PDA

View Full Version : หลวงตาเล่าถึงหลวงพ่อฤๅษี


เถรี
28-01-2009, 04:00
http://i398.photobucket.com/albums/pp69/tidtou/8a4b5d7d.jpg
พระครูภาวนาพิลาศ
หลวงตาวัชรชัย วัดถ้ำนารายณ์
วัดถ้ำนารายณ์(เขาวง) จ.สระบุรี

ครั้งหนึ่ง...ก่อนจะได้บวช สมัยกำลังประจบยื่นหน้ายื่นตายื่นอารมณ์เลวให้พ่อเห็น ตอนนั้นนะของกำลังขึ้น กำลังร้อนวิชา(มาร) หลวงตานี่คิดเลยนะว่าคนอย่างเรานี่หาอาจารย์ยาก ! จะมีใครมีวิชาพอที่จะเป็นครูเราได้หนอ แล้วพระองค์นี้คือ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

เมื่อไรท่านจะแสดงอานุภาพกำราบมาร เช่น เหาะให้เราดู หรือจะทำตัวลอยนิด ๆ พอหายคันความอยาก หรืออย่างน้อยก็พูดทักเราเสียหน่อยว่า เรากำลังคิดอะไร จะได้บวชเมื่อไหร่ บวชแล้วจะเป็นพระอรหันต์พรรษาไหน ตอนนั้นกล้านึกกล้าคิดถึงขนาดนั้นแหละ ไอ้หลวงตาองค์นี้ละ


แต่เปล่าเลย เงียบสนิท.....
หน้าพ่อยังไม่หันมามองหลวงตาเลยลูกเอ๋ย เหมือนไม่รู้กระแสจิตว่าเราคิด...เอ้อ..ทะลุนรกไปแล้วเลยหนอ
ท่านก็คุยกับญาติโยมไปเรื่อย ๆ พูดถึงเรื่องศีล ๕ (ซึ่งเราก็มีแล้วละ)
พูดถึงเรื่องความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (เราก็เหนียวแน่นมากมายถวายชีวิตแล้ว..คิดว่ายังนั้นนา)
พูดถึงเรื่องความตายของร่างกาย (เราก็พร้อมตายอันนี้ไม่สงสัย)
แล้วพ่อก็พูดถึงการปรารถนานิพพานในชาติปัจจุบัน (เราก็อยากไป)

เถรี
28-01-2009, 04:05
ตอนนั้นเป็นเวลาบ่าย ที่บ้านซอยสายลมของเรานั่นแหละ แล้วพ่อก็พูดว่า

"เออ คิดแค่นี้ลูก คิดแค่นี้ไปนิพพานกันแน่ ไม่ต้องคิดมาก อย่าให้เหมือนกับคนบ้าบางคนที่คอยแต่จะคิดว่า เมื่อไรครูบาอาจารย์จะแสดงฤทธิ์ทายใจมัน เออ..คิดอย่างนั้นไปนรกลูก ! เพราะอะไร..เพราะความเลวของตัวเองมีเต็มตัวเต็มหัวใจ ไม่เคยคิดจะละออก ความดีของศีล ของพระรัตนตรัยไม่เคยคิดน้อมนำเข้ามาเป็นที่พึ่ง ความตายจ่อจมูกอยู่ไม่เคยคิดหวาดระแวงในความตาย จะได้มุ่งสู่พระนิพพานเสียชาตินี้"

หลวงตานี่ เหงื่อแตกเลย ก้มหน้าต่ำง้ำพื้นเลย แล้วพ่อก็ส่งท้ายให้อีก....

"มันจะให้ครูบาอาจารย์ทายใจมัน ทายที่ว่ามันคิดได้ไม่เกินหมาคิด ครูเขาพูดออกไปแล้วกิเลสมันหมดไปจากใจไหม ศีลจะผ่องใสขึ้นไหม จะเบื่อร่างกายหรือจะหลงใหลทะนงในชีวิตร่างกายมากขึ้น ความคิดระยำอย่างนั้นใครอย่าเอาอย่างลูกเอ๊ย"

จบครึ่งม้วน...ม้วนต้วนเลย !
ลูกหลานฟังแล้ว คิดว่าพ่อเรามีญาณหยั่งรู้หรือไม่ลูก?

