรมการไปเฉยเลย กรรมการก็หนึ่งร้อยบาท แต่เราใส่ ๒๐ บาท
ตอบ : ก็บอกเขาสิว่ามีศรัทธาแค่นี้ การทำบุญมันไม่ได้อยู่ที่จำนวน สำคัญตรงใจสละออก อย่างเจ้าเต้ย มันติดกัณฑ์เทศน์ตรงนี้บาทหนึ่ง หลายคนอาจจะเห็นว่ามันเหลวไหล แต่คุณรู้ไหมว่ามันอาจจะมีแค่ ๒๐ แต่มันติดกัณฑ์เทศน์บาทหนึ่ง เท่ากับ ๕% ที่มันมี แต่ถ้าหากว่าใครมีพันล้านแล้วติดกัณฑ์เทศน์ตรงนี้ล้านหนึ่ง ลองเทียบเปอร์เซ็นต์ดูสิมันต่างกันแค่ไหน อันนี้มันเป็นต้องเรียกว่าอย่างไร บาทหนึ่ง เท่ากับหนึ่งในยี่สิบ แต่อันนั้นมันเป็นหนึ่งในพัน จำนวนเปอร์เซ็นต์มันห่างกันมากเลย

ถาม : แล้วถ้าไม่มีแล้วต้องไปกู้หนี้ยืมสินละครับ
ตอบ : ก็พระพุทธเจ้าบอกว่าทำแล้วต้องไม่ให้ตนเองและบุคคลรอบข้างเดือดร้อน ถ้าถึงขนาดกู้หนี้ยืมสินมาทำนั่นมันขาดปัญญาในทานบารมี

เถรี
30-10-2009, 16:31
ถาม : หลวงพี่ครับ ตู้บริจาคตามวัดหยอดไปเป็นสังฆทานหรือเปล่าครับ
ตอบ : คือถ้าเขาระบุอะไรก็ได้อย่างนั้น ยกเว้นว่าถ้าเขาไม่ได้ระบุเราตั้งใจเป็นสังฆทานก็ได้เลย

ถาม : แล้วที่ช่วยค่าน้ำค่าไฟละครับ
ตอบ : ค่าน้ำค่าไฟทั้งวัดหรือเปล่า ถ้าทั้งวัดก็เป็นสังฆทานอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ใช่ ..ค่าน้ำค่าไฟเฉพาะกุฏิ (ของฉัน) ถ้าอย่างนั้นละก็ไม่เป็นสังฆทาน

เถรี
30-10-2009, 16:32
ถาม : มีแผ่นทอง ตั้งใจหล่อพระไว้ที่หนึ่งแต่ไม่ได้ไปหล่อ ไปหล่ออีกที่หนึ่ง แต่เป็นพระเหมือนกันนี่ใช้ได้ไหมคะ
ตอบ : จริง ๆ ถ้าตั้งเจตนาไว้ที่ไหนควรจะเป็นที่นั่น

เถรี
02-11-2009, 14:56
หลวงพ่อถามว่า "มีใครอ่านมังกรคู่สู้สิบทิศบ้าง พระเอกมันพัฒนาตัวเองด้วยการสู้แล้วแพ้ จากครั้งแรกที่แพ้ยับเยินครั้งต่อไปก็พอที่จะสูสี รู้ว่าไม่ไหวก็เผ่นก่อน แล้วก็กลับมาใหม่ เขาใช้คำว่า ใช้การต่อสู้หล่อเลี้ยงการต่อสู้ ก็คือเหมือนกับว่าเอาอุปสรรคเป็นกำลังใจในการที่จะเอาชนะมันให้ได้ ถ้าไม่มีอุปสรรคมาขวางอยู่ตรงหน้า อาจจะไม่มีกำลังใจที่จะทำอะไร

อย่างที่พูดมาก็อยู่ในลักษณะเดียวกันว่า เขาฝึกฝนตัวเองจากสิ่งต่าง ๆ ที่พบในชีวิตจริง แล้วพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ อย่างเราก็ใช้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต พัฒนาตัวของเราเองให้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ อย่างที่พระท่านพิจารณาว่ากาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำกาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้"

เถรี
02-11-2009, 14:58
หลวงพ่อกล่าวว่า "ตอนนี้พวกเรารู้สึกว่ารังเกียจความแก่ แต่พอไปอีกนิดหนึ่งจะรู้สึกว่ามันแก่ไม่พอ แล้วถึงเวลานั้นมันจะดัดจริตแก่ คอยดูแล้วกันมันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้ใครถามจะบอกอายุให้น้อยที่สุด แต่พอก้าวพ้นจุดนี้ไปใครถามจะบอกให้มากที่สุด มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะ ไม่ได้พูดเล่นเรื่องจริง"

เถรี
02-11-2009, 15:23
ถาม : หลวงพ่อคะ หลวงพ่อมีแบบฝึกหัดสำหรับฝึกเลื่อนฌานขึ้น ๆ ลง ๆ แบบง่าย ๆ ไหมคะ

ตอบ : เอาอย่างนี้สิ ถ้าจับภาพพระคล่อง ก็กำหนดภาพพระขึ้น ๔ องค์ แต่ละองค์ความสว่างอยู่คนละระดับกัน แล้วก็เลื่อนขึ้นเลื่อนลงตามระดับนั้น

