ประวัติวัดท่าขนุน
วัดท่าขนุนได้ชื่อตามเมืองด่านท่าขนุน สมัยนั้นการสัญจรส่วนมากไปทางเรือที่ล่องตามลำน้ำแควน้อย จุดที่ตั้งของเมืองด่านท่าขนุนเป็นท่าเรือ มีที่หมายสำคัญคือมีต้นขนุนอยู่หลายต้น จึงเรียกกันง่าย ๆ ว่า ท่าขนุน จนกลายเป็นชื่อบ้านนามเมืองตั้งแต่นั้นมา
ในหนังสือนิราศท่าดินแดง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ เมื่อคราวเสด็จไปทำศึกกับพม่าซึ่งยกมารุกรานไทยที่ท่าดินแดง ทรงยกทัพไปพร้อมกับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท โดยขบวนเรือจากกรุงเทพ ฯ ไปจนถึงเมืองไทรโยค แล้วจึงเดินทัพทางบกต่อไป
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเข้าตีค่ายพม่าที่ท่าดินแดง ในขณะที่กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงเข้าตีค่ายพม่าที่ตำบลสามสบ โดยเข้าตีค่ายพม่าพร้อมกันทั้งสองทัพ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๓๒๙
ทำการรบกันอยู่สามวัน ถึงวันที่ ๒๓ เวลาบ่าย ฝ่ายไทยบุกทะลวงเข้าค่ายพม่าได้ และได้รบติดพันกันอยู่จนพลบค่ำ พม่าจึงทิ้งค่ายแตกหนีไป กองทัพไทยได้ไล่ติดตามไปถึงค่ายพระมหาอุปราชาที่ตำบลแม่กษัตริย์
พระมหาอุปราชารู้ว่ากองทัพหน้าแตกแล้วก็ไม่ให้คิดต่อสู้ รีบยกกองทัพหนีไปก่อน กองทัพพม่าจึงแตกยับเยิน เสียรี้พลและอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย โดยเฉพาะปืนใหญ่ไม่สามารถที่จะลากกลับไปได้แม้แต่กระบอกเดียว
จากนิราศท่าดินแดงในครั้งนั้น ได้กล่าวถึงจังหวัดกาญจนบุรีในนามเดิมว่าเมืองปากแพรก ทรงยกทัพเรือขึ้นไปถึงเมืองไทรโยค แล้วจึงเปลี่ยนเป็นทัพบก ยกไปตั้งค่ายที่ด่านท่าขนุน แล้วบุกโจมตีกองทัพพม่าที่ท่าดินแดง ดังเนื้อความในนิราศ ดังนี้
ฯลฯ...ถึงปากแพรกซึ่งเป็นที่ประชุมพล
พร้อมพหลพลนิกรน้อยใหญ่
ค่ายคูเขื่อนขัณฑ์ทั้งนั้นไซร้
สารพัดแต่งไว้ทุกประการ
จึงรีบรัดจัดโดยกระบวนทัพ
สรรพด้วยพยุหทวยหาญ
ทุกหมู่หมวดตรวจกันไว้พร้อมการ
ครั้นได้ศุภวารเวลา
ให้ยกพลขึ้นทางไทรโยคสถาน
ทั้งบกเรือล้วนทหารอาสา
จะสังหารอริราชพาลา
อันสถิตอยู่ยังท่าดินแดง...ฯลฯ
ฯลฯ...ออกจากเนินผาศิลาพนัส
เร่งรัดทวยหาญทั้งซ้ายขวา
ไปตามแนวแถวในพนาวา
พอสุริยาสายัณห์ลงรอนรอน
ก็ถึงด่านท่าขนุนโดยหมาย
ให้ตั้งค่ายตามเชิงศิขร
แล้วรีบเร่งพหลพลนิกร
ทั้งลาวมอญเขมรไทยเข้าโจมตี...ฯลฯ
อุโบสถวัดท่าขนุน
จะเห็นได้ว่าในสมัยรัชกาลที่ ๑ นั้น ท่าขนุนก็เป็นเมืองหน้าด่านอยู่แล้ว จากค่านิยมของชาวพุทธไม่ว่าจะเป็นมอญ พม่า ไทย ลาว ก็คือ มีบ้านที่ไหนก็ต้องมีวัดที่นั่น ทำให้มั่นใจได้ว่า จะต้องมีวัดท่าขนุนมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ปรากฏหลักฐานชัดเจนในเอกสารประวัติศาสตร์ต่าง ๆ เท่านั้น
หลักฐานการมีวัดท่าขนุนมาปรากฏชัด เมื่อครั้งที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอรประพันธรำไพ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอดิศัยสุริยาภา สองพระราชธิดาในล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ กับเจ้าจอมมารดาอ่อน เสด็จมาประพาสป่าทองผาภูมิ
ทั้งสองพระองค์มีพระอุปนิสัยรักการผจญภัย ชอบเสด็จประพาสป่าเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อเสด็จประพาสทองผาภูมิแล้วเกิดชอบพระทัยในสภาพป่า จึงได้เสด็จมาอีกครั้งหนึ่ง และได้ขอเด็กกะเหรี่ยง ๒ คน คือ นังมิ่นกงกับนอเด่งเฉ่งจากบ้านปรังกาสี[๑] ไปเลี้ยงไว้ในวังอีกด้วย
ในการเสด็จครั้งหลังนี้เอง ทั้งสองพระองค์ได้ทูลขอพระราชทานพระพุทธรูปรัชกาล ขนาดหน้าตักประมาณ ๑ ศอก ๒ องค์ และธรรมาสน์ทรงบุษบกฝีมือช่างหลวง ถอดประกอบได้ทุกชิ้น จากในหลวงรัชกาลที่ ๗ มาถวายแก่หลวงปู่พุก อุตฺตมปาโล อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒
หลวงปู่พุก อุตฺตมปาโล เป็นพระเถระเชื้อสายมอญ มีสีลาจารวัตรที่งดงาม เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านเป็นอย่างมาก ทั้งสองพระองค์ทราบกิตติศัพท์ จึงเสด็จมานมัสการพร้อมกับถวายสิ่งของพระราชทานดังกล่าวข้างต้น
หลวงปู่พุกปกครองดูแลวัดท่าขนุนมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๘๙ ก็มรณภาพลง ชาวบ้าน ได้นิมนต์หลวงปู่เต๊อะเน็ง[๒] ชาวกะเหรี่ยงนอก (มาจากพม่า) มาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนเป็นรูปที่ ๒
บนยอดเขาวัดท่าขนุน
ช่วงนั้นพอดีหลวงพ่ออุตตมะเดินธุดงค์เข้าไทยมา ได้พบกับหลวงปู่เต๊อะเน็ง จึงช่วยกันสร้างมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทสี่รอยจำลองให้กับทางวัดท่าขนุน
หลวงปู่เต๊อะเน็งปกครองดูแลวัดท่าขนุนจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๔ ก็เดินทางกลับไปพม่า โดยไม่ได้กลับมาอีก ทางคณะสงฆ์ส่งพระภิกษุจากในเมืองกาญจนบุรีมาช่วยดูแลวัดให้ แต่อยู่ได้ไม่นานก็หนีกลับไป เพราะทนไข้ป่าไม่ไหว วัดท่าขนุนจึงกลายเป็นวัดร้างอยู่ระยะหนึ่ง
จนกระทั่ง วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๔๙๕ หลวงปู่สาย อคฺควํโส เดินธุดงค์มาจากนครสวรรค์ มาปักกลดปฏิบัติธรรมอยู่ที่บริเวณวัดท่าขนุน ชาวบ้านเห็นวัตรปฏิบัติอันน่าเลื่อมใส จึงให้การอุปัฏฐากเป็นอย่างดี จนถึง ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๖ หลวงปู่สายก็ได้ลาชาวบ้าน เดินธุดงค์เข้าไปในประเทศพม่า
ครั้นวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๔๙๖ หลวงปู่สายเดินธุดงค์กลับจากพม่ามาถึงวัดท่าขนุน และได้อยู่จำพรรษาที่วัดท่าขนุนจนถึง วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๔๙๖ ชาวบ้านซึ่งนำโดยนายบุญธรรม นกเล็ก ได้นิมนต์ให้หลวงปู่สายอยู่เป็นเจ้าอาวาสที่วัดท่าขนุนเลย
หลวงปู่สายแนะนำให้นายบุญธรรม นกเล็ก นำคณะชาวบ้านไปกราบขอท่านกับหลวงปู่น้อย เตชปุญฺโญ (พระครูนิพันธ์ธรรมคุต) เจ้าอาวาสวัดหนองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์และเป็นเจ้าอาวาสปกครองดูแลท่าน แล้วหลวงปู่สายก็ลาชาวบ้าน เดินทางกลับไปวัดหนองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์
หลังออกพรรษา ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ นายบุญธรรม นกเล็ก จึงนำศรัทธาชาวบ้านเดินทางไปนครสวรรค์กราบหลวงปู่น้อย ขอหลวงปู่สายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน เมื่อหลวงปู่น้อยอนุญาตแล้ว หลวงปู่สายจึงเดินทางกลับมาพร้อมกับคณะศรัทธาชาวบ้าน ถึงวัดท่าขนุนเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๗ และเริ่มทำการบูรณะวัดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลวงปู่สายได้รับการแต่งตั้งจากพระวิสุทธิรังษี (ดี พุทธโชติมหาเถระ) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีในขณะนั้น ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ตามหนังสือแต่งตั้งเลขที่ ๑/๒๔๙๘ ลงวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๙๘ และได้ร่วมกับศรัทธาชาวบ้าน พัฒนาวัดท่าขนุนกลับมาเป็นวัดโดยสมบูรณ์อีกวาระหนึ่ง จนได้รับรางวัลวัดพัฒนาตัวอย่างในปี ๒๕๑๖
หลวงปู่สาย อคฺควํโส มรณภาพลงในปี ๒๕๓๕ ทำให้เสนาสนะทั้งหลายได้ทรุดโทรมลง บางส่วนก็ชำรุดจนไม่สามารถที่จะใช้งานได้
ถึงปี ๒๕๔๕ สมัยพระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน พระราชธรรมโสภณ[๓] รักษาการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ได้มีบัญชาให้พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ[๔] มาพัฒนาวัดท่าขนุน ให้มีเสนาสนะที่สมบูรณ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
วัดท่าขนุนยามค่ำคืน
วัดท่าขนุนและตัวเมืองทองผาภูมิ
ที่มาของข้อมูล : หนังสือประวัติวัดท่าขนุน โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม
[๑] บ้านปรังกาสี หมู่ที่ ๓ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๗๑ ๑๘๐.
[๒] ในประวัติวัดท่าขนุนฉบับเก่า รวบรวมโดย ร.ต.ต.บัว สุขเอี่ยม เรียกท่านว่า หลวงปู่ไตแนม.
[๓] ต่อมาดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี (พ.ศ. ๒๕๔๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๕๒) ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระเทพเมธากร ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี มรณภาพเมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๗ เมื่ออายุ ๘๕ ปี.
[๔] ปัจจุบันคือพระครูวิลาศกาญจนธรรม เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน รูปที่ ๖.