เถรี
28-01-2009, 04:14
ฟังต่อ...พอตกค่ำก็ถึงเวลาปฏิบัติพระกรรมฐานกัน พวกลูกหลานของพ่อก็นั่งเบียดกันชนิดกราบไม่ถึงพื้นเลยละ
หลวงตาก็นั่งใจตะลึงตะลานอยู่ ใจก็นึกว่าทำไมเราจะต้องมารบกวนให้พ่อลำบากปากด่าสั่งสอนด้วยหนอ ทำไมต้องอยากรู้ว่าท่านเก่งหรือไม่เก่ง หรือว่าให้ท่านเห็นเราเป็นลูกศิษย์คนสำคัญชนิดต้องเอาใจทายทักถึงอดีตอนาคตด้วยหนอ

ไม่เอาละ ตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่กวนอารมณ์ใจท่าน วันนี้เราจะนั่งภาวนาพุทโธคอยท่าน ประเดี๋ยวท่านลงมานั่งประจำที่จะได้ไม่ต้องหนักใจกับเรามากนัก

๑ ทุ่มตรง...พ่อก็เปิดประตูลงมาจากห้องพักที่บ้านซอยสายลม ตามธรรมดาปกติพ่อจะทักคนข้างทาง เออ ๆ คะ ๆ พองาม แล้วจะขึ้นนั่งบนแท่นอาสนะในที่สูง เปิดไมค์ลองเสียง แต่วันนั้นพอเปิดประตูผางออกมา ก้าวยืนหน้าประตูได้ก้าวเดียว ก็ยกมือชี้หน้าหลวงตาทันที

"เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ ภาวนาพุทโธไปซี อย่างนี้จึงจะดี...ดีลูก..ดี"

พระคุณพ่อเอย...ช่างทรมานใจนักหนา ใจหลวงตานี่สลด ก้มหน้าขอบพระคุณพ่อที่สั่งสอนสมสันดานลูกนัก

จบม้วนแรกแล้วลูก หนังประวัติลีลาการสอนของพ่อพวกเราทั้งหลาย

เถรี
28-01-2009, 04:23
ลูกหลานเอย..หลวงตานั่งคิดย้อนหลังไปถึงเวลาแรกที่พบพ่อ ความมุ่งมั่นฝันใฝ่ตอนนั้นคืออยากได้พระอภิญญามาเป็นอาจารย์ เฝ้ามองพ่อมาแต่บัดนั้นว่าองค์นี้ใช่ไหมหนอ เมื่อไหร่ท่านจะแสดงฤทธิ์ให้เราดูประจักษ์ตากระชับใจ จะได้ลงมือปฏิบัติพระกรรมฐานแบบถวายชีวิตเสียที น่าจะทายใจเราให้ถึงก้นบึ้งสักครั้ง น่าจะเหาะน้อย ๆ ลอยก้น เหนือพื้นสักคืบก็ยังดี จนวันดีคืนดีท่านก็แสดงให้ดู ทายถึงใจเลย !

"นี่ไอ้บ้า อย่ามานั่งขวางทางคนทำงาน อย่านั่งรอฤทธิ์รอเดชเอาไว้เหาะไปนรกขุมไหน คนที่ใจมีฤทธิ์นี่เขากล้าทำดี ขยันทำดีผิดมนุษย์ทั่ว ๆ ไป เขามีน้ำใจรักศีลยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง เขาคิดทีละอย่าง แล้วทำให้เสร็จไปทีละอย่าง ทำให้มันเห็นฤทธิ์ขยันซะบ้าง นี่ฤทธิ์น้อย ๆ เขาคิดกันทำกันอย่างนี้ พอจะเข้าใจไหม ถอยไป..ถอยไป.."


โอย ตายเลย ตายเลย เล่นด่าอย่างนี้อายตายเลย

เถรี
28-01-2009, 16:18
ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน ในหมู่พระลูก ๆ ของพ่อ ว่าใจของพวกเรานี่ ยังมีพลานุภาพมหาศาล คาใจอยู่อย่างน้อยก็หนึ่งอย่าง นั่นคือ ความอยากเป็นพระอรหันต์
แล้วไม่ใช่พระอรหันต์แบบธรรมดา ต้องเป็นพระทรงอภิญญา สำหรับหลวงตานี่อยากเป็นปฏิสัมภิทาญาณไปโน่น..ถึงขนาดนั้นนั่นแหละ..โอยอายมือผู้เขียน อายสายตาท่านผู้อ่านแล้วก็คิดว่าการที่จะบรรลุมรรคผลขนาดนั้น จะต้องเป็นพระที่ได้ใกล้ชิดหลวงพ่อ ได้รับคำรับรองจากหลวงพ่อ

ภาพที่ออกมาก็คือ คอยจะเสนอหน้า สบตา กระดิกหู คอยสดับเสียงให้พ่อทัก (ว่าพระดีมาแล้วหรือ หลวงตาต้องขอชมตัวเองที่กล้าเขียนถึงขนาดนี้)
แต่ผลก็คือ พ่อไม่เคยมองหน้าสักแว้บเดียว
เออ..เราก็เสียใจ พี่น้องท่านอื่นเขานั่งล้อมหน้าดาหลังอุ่นหนาฝาคั่ง เราทำไมเกิดมาเงียบเหงา..อย่างนี้หนอ
แล้ววันที่หลวงตารอคอยก็มาถึง...


วันนั้นพ่อนั่งอยู่ใต้ร่มหูกวางหลังโบสถ์ ริมบันไดทางขึ้นไปศาลา ๑๒ ไร่ หลวงตาก็เดินมาจากศาลานวราชหน้าโบถส์จะกลับที่พัก ก็ต้องเดินผ่านพ่อผู้นั่งสบายอิริยาบถอยู่
ใจหนึ่งอยากจะแวะเข้าไปกราบให้ท่านเห็น ใจหนึ่งบอกว่าให้หลีกเลี่ยงเข้ากุฏิเสีย

เถรี
28-01-2009, 16:24
เสียงพ่อทักดังชัดเจน

"สิงห์ดอกหรือลูก..เอ้อ..หายไปไหนมาหว่า มา..มา เข้ามานั่งใกล้ ๆ พ่อ" ท่านตบหัวลูบหลังหมาตัวโปรด

"เออ คนเก่งของพ่อเชียวนี่ เป็นนายยามใกล้ชิดตัวเดียวเลยละนี่ เอ้อ..นี่ ! ต้องเข้าใกล้กันจึงจะเก่งจึงจะดี เออ..นี่ละคนเก่ง เขาเป็นกันอย่างนี้ !"

โอยยย พูดไปก็ลูบหลังตบหัวหมาไป แต่เสียงท่านทำไมมันวิ่งดังเข้าไปกินแก้วหูเรา พูดจบก็เงยหน้ามามองทางเราพอดี

"อ้าว (เรียกชื่อหลวงตา) หรือ ไปไหนมาหว่า เออ อยู่กุฏิหลังไหนนี่"
"กุฏิ ๓ ครับผม" ตอบพลางไหว้เดินเข้ากุฏิดิ่งไม่ว่อกแว่ก กลัวท่านจะทักต่อ (กลัวทักต่อว่า เออ เข้ามานั่งใกล้ ๆ คนเก่งเชียวนี่ อะไรทำนองนี้)


วันนั้นจึงเพิ่งรู้ว่าตัวเราเองนี่อยากเป็นหมา เป็นหมาของหลวงพ่อที่คอยให้พ่อปลอบทายทัก นี่ไม่ได้บังอาจพูดกระทบน้อง พี่ ครูอาจารย์ที่นั่งล้อมรอบสนองงานพ่อเป็นประจำ วาสนาบารมีหน้าที่อธิษฐานกันมาอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น นี่พูดเล่าถึงอารมณ์เลวของหลวงตาที่ไม่รู้จักวาสนา ไม่ใช้ปัญญาแต่ไปเทียบบารมีกับพี่น้องต่างหน้าที่ ก็ไปริษยามานะเอากับท่าน จนเสียเวลาทำความดีไปนานหลายปีนัก

เถรี
28-01-2009, 16:29
พอมาอยู่ที่วัดเขาวงจึงนึกขึ้นมาได้ว่า พ่อเคยถามว่า ตอนนี้ทำ(หน้าที่) อะไรอยู่ ก็กราบเรียนว่ากวาดทำความสะอาดโบสถ์ สวดปาติโมกข์ และสอนพระกรรมฐานตามที่พ่อสั่งทราบอยู่ ท่านก็พูดขึ้นมาในตอนนั้นว่า

"เออ ขณะที่ยังไม่ได้เรียกใช้ ไม่ได้มอบหมายหน้าที่อื่น ก็ไม่ต้องไปหางานอื่นทำ รีบทำความเพียรให้มากที่สุดไปก่อน เมื่อถึงเวลาใช้ทำงาน จะได้เหนื่อยแต่กาย แต่ใจเป็นสุข"

พอนึกออก จึงได้เข้าใจว่าตัวเองนี่ โง่ยิ่งกว่าหมา
คำสอนอันแยบยล คือมรดกธรรมอันล้ำค่า
ยากเกินกว่าที่คนน่ารักน่าชังแบบหมา ๆ จะเข้าใจได้จริง ๆ