อย่างเช่นว่า องค์นี้เป็นพระแก้วใสตามปกติ องค์นี้เป็นพระแก้วใสมีความสว่างเท่านี้ องค์นี้สว่างเท่านี้ องค์นี้สว่างเท่านี้ แล้วก็กำหนดใจเลื่อนขึ้นลง จะไปทางไหนก็ไป กำลังใจของเราถ้าจับภาพพระในแต่ละระดับ จะเห็นชัดว่าภาพพระท่านจะแจ่มใสชัดเจนแค่ไหนมันเป็นไปตามระดับของสมาธิของเรา ก็จะซ้อมได้ เห็นพร้อมกันได้แต่ให้เลื่อน จับจดจ่อเฉพาะแต่ละองค์

เถรี
02-11-2009, 15:25
ถาม : ถ้าเวทนาตอนบาดเจ็บหรือตายมันสาหัส จะทำอย่างไรถึงจะฝึกฝนมันได้
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว ถ้าอานาปานสติทรงตัว จิตกับกายจะแยกเป็นคนละส่วนกัน ในเมื่อจิตกับกายเป็นคนละส่วนกัน จิตส่วนจิต กายส่วนกาย ถ้าไม่ไปรับรู้อาการทางกายเจ็บก็เหมือนกับไม่เจ็บ

ถาม : บางคนก็บอก เฮ้ย กูถึงฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔
ตอบ : ไม่เป็นไร ฌานไหนก็ได้ สภาพความเป็นจริงจะบอกเองว่าถึงจริงหรือเปล่า ถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็จะรู้ว่าถึงจริงไหม

เถรี
02-11-2009, 15:36
ถาม : ถ้าคิดถึงนิพพานตอนหลับบ่อย ๆ แล้วตอนตายจะไปได้หรือไม่
ตอบ : ถ้าคิดถึงอย่างเดียวชาตินี้ก็ไปไหนไม่ได้หรอกจ้ะ การที่เราจะคิดถึงนิพพานไม่ใช่คิดถึงเฉย ๆ แต่มันต้องรู้เห็นว่าร่างกายนี้โลกนี้ หรือสรรพสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ในเมื่อมันหาความเที่ยงแท้แน่นอนเป็นแก่นสารไม่ได้ สิ่งที่จะเที่ยงแท้แน่นอนจะมีได้ก็คือพระนิพพานเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นก็ภาวนาเอาใจเกาะความรู้สึกนั้นจนกระทั่งหลับไป ถ้าใจมันไม่เกาะร่างกายจริง ๆ เพราะเห็นว่ามันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา...ก็จะไปได้ แต่ถ้าเกาะแม้แต่น้อยหนึ่งก็ไปได้แค่กำลังของตัวในตอนนั้น

เถรี
03-11-2009, 16:22
ถาม : (ได้ยินไม่ชัด)
ตอบ : สติ สมาธิ ปัญญา ๓ อย่าง สติก็คือการรู้อยู่กับปัจจุบัน สมาธิถ้ามีเวลาตามดูลมหายใจเข้าออก ดูให้จริง ๆ จัง ๆ หน่อย ถ้าสติกับสมาธิทรงตัว ปัญญามันจะเกิด มันจะตามรู้เท่าทัน

ถาม : อยู่ในปัจจุบัน
ตอบ : อยู่ในปัจจุบันถูกแล้ว แต่ว่าปัจจุบันของเราให้เป็นปัจจุบันที่อยู่กับลมหายใจ ลมหายใจเข้าตามรู้ไป ลมหายใจออกตามรู้ไป ถ้าคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไหร่ ดึงกลับมาตรงนี้ มันจะสร้างกำลังให้มากขึ้นเรื่อย ๆ พอกำลังมันมากขึ้น มันก็จะหนุนส่งให้ปัญญาของเรามีความแหลมคมมากขึ้น ชัดเจนมากขึ้นก็จะสามารถรู้เห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านั้นได้

ถาม : (ได้ยินไม่ชัด)
ตอบ : ปัจจุบันในลักษณะนั้นมันต้องดูด้วยว่า เราจะเอาปัจจุบันตรงไหน ความรู้สึกมันสามารถแบ่งออกได้ ถ้าหากว่าเรารักที่จะอยู่ตรงความสงบตรงหน้าของเรา ก็เอาปัจจุบันกับลมหายใจมากหน่อย อย่างเช่นว่าสัก ๘๐% ส่วนการรับรู้อย่างอื่นก็เหลือสัก ๒๐% แต่ถ้าหากว่าต้องการปฏิสัมพันธ์หรือว่าทำหน้าที่การงานชิ้นนั้นให้เสร็จลงให้ได้ เราก็ไปอยู่กับงาน ๘๐% แต่ว่าอยู่กับลมหายใจสัก ๒๐% มันจะเป็นการรู้ปัจจุบัน ๒ อย่างด้วยกันคือ
รู้ภายในกับรู้ภายนอก ถ้าสามารถทำรู้พร้อมกันอย่างนี้ได้แล้วก็ต่อไปทุกอย่างจะง่าย แต่ถ้าหากว่าเรารู้อย่างเดียว ออกมาข้างนอกเมื่อไหร่ทิ้งข้างใน หรือว่าเข้าไปข้างในเมื่อไหร่ทิ้งข้างนอก อย่างนั้นโอกาสก้าวหน้าจะมีน้อย

ลองไปซ้อมทำดูนะ จริง ๆ แล้วไม่ยากหรอก เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่เคยฟังดูแล้วอาจจะงง ๆ แต่ถ้าลองทำดูแล้วไม่ยากหรอก มันแบ่งแค่ภายนอกกับภายในเป็น ๒ ส่วนเท่านั้นเอง แล้วก็รู้พร้อม ๆ กันเพียงแต่ว่าส่วนไหนถ้าหากว่าจำเป็นจะต้องทำงานก็รับรู้ส่วนนั้นมากกว